ข่าวที่ฮือฮาปลายสัปดาห์ที่แล้ว ก็ได้แก่ข่าวที่ศาลสูงสุดของมาเลเซียเพื่อนบ้านของเรา สั่งจำคุก 12 ปี นายนาจิบ ราซัค นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ตั้งแต่ปี 2009 - 2018 รวมเวลา 9 ปี และทีวี.ทั่วโลกก็ออกข่าวนาจิบเดินเข้าคุกไปอย่างเข้มแข็ง
แต่ยังมีคดีตามหลังมาอีก 42 คดี ทั้งคดีโกงใหญ่ โกงเล็ก โกงน้อย ซึ่งหากตัดสินทุกคดีแล้ว จะรวมเป็น กี่ปีก็ไม่ทราบ
ส่วนประเทศสารขัณฑ์ ก็เคยมีคดีแบบเดียวกันมากราย นายกรัฐมนตรีก็เคยถูกศาลตัดสินจำคุกอยู่ 2-3 ราย แต่ส่วนใหญ่ผู้ติดคุกเป็นผู้ที่รับบัญชามา หรือร่วมกระทำผิด จึงมีรัฐมนตรีว่าการ รัฐมนตรีช่วยว่าการ ปลัดกระทรวง อธิบดี รองอธิบดี CEO และคณะผู้บริหารธนาคาร และรัฐวิสาหกิจ ติดคุกกันมากมาย น่าจะนับเป็นร้อยคนเศษ
ทำไมจึงเป็นเช่นนี้
“ถ้าคิดได้ ให้ช่วยคิด, ถ้าเห็นด้วย ให้ช่วยทำ”
ที่เป็นเช่นนี้ เพราะโครงสร้างรัฐธรรมนูญ (กฎหมายสูงสุดของแต่ละประเทศ) ไปยึดประชาธิปไตยแบบรัฐสภา (Parliamentarian Democracy)ที่กำหนดให้ “ที่มา” ของหัวหน้าฝ่ายบริหารและผู้ใช้อำนาจบริหารแทนปวงชนพลเมืองของประเทศนั้นๆ ว่า ต้องมาจากฝ่ายนิติบัญญัติ หรือนัยหนึ่ง
มาจาก สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (และสมาชิกวุฒิสภา) หรือ
มาจากพรรคการเมืองที่ชนะการเลือกตั้งได้ที่นั่ง สส. มากที่สุด หรือ
มาจากพรรคการเมืองหลายพรรครวมกัน จนได้เสียงข้างมาก
เมื่อเป็นเช่นนี้ กลุ่มนักการเมืองในระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา จึงจำเป็นต้องสร้างมุ้ง จำเป็นต้องหากล้วย (ไว้เลี้ยงลิง) หรือหาเงิน (ไว้เลี้ยง สส.) การคอร์รัปชั่นโดยใช้อำนาจบริหาร การทำธุรกิจการเมือง (Money Politics) จึงเกิดขึ้นทั่วไปในประเทศที่มีวัฒนธรรมอ่อนแอ (Soft Culture) ซึ่งผู้คนไม่สู้จะมีระเบียบวินัย ความรับผิดชอบต่อหน้าที่ของพลเมืองยังมีน้อย และในประเทศที่ค่อนข้างยากจน เงินสามารถซื้อเสียงผู้ลงคะแนนได้
ขอจำแนก “ที่มา” ของผู้เข้ามาใช้อำนาจบริหาร อำนาจตุลาการ และอำนาจนิติบัญญัติ ซึ่งเป็นอำนาจอธิปไตยทั้งสาม ของระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา แทนพลเมืองในประเทศ ดังนี้
อำนาจบริหาร (Executive Power)
เป็นอำนาจในการบริหารบ้านเมือง บังคับบัญชาและบริหารกระทรวง ทบวง กรม รัฐวิสาหกิจ และองค์กรต่าง ๆ ของรัฐ มีอำนาจใช้งบประมาณมากมายในแต่ละปี มีอำนาจออกพระราชกฤษฎีกาและระเบียบข้อบังคับของฝ่ายบริหาร มีอำนาจบังคับบัญชาทหารบก ทหารเรือ ทหารอากาศ และตำรวจได้ และมีช่องทางทุจริตประพฤติมิชอบได้มากมายหลายทาง รวมทั้งมีช่องทางในการสับเปลี่ยน โยกย้าย หรือลงโทษข้าราชการประจำ ทั้งพลเรือน ตำรวจ ทหาร ทั่วประเทศ
จึงทำให้ประชาธิปไตยแบบรัฐสภา (Parliamentarian Democracy) ผู้เข้ามาเล่นการเมืองและพรรคการเมือง ดิ้นรนจะเข้าไปสู่อำนาจบริหาร แย่งกันเข้าไปเป็นผู้ใช้อำนาจบริหารแทนปวงชนชาวไทย
ในสภาพที่มีมา 90 ปีแล้ว “ที่มา” ของฝ่ายบริหารก็ได้แก่
1.การปฏิวัติรัฐประหาร คือที่มาอันดับ 1
ประเทศไทยเริ่มเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบกษัตริย์มาเป็นประชาธิปไตย ตั้งแต่ปี พ.ศ.2475 คณะทหารที่เปลี่ยนแปลงการปกครอง เรียกตนเองว่า “คณะราษฎร” ก็นำรัฐธรรมนูญและประชาธิปไตยแบบตะวันตกมาใช้ ซึ่งเป็นประชาธิปไตยแบบรัฐสภา (Parliamentarian Democracy)
ทหารเองจึงเป็น “ที่มา” อันดับแรก ของการใช้อำนาจบริหารแทนปวงชนชาวไทย และเราก็มีรัฐบาลทหารอันเกิดจากการรัฐประหารติดตามมาอีกหลายชุดเริ่มจากพันเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา (พ.ศ.2476-2481), พลตรีหลวงพิบูลสงคราม (พ.ศ.2481-2485) และ (พ.ศ.2491-2500)
ต่อมาจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ก็ทำการรัฐประหารและเป็นผู้ใช้อำนาจบริหารแทนปวงชนชาวไทยอยู่ถึง 6 ปี (พ.ศ.2501-2506) และจอมพลถนอม กิตติขจร ก็สืบต่อการปฏิวัติรัฐประหารมาจนถึงวันที่ 14 ตุลาคม 2516
ทหาร ซึ่งเป็น “ที่มา” ของการใช้อำนาจบริหาร (เป็น นรม.และครม.) ในระยะเริ่มต้นของประชาธิปไตยไทย มีความตั้งใจจริงจังที่จะให้ประเทศไทยไปได้สวยจากระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา จึงได้มีการเขียนรัฐธรรมนูญที่มีการแต่งตั้งบ้างเลือกตั้งบ้างเพื่อให้มีฝ่ายนิติบัญญัติขึ้นมา รวมทั้งลงไปเล่นการเมืองแบบรัฐสภา โดยใช้คะแนนเสียงข้างมากเป็นเกณฑ์ หากแพ้เสียงใน พ.ร.บ.สำคัญ ก็ลาออกไปตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ ดังนั้นพันเอกพระยาพหลพลพยุหเสนาเองก็ต้องลาออกและกลับเข้ามาเป็นหัวหน้าของฝ่ายบริหารใหม่ถึง 5 ครั้ง จอมพลป.พิบูลสงคราม 6 ครั้ง จอมพลถนอม กิตติขจร 4 ครั้ง
2.ที่มาอันดับ 2 ของ การเข้าสู่อำนาจบริหาร (จากนักการเมือง หรือผู้ที่มาจากการเลือกตั้งของฝ่ายนิติบัญญัติ
พอเรามีประชาธิปไตยเต็มใบ เมื่อทหารปล่อยให้การเข้าสู่อำนาจบริหารเป็นไปตามครรลองของระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา (Parliamentary Democracy) เราจึงได้มีนายกรัฐมนตรีชื่อ ควง อภัยวงศ์ ซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรีถึง 4 ครั้ง (1 ปีเศษบ้าง, 52 วันบ้าง, 150 วันบ้าง), ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช เป็นนายกรัฐมนตรี 3 ครั้ง (136 วันบ้าง, 27 วันบ้าง, 169 วันบ้าง) ส่วนนายปรีดี พนมยงค์ เป็นนายกรัฐมนตรี 2 ครั้ง (รวม 152 วัน), พลเรือตรี ธำรงนาวาสวัสดิ์ 2 ครั้ง (รวม 1 ปี 79 วัน), พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ 2 ครั้ง (2 ปี 203 วัน)
จะเห็นได้ว่า ระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา ไม่ได้สร้างเสถียรภาพ (Stability) ให้แก่ฝ่ายบริหารเลย เราจึงต้องมีรัฐบาลที่ล้มลุกคลุกคลานอยู่ได้ไม่นาน ไม่มีเวลาพัฒนาประเทศ มัวแต่สร้างมุ้งเอาไว้ให้ สส.ในสังกัดอยู่บ้าง ปลูกกล้วยไว้เลี้ยงลิงบ้าง ยกเว้นบางท่าน เช่น นายชวน หลีกภัย เป็นนายกรัฐมนตรีอยู่ได้ถึง 3 ปี 92 วัน
สรุปแล้ว “ที่มา” ของการเข้ามาใช้อำนาจบริหารโดยการปฏิวัติรัฐประหารของทหารบ้าง โดยการเลือกตั้งฝ่ายนิติบัญญัติ และให้ผู้ใช้อำนาจนิติบัญญัติ (สส., สว.) มาใช้อำนาจบริหารบ้าง นำความล้มเหลวมาสู่ประเทศไทยอย่างแน่นอน เพราะรัฐบาลขาดเสถียรภาพ ความเจริญก้าวหน้าจึงไม่ทันประเทศเพื่อนบ้าน ที่เราเคยนำเขามาในสมัยก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อปี พ.ศ.2475 อันได้แก่ ญี่ปุ่น จีน ไต้หวัน เกาหลี มาเลเซีย สิงคโปร์ และอีก 2 ประเทศ คือ เวียดนามและอินโดนีเซีย ที่กำลังก้าวเลยเราไปอย่างช้าๆ แต่แน่นอน
หากเราไม่แก้ไขเปลี่ยนแปลง “ที่มา” ของผู้ใช้อำนาจบริหารแทนปวงชนชาวไทย วันหนึ่งข้างหน้าเราอาจจะเห็นผู้ใช้แรงงานคนไทย ต้องเดินข้ามพรมแดนเข้าไปขายแรงงานที่เวียดนาม ลาว และเขมร เช่นเดียวกับที่กำลังทำอยู่แล้วกับมาเลเซีย สิงคโปร์ เกาหลี ไต้หวัน ญี่ปุ่น หรือประเทศในตะวันออกกลาง
หากเรามีกลไกหรือโครงสร้างที่ทำให้ฝ่ายบริหารมีเสถียรภาพ กลไกที่ทำให้คนดีมีคุณธรรม ได้คนเก่งทั้งความรู้และประสบการณ์ในการบริหาร และคนที่มีความกล้าหาญในการกำจัดคนชั่ว และส่งเสริมคนดี เหมือนกับในอดีตก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครอง คนไทยและประเทศไทยก็จะอยู่ในเส้นทางขาขึ้น จะมีความสุขมากขึ้น มีการอยู่ดีกินดีมากขึ้น เท่าเทียมอารยประเทศในโลกตะวันตก (ซึ่งกำลังประสบปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ และกำลังอยู่ในขาลง)
อำนาจอธิปไตยทั้งสาม ของพลเมืองในระบอบประชาธิปไตยอำนาจทั้งสาม ได้แก่ อำนาจบริหาร (Executive Power), อำนาจนิติบัญญัติ (Legislative Power), และอำนาจตุลาการ (Judiciary Power) เป็นอำนาจสูงสุดของพลเมืองของแต่ละประเทศ จะต้องมีการถ่วงดุล (Balance of Power) กันให้เหมาะสม
เมื่อนายกรัฐมนตรี ครม.ในคณะ และบรรดาข้าราชการและลูกจ้างของรัฐทำผิดกฎหมาย เช่น ทุจริต ประพฤติมิชอบ ละเว้นการกระทำตามหน้าที่ศาล (อำนาจตุลาการ) ก็ย่อมตัดสินลงโทษให้เข้าคุกได้ เช่น กรณีของนายนาจิบ ราซัค นรม.มาเลเซีย และกรณีต่างๆ ของไทย
เมื่อตุลาการและผู้ที่อยู่ในส่วนงานให้ความยุติธรรม ทั้งกลางน้ำ ต้นน้ำ(อัยการ, ตำรวจ) มีอำนาจมากไป หรือมีความล่าช้าในการตัดสิน ฝ่ายนิติบัญญัติ ย่อมสามารถออกกฎหมาย แก้ไขกฎหมายเกี่ยวกับวิธีพิจารณาความอาญาได้ หรือเมื่อกลางน้ำ ต้นน้ำ ชอบปล่อยให้คดีขาดอายุความหรือสั่งไม่ฟ้องฝ่ายนิติบัญญัติ ก็ชอบที่จะแก้ไขได้โดยออกกฎหมายมาใช้กับฝ่ายตุลาการ อัยการ ตำรวจ
ในระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา (Parliamentarian Democracy)จึงเป็นระบอบประชาธิปไตยที่ไม่มีความสมดุล เพราะฝ่ายนิติบัญญัติเข้ามาเป็นผู้ใช้อำนาจบริหารเสียเอง จะแย่งชิงกันเพื่อเข้าไปเป็นผู้ใช้อำนาจบริหาร เมื่อได้เป็นแล้วก็พยายามเลี้ยงดูคนในสังกัดของตน เพื่อรักษาฐานเลี้ยงไว้ โดยการหาเงินที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ทำให้ต้องงดเว้นหน้าที่ในการตรวจสอบและกำกับดูแลฝ่ายบริหาร ซึ่งมาจากเสียงข้างมากในสภาฯ รวมทั้งไม่สนใจในการใช้อำนาจนิติบัญญัติ แก้ไขปัญหาต่างๆ ที่เกิดจากฝ่ายอื่น
ส่วนฝ่ายค้าน ก็พยายามหาทางล้มล้างรัฐบาลอย่างเดียว ไม่ว่าประเทศชาติจะเสียหายเพียงใด ไม่ว่าจะต้องก่อการจลาจลหรือเผาบ้านเผาเมือง หรือจนกระทั่งเกิดสงครามกลางเมืองก็ยอม เพื่อให้ฝ่ายตนเข้าไปสู่อำนาจบริหารบ้าง
ดังนั้น ในระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภาที่ประเทศไทยนำมาใช้อยู่ 90 ปีแล้ว ไม่ว่า “ที่มา” จะมาจากการปฏิวัติรัฐประหาร หรือ “ที่มา” จากการเลือกตั้ง สส., สว.ก็ตาม ผลก็จะเหมือนกันหมด จนประเทศไม่เจริญก้าวหน้าเท่าเทียมประเทศอื่น หรือกำลังล้าหลังจนไม่ทันประเทศเพื่อนบ้าน
จึงจำเป็นต้องแก้ไข “ที่มา” ของผู้ใช้อำนาจบริหารแทนปวงชนชาวไทยเสียที โดยไม่ให้มี “ที่มา” จากฝ่ายนิติบัญญัติ
จึงควรที่พวกเราจะต้อง “ถ้าคิดได้ ให้ช่วยคิด ถ้าเห็นด้วย ให้ช่วยทำ”
ศิริภูมิ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี