“นางสาวกรชชนก หุตะแพทย์” หรือ “ฝ้าย” ซึ่งคลุกคลีกับวิถีชีวิตความพอเพียงตั้งแต่วัยเยาว์ จนมาถึงวัย 35 ปี ที่เปรียบชีวิตของเธอได้กับเป็น “ต้นไม้” ที่เติบโตด้วยการมีต้นแบบที่ดีให้เรียนรู้ถึงความพอเพียง ต้นแบบนั้น คือ คุณพ่อคมสัน หุตะแพทย์ ผู้อำนวยการ มูลนิธิศูนย์สื่อเพื่อการพัฒนา (Media Center for Development Foundation : MCDF) ซึ่งมีบทบาทขับเคลื่อนงานด้านเกษตรกรรมธรรมชาติมาไม่ต่ำกว่า 30 ปี โดยเน้นงานด้านการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารและการอบรม เพื่อส่งเสริมด้านเกษตรอินทรีย์ และ เกษตรยั่งยืน
การซึมซับต้นแบบที่ดี ทำให้นางสาวกรชชนก เรียนต่อในปริญญาตรีคณะวิศวกรรมศาสตร์ ด้านสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และ ไปต่อยอดเรียนต่อปริญญาโทที่ประเทศเนเธอร์แลนด์ สาขาสิ่งแวดล้อม โดยตรง เรียกว่า เอาจริงเอาจังกับงานด้านสิ่งแวดล้อมก่อนที่จะมีกระแสบนโลกโซเชียลอย่างในทุกวันนี้
นางสาวกรชชนกจบปริญญาโทด้านสิ่งแวดล้อมที่ประเทศเนเธอร์แลนด์มาเมื่อ 10 ปีกว่าแล้วและนำความรู้และพื้นฐานที่ได้รับจากพ่อ มาคลุกฝุ่นอยู่บนพื้นที่ 100 ตารางเมตร บนพื้นที่ซอยสุขุมวิท 62 ซึ่งเป็นพื้นที่บ้านของคุณตาที่ชื่อ คุณตาสุทธิ โอมุเณ เป็นพี่ชายของคุณตาของเธออีกที
“การที่ไปเรียนต่อที่เนเธอร์แลนด์ ทำให้สร้างความมั่นใจในสิ่งที่ที่บ้านทำ จริงๆฝ้ายจบมา 10 กว่าปีแล้ว แต่ตอนนั้นเรื่องสิ่งแวดล้อมยังไม่ได้เป็นประเด็นในโซเชียลที่ถูกพูดถึง เราก็ทำสวนผักบ้านคุณตา หลายๆคนก็ไม่เข้าใจ หรือ สิ่งที่เราพูดกับเพื่อนๆหลายคนก็อาจไม่เข้าใจแต่ที่เนเธอร์แลนด์ ก็เป็นเรื่องปกติของทุกคน เพราะชีวิตประจำวันของเขา เช่น เอาถุงผ้าไปช๊อปปิ๊ง และ ขี่จักรยานไปทำงาน เราก็เลยรู้สึกว่า เข้าใจ และ มั่นใจว่า เราต้องไปในแนวทางนี้ถูกต้องแล้ว
เรื่องนวัตกรรมต่างๆ เนเธอร์แลนด์เขาก็ส่งเสริม หรือ ผลักดันให้เป็นจริง เทศบาลต่างๆให้พื้นที่คนรุ่นใหม่มาสร้างโปรเจกต์เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม และ ให้เราได้ดูงานเยอะ ซึ่งบ้านเราตามเนเธอร์แลนด์ประมาณสิบปี
ส่วนสวนผักบ้านคุณตาเป็นอีกศูนย์อบรม ซึ่งเราทำมาก่อน เพราะคุณพ่อเป็นผู้อำนวยการศูนย์สื่อเพื่อการพัฒนาฯ ก็อยากจะเอาความรู้ที่เคยเผยแพร่ไป มาทำให้เป็นจริง โดยนำบ้านส่วนตัวของครอบครัวมาทำก่อน เราเริ่มมาจากตรงนั้น เป็นพื้นที่เล็กๆ 100 กว่าตารางวา แต่ก็จะมีปัญหาเรื่องการขยายของเมือง เพราะบ้านเป็นของคุณตา ตัวบ้านอายุ 50-60 ปี ก็จะเห็นความเป็นจริงของสภาพแวดล้อม ตั้งแต่ไม่มีทางด่วน ไม่มีตึกใหญ่ พอวันนี้เราก็ถือว่าเป็นบ้านเล็กๆกลางเมือง ที่สุขุมวิท 62 สถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส บางจาก ซึ่งบ้านสวนคุณตาทำเรื่องการพึ่งพาตนเองให้ได้มากที่สุด มีเรื่องผัก ข้าว เห็ด เลี้ยงไก่ และ ติดตั้งโซล่าร์เซลล์ รวมทั้งการพึ่งพาตนเองเรื่องการใช้น้ำหมุนเวียนภายในบ้าน ทำให้เห็นว่า 100 ตารางวา ก็สามารถพึ่งพาตนเองได้ ” นางสาวกรชชนก เล่าให้ฟังอย่างเป็นกันเอง
วันนี้นางสาวกรชชนกนำความรู้ทั้งจากการศึกษาที่เนเธอร์แลนด์ และ จากการสั่งสมด้วยประสบการณ์ที่ได้รับการปลูกฝังจากคุณพ่อมาตั้งแต่วัยเยาว์ มาเนรมิต “ชุมชนนิเวศสันติวนา” บนพื้นที่ 33 ไร่ บนถนนสรงประภา เขตดอนเมือง กรุงเทพฯ ให้เป็นพื้นที่แห่งการเรียนรู้การทำเกษตรในเมือง เพื่อสร้างเป็น “แหล่งอาหาร” สำหรับคนเมือ'
“พื้นที่ตรงนี้ ทำโครงการขึ้นมาในนาม 2 มูลนิธิ ร่วมมือกัน คือ มูลนิธิศูนย์สื่อเพื่อการพัฒนา ซึ่งทำมากว่า 30 ปี ทำงานด้านการอบรมและเผยแพร่ความรู้ ได้มารู้จักกับเจ้าของพื้นที่ ชื่อว่า มูลนิธิครูสุรินทร์เพื่อการศึกษา เขาจะเป็นมูลนิธิด้านโรงเรียนและการศึกษาต่างๆ เดิมเป็นพื้นที่เข้าเงียบของศาสนาคริสต์ คนที่ดูพื้นที่ตรงนี้ คือ บาทหลวงวิชัย โภคทวี ไม่มีคนมาดูแลต่อ ทางมูลนิธิศูนย์สื่อพัฒนาก็ได้มาทำตรงนี้ พื้นที่มีทั้งหมด 33 ไร่ โดยเจ้าของเป็นของมูลนิธิครูสุรินทร์ฯ ทางมูลนิธิศูนย์สื่อมาสร้างพื้นที่่เพื่อกิจกรรมสาธารณประโยชน์ เราต้องการรักษาพื้นที่ป่า และ เป็นพื้นที่ชุ่มน้ำ ในหน้าฝนใช้ในการรองรับน้ำเยอะมาก ในทุ่งสีกัน เป็นพื้นที่รับปริมาณน้ำ ช่วงหน้าฝนเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำ แต่ช่วงหน้าแล้ง เป็นพื้นที่เพาะปลูก ซึ่งก็ทำที่สันติวนาเข้ามาปีที่ 4 ปีแรกเป็นช่วงของการบุกเบิก ปีที่ 2-3 ก็มาเจอสถานการณ์โควิด และเนื่องจากทีมงานของเราน้อย ก็ทำเรื่องอาสาสมัคร ซึ่งทำมา 3 รุ่นแล้ว อย่างหลายๆคนที่มาใช้ชีวิตอยู่กับเราก็ได้ความรู้ และ ทางเราก็ได้แรงงานมาเกื้อกูล โดยอาสาสมัครก็มีหลายๆรูปแบบ บางคนก็อาจเช้าไปเย็นกลับ หรือ บางคนก็มาสัปดาห์ละ 2-3 วัน ซึ่งก็มีจะมีตารางการทำงานในแต่ละวัน และมีมาสรุปกันว่าใครทำอะไรไป” นางสาวกรชชนก เล่าให้ฟังถึงที่มาที่ไปของการทำชุมชนนิเวศสันติวนา เพื่อคนเมืองได้เรียนรู้การทำเกษตร จนสามารถพึ่งพาตนเองได้ในอนาคต
แต่การทำศูนย์เรียนรู้ที่ชุมชนนิเวศสันติวนาก็ต้องหยุดไปในช่วงการแพร่ระบาดโควิด-19 โดยเธอเล่าว่า ช่วงโควิดทำให้หยุดการจัดกิจกรรมอบรมหลักๆ และ โครงการระดมทุน และ นำผลผลิตที่ได้มาจากไปแจกจ่ายให่กับมูลนิธิต่างๆ โดยตอนนั้นก็มี 2 โครงการหลัก คือ โครงการฟู๊ด แชร์ริ่ง ปลูกผัก และ นำไปแจกจ่ายให้องค์กรที่ประสบปัญหา เช่น ฟู้ดไฟว์เตอร์ และ เอสโอเอส ใครที่จะมาเป็นอาสาสมัครก็มาได้ และ มีโครงการฝึกอาชีพ ก็ประสานกับมูลนิธิ โฮมเน็ต มีการนำหมอนวดมาฝึกงานเรื่องของเกษตร และ การทำของใช้ในครัวเรือน เช่น ทำแชมพู ยาสีฟัน พอสถานการณ์ดีขึ้น ก็มีความรู้ติดตัว
ส่วนช่วงสถานการณ์ปกติ “ชุมชนนิเวศสันติวนา” เปิดฝึกอบรมตามปกติ โดยนางกรชชนกเล่าว่า คนที่มาเรียนรู้ทำเกษตในเมืองกับชุมชนนิเวศสันติวนาเน้นคนที่มีพื้นที่อยู่แล้ว และ จะไปต่อยอดทำเกษตรขนาดใหญ่ เช่น การทำเกษตรในโรงเรือน ซึ่งส่วนหนึ่งได้รับการต่อยอดจาก สวทช. (NSTDA) เช่น การปลูกผักในโรงเรือนอัจฉริยะ เพื่อให้คนที่สนใจเข้ามาเรียนรู้การปลูกผักที่ใช้เทคโนโลยีเข้ามาผสมผสานด้วย และ การปลูกผักที่ใช้ในครัวเรือน และ การเกษตร
“เราพยายามเอาความหลากหลายเข้ามาเพื่อให้คนมาเรียนรู้ได้ประโยชน์ แต่เราไม่ได้เน้นปลูกผักขาย เพราะเน้นให้ความรู้ ส่วนผลผลิตเราก็แบ่งปันให้คนในชุมชน คนรอบข้าง และ อาสาสมัคร ส่วนหนึ่งก็ขายออนไลน์บ้าง แต่ถ้ามีเยอะ เราก็นำไปบริจาคให้กับองค์กรต่างๆ” นางสาวกรชชนกเล่าให้ฟังถึงเป้าหมายที่แท้จริงของการทำชุมชนนิเวศสันติวนาเป็นแหล่งเรียนรู้การทำเกษตรคนเมือง
เธอทิ้งท้ายได้อย่างน่าสนใจว่า การทำสวนผักบ้านคุณตาเป็นไปในแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง ตามพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ซึ่งเป็นสิ่งที่เห็นคุณพ่อทำมากว่า 30 กว่าปี และเห็นการเติบโตของผู้คน โดยนับเป็นเรื่องที่ดี แต่ปัจจุบันก็ต้องทำความเข้าใจกับคนส่วนใหญ่ เพื่อให้ความรู้ในเรื่องเกษตรเมือง และ เกษตรอินทรีย์ เพราะมีอีกหลายมิติที่ต้องให้ความรู้ เนื่องจากคนสนใจกินผักมากขึ้นก็จริง แต่ยังไม่เข้าใจเรื่องการปลอดสารเคมี
ส่วนการทำชุมชนนิเวศสันติวนาที่ถนนสรงประภานั้น เธอบอกว่า มีเป้าหมายให้คนเมืองมาเรียนรู้การทำเกษตร เพื่อการพออยู่พอกิน “อยู่ในสิ่งที่กิน กินในสิ่งที่ปลูก” ทำหลักการของผสมผสาน ทำสลับสับเปลี่ยนกันไปในฤดูกาลต่างๆ พยายามอยู่ในสิ่งแวดล้อมเดิมให้ได้ อย่างเช่น ในช่วงหน้าฝน ปลูกผักไม่ได้ ก็ปล่อยให้เป็นพื้นที่ชุ่มน้ำ และ ไม่ค่อยทำเรื่องเพาะปลูกผักมาก แต่อาจทำเรื่องปลูกพืชที่ทนน้ำ ทนฝน ได้ดี ซึ่งพื้นที่เพาะปลูกก็ต้องทำใจว่า ให้เป็นพื้นที่รับน้ำไป พอน้ำลดก็ค่อยมาเป็นแปลงปลูกผักใหม่ ซึ่งก็ต้องปรับเปลี่ยนให้เข้ากับพื้นที่ โดยที่ผ่านมาผลตอบรับ เราเองยังไม่ค่อยได้ทำการประชาสัมพันธ์ ให้เป็นที่รับรูเ้มาก แต่คนที่อยู่ในละแวกนนทบุรี ปทุมธานี และ ดอนเมือง ก็รับรู้ว่า เป็นพื้นที่ที่เป็นแหล่งอาหารให้กับคนในชุมชน ก็ตรงกับเป้าหมายในช่วง 2-3 ปีแรกที่ทำ
ขอบคุณข้อมูลและภาพ
https://www.greenery.org/articles/people-business-kotchanok-hutapat/
https://www.facebook.com/grandpaurbanfarmTH/
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี