สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) จัดงาน “สมัชชาสิทธิมนุษยชน : เหลียวหลังแลหน้า 2 ทศวรรษ กสม.” ณ โรงแรมเซ็นทรา บายเซ็นทาราศูนย์ราชการและคอนเวนชั่นเซ็นเตอร์ แจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ เมื่อช่วงต้นเดือนก.ย. 2565 ที่ผ่านมา ซึ่งหนึ่งในกิจกรรมของงานคือการเปิดตัวหนังสือ และอภิปรายเรื่อง “เหลียวหลังแลหน้า2 ทศวรรษ กสม. : ความก้าวหน้าของพันธกิจด้านสิทธิมนุษยชน” โดยตัวแทนคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ตั้งแต่ชุดแรกจนถึงชุดปัจจุบันซึ่งเป็นชุดที่ 4
สุนี ไชยรส อดีตกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (ชุดที่ 1) กล่าวว่า กสม. เกิดขึ้น ดำรงอยู่และทำงานได้ก็ด้วยพลังจากประชาชน โดย กสม. เป็นองค์กรอิสระที่เกิดขึ้นครั้งแรกในรัฐธรรมนูญฉบับ 2540 แต่กว่าจะได้เกิดนั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เรียกว่ามีข้อถกเถียงอย่างมากว่าสมควรให้เกิดขึ้นหรือไม่เมื่อเทียบกับองค์กรอิสระอื่นๆ แต่ด้วยอาศัยแรงสนับสนุนจากประชาชนจึงทำให้ กสม. ได้รับการรับรองเป็นองค์กรตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ
ต่อมาในสมัยรัฐธรรมนูญฉบับ 2550 ในช่วงแรกของการร่างรัฐธรรมนูญนั้นมีความพยายามจะให้ยุบเลิก กสม. หรือนำ กสม. ไปควบรวมกับผู้ตรวจการแผ่นดิน แต่ก็ได้ประชาชนช่วยกันส่งเสียงเรียกร้อง ทำให้ กสม. ยังคงดำรงอยู่ล่าสุดกับรัฐธรรมนูญฉบับ 2560 ซึ่งเป็นฉบับปัจจุบัน ในช่วงกระบวนการร่างรัฐธรรมนูญ ก็ยังมีความพยายามยุบหรือควบรวม กสม. ไม่ต่างจากสมัยร่างรัฐธรรมนูญฉบับ 2550
“จุดท้าทายจุดแรกคือ อีกไม่นานจะมีการแก้รัฐธรรมนูญเพราะรัฐธรรมนูญ 2560 เองก็มีปัญหาหลายเรื่อง รวมทั้งเรื่องของกรรมการสิทธิด้วย เตรียม 2 อย่าง 1.ก็คือแก้ให้ดีขึ้น วันนี้รัฐธรรมนูญ 2560 ก่อให้เกิดปัญหาหลายเรื่องกับกรรมการสิทธิ 2.แก้ให้แย่ลงไปอีก เพราะฉะนั้นกระบวนการเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญฉบับต่อไปนี้ มันมีทั้งบวกและลบ สู้ให้ดีขึ้นและไม่ให้แย่ลงไปกว่าเดิมที่แย่อยู่ในปัจจุบัน”สุนี กล่าว
ศ.อมรา พงศาพิชญ์ อดีตประธานกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (ชุดที่ 2) กล่าวว่า กสม. ชุดที่ 2เข้าปฏิบัติหน้าที่ในปี 2552 ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญฉบับ 2550 ซึ่งมีการแก้ไขรายละเอียดที่เกี่ยวกับ กสม. แตกต่างไปจากเดิม ทำให้เมื่อไปประชุมในระดับสากลก็ถูกตั้งข้อสังเกตตั้งแต่กระบวนการสรรหากรรมการฯ ที่ต่างจากรัฐธรรมนูญฉบับ 2540 จึงเป็นคำถามว่าแล้วจะทำงานกับภาคประชาสังคม (NGO) ได้อย่างไร รวมถึงถูกจับตามองเพื่อนำไปสู่การลดระดับชั้นของ กสม. ไทยลง โดยมีข้อทักท้วงหลายเรื่อง อาทิ
“ความเป็นอิสระ” เช่น สถานะของเจ้าหน้าที่ประจำสำนักงาน ในยุคแรกนั้นอยู่ในประเภทข้าราชการรัฐสภา แต่ต่อมา กสม. ก็สามารถคัดเลือกเจ้าหน้าที่ได้เอง รวมถึง
งบประมาณและสถานที่ก็มีความเป็นอิสระ “ความหลากหลาย”คณะกรรมการควรประกอบด้วยบุคคลจากหลากหลายภาคส่วน เช่น ภูมิภาค อาชีพ ดังนั้น ในเวลาต่อมา จึงมีการเขียนไว้ในกฎหมายว่าคณะกรรมการมาจากบุคคลที่หลากหลายใน 5 ด้าน
“กระบวนการสรรหา” สมัยรัฐธรรมนูญฉบับ 2550 ใช้กรรมการสรรหา กสม. ชุดเดียวกับที่สรรหาคณะกรรมการองค์กรอิสระอื่นๆ เพื่อความรวดเร็ว เนื่องจากยุครัฐธรรมนูญ2540 มีการตั้งกรรมการสรรหา กสม. และกว่าจะได้คณะกรรมการ กสม. จนครบชุดใช้เวลายาวนานเป็นปี แต่เมื่อเปลี่ยนมาใช้วิธีแบบรัฐธรรมนูญ 2550 ก็เกิดผลกระทบคือสัดส่วนกรรมการ กสม. มีอดีตข้าราชการเข้ามามาก
“การจัดทำรายงานล่าช้า” ซึ่ง กสม. จะจัดทำรายงาน2 ฉบับ คือรายงานสถานการณ์สิทธิมนุษยชน และรายงานผลการปฏิบัติการ “มีแต่หน่วยงานส่วนกลาง” กสม.ชุดที่ 2 ได้เริ่มตั้งสาขาของ กสม. ในพื้นที่มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี (ม.อ.ปัตตานี) ต่อใน กสม.ชุดที่ 3 จึงได้ตั้งสาขาเพิ่มเติม ปัจจุบันมีรวมทั้งสิ้น 12 สาขาทั่วประเทศ “กลไกคุ้มครองเจ้าหน้าที่ที่ทำการตรวจสอบปัญหาด้านสิทธิมนุษยชน” เช่น การถูกฟ้องร้อง ซึ่งมีข้อเรียกร้องให้เขียนไว้ในกฎหมาย
“ตอนเป็นกรรมการสิทธิแล้วต้องไปรายงาน สว. สส. เราซึ่งรวมถึงสำนักงานด้วย ส่งคำร้องไปขอแก้กฎหมาย เพราะกฎหมายเรามันปี 2542 เมื่อเรามีรัฐธรรมนูญ 2550 เราก็จะต้องแก้กฎหมายเราให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญ 2550 คิวของเราขอทุกงวดที่เขาประชุม คิวของเราเข้าไปเป็นคิวที่ 3 แต่ถูกกดไว้แซงมาตลอด อยู่ตรงนั้น 6 ปีกว่า ที่ขอไปแต่ละครั้งถูกแซงหมด เราขอไปทุกครั้งแล้วก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้นอันนี้ก็คือเรื่องของการถูกลดเกรด สรุปที่ค้างคือเรื่องกระบวนการสรรหาและการแก้กฎหมายของเราให้สอดคล้อง” ศ.อมรา กล่าว
ประกายรัตน์ ต้นธีรวงศ์ อดีตกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (ชุดที่ 3) กล่าวว่า กสม. ชุดที่ 3 อยู่ในยุคที่สถานการณ์หลากหลายมาก ทั้งการที่มีกรรมการถึง 11 คน แบ่งเป็นกรรมการจริง 7 คน และผู้ปฏิบัติหน้าที่กรรมการชั่วคราวอีก 4 คน อีกทั้งยังอยู่ในช่วงที่ กสม. ไทย ถูกประชาคมนานาชาติลดชั้นลงจาก A เป็น B ต่อมายังมีการเปลี่ยนไปใช้รัฐธรรมนูญฉบับ 2560 ทำให้ต้องร่างกฎหมายของ กสม. ซึ่งเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ฉบับใหม่ ในช่วงดังกล่าวมีความพยายามผลักดันให้แก้ปัญหาที่ทำให้ กสม. ไทยถูกลดสถานะ
เช่น ต้องเขียนในกฎหมายให้ชัดเจนเรื่องนิยามของคำว่าภาคประชาสังคม ที่เข้ามาร่วมเป็นกรรมการสรรหา กสม. รวมถึงกลไกคุ้มครองเจ้าหน้าที่ที่ทำการตรวจสอบปัญหาด้านสิทธิมนุษยชน อันเป็นสิ่งที่ กสม. ทั่วโลกมี ซึ่งหากดำเนินการทั้ง 2 เรื่องนี้ได้ เชื่อว่า กสม. ไทย จะกลับขึ้นไปอยู่ระดับ A อย่างแน่นอน อย่างไรก็ตาม กสม. ชุดที่ 3 ก็ต้องพ้นจากตำแหน่งไปหลังประกาศใช้ พ.ร.ป.กสม. ฉบับ 2560 จึงต้องให้ กสม. ชุดที่ 4 ดำเนินการต่อ
“รัฐธรรมนูญ 2560 มีทั้งข้อดีและข้อด้อย ข้อดีคือเขายกสถานะ กสม. เป็นองค์กรอิสระ สิ่งหนึ่งที่เรามีศักดิ์ศรีเท่ากับอีก 4 องค์กร แล้วเราสามารถเสนอกฎหมายเองได้ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญของ กสม. มีข้อดีคือมาตรา 5 ถึงแม้สำนักงานเรายังเป็นราชการอยู่ แต่เราไม่จำเป็นต้องบริหารตามราชการ มาตรา 5 เขียนช่องให้เราสามารถออกระเบียบเองได้ เพราะกรรมการสิทธิเราไม่ได้ทำงานเหมือนองค์กรอิสระอื่นๆ อันนี้คือจุดดี และจุดดีสำคัญคือทำให้เราได้เงื่อนไขเลื่อนสถานะ A คืนกลับมา
แต่จุดด้อย สิ่งหนึ่งที่เขาบอกว่าอยากให้ A กสม. แต่ให้ไม่ได้ เพราะไปเขียนกฎหมาย มาตรา 247 (4) มาตรา 26 (4) ไปเขียนหน้าที่ที่ไม่มี กสม.ทั่วโลกเขามีกัน คือทำหน้าที่ชี้แจงในกรณีที่มีรายงานที่ไม่ถูกต้องไม่เป็นธรรม เราพยายามบอกแล้วอย่าเขียนลงไป เราทำอยู่แล้ว ปีหนึ่งเราไปรายงานสถานการณ์สิทธิ ถ้าสถานการณ์สิทธิอะไรที่มันไม่ถูกต้องแล้วมีใครมาว่าประเทศเรา คนที่ต้องทำหน้าที่ชี้แจงทันทีคือรัฐบาล กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงยุติธรรม กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพก็ชี้แจงได้ แต่ กสม. ท่านก็มาดูรายงานประจำปี ทำหนังสือสอบถามมาที่ กสม. ก็จะยืนยัน แต่อย่าให้ กสม. ไปชนเลย” ประกายรัตน์ กล่าว
พรประไพ กาญจนรินทร์ ประธานกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (ชุดที่ 4-ชุดปัจจุบัน) กล่าวว่า สำหรับชุดที่ 4 อยู่ในช่วงที่สังคมเริ่มรับรู้เรื่องสิทธิมนุษยชนมากขึ้น แต่ก็โชคดีที่ กสม. ชุดนี้มีกรรมการมาจากผู้เชี่ยวชาญหลากหลายด้าน จึงมั่นใจว่าจะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยทำงานใน 2 ส่วนควบคู่กันไปคือ 1.แก้ไขปัญหาตามที่มีเรื่องร้องเรียนเป็นรายกรณี กับ 2.จัดทำข้อเสนอแนะเพื่อแก้ไขปัญหาเชิงระบบในภาพรวม ร่วมกับทุกภาคส่วน ทั้งนี้ปัจจุบันภาคประชาสังคมเข้มแข็งขึ้นมาก ขณะเดียวกันภาครัฐก็ลดความระแวงลงและเข้าใจ กสม. มากขึ้น
“ถ้าถามว่ามีความท้าทายมากไหม? มากมายมหาศาลตัวช่วยที่จะเอามาช่วยก็คือการมีไอที มีการเสริมสร้างสมรรถนะเจ้าหน้าที่ของเราด้วย เพราะอันนี้เป็นด่านหน้าที่เราจะไปช่วยรับรู้เรื่องราวความเดือดร้อนของพี่น้องเพื่อนคนไทยในกลุ่มต่างๆ ต้องมีการสร้างเครือข่าย กสม. แต่ละท่านก็จะมีเครือข่ายของตัวเองที่จะช่วยในการขับเคลื่อนได้ผลตามที่ต้องการ แต่มันก็ยังเป็นจุดเริ่มต้นเพราะเราเพิ่งมาได้ปีเดียว” พรประไพ กล่าว
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี