“เรื่องบ้านเขาเราอย่าไปยุ่ง” เป็นคำพูดที่สอนต่อๆ กันมาในสังคมไทย ซึ่งก็เข้าใจได้เพราะหลายกรณีเมื่อคนนอกเข้าไปยุ่ง ต่อมาเมื่อคนในครอบครัวที่เป็นคู่กรณีกันเกิดคุยกันรู้เรื่อง-ตกลงกันได้ คนนอกก็มักจะได้รับผลกระทบถูกมองในแง่ลบจากคนในครอบครัวนั้นเสียเอง อย่างไรก็ตาม ในหลายกรณีอีกเช่นกัน การที่สังคมรอบข้างเพิกเฉยละเลย กลับกลายเป็นทำให้สถานการณ์ “ความรุนแรงในครอบครัว” ในบ้านนั้นยิ่งรุนแรงขึ้น และบางครั้งอาจลุกลามบานปลายกลายเป็นเหตุน่าสลดใจ
ในทางกลับกัน “การยื่นมือเข้าช่วยตั้งแต่เนิ่นๆ ก็อาจช่วยตัดวงจรความรุนแรงลงได้” ดังกรณีตัวอย่างที่ สุภัทรา นาคะผิว กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ นำมาบอกเล่าในการแถลงข่าวประจำสัปดาห์ของ สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) เมื่อวันที่ 8 ก.ย. 2565 ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นเรื่องของเด็กสาววัย 15 ปี ถูกบิดา-มารดาทำร้ายร่างกายด้วยวิธีการต่างๆ จนเกิดรอยฟกช้ำและบาดแผลตามร่างกาย รวมทั้งถูกบังคับให้กู้ยืมเงินผู้อื่นมาใช้จ่ายในครอบครัว กระทั่งญาติของเด็กสาวตัดสินใจเข้าร้องเรียนกับ กสม. ในเดือน ธ.ค. 2564
ต่อมาในเดือน มี.ค. 2565 กสม. ได้ทราบความคืบหน้าจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องว่า ได้ส่งนักสังคมสงเคราะห์ เจ้าหน้าที่บ้านพักเด็กและครอบครัวจังหวัดเชียงรายและเครือข่ายชุมชน ประกอบด้วย ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านสารวัตรกำนันตำบล ฝ่ายรักษาความสงบในหมู่บ้าน ลงพื้นที่เยี่ยมบ้านบิดามารดาของผู้เสียหายที่จังหวัดเชียงใหม่ และบ้านยายของผู้เสียหายที่จังหวัดเชียงราย จนได้ทราบว่าครัวเรือนนี้มีลูก 3 คน โดยผู้เสียหายเป็นลูกคนโต ทางครอบครัวมีภาระค่าใช้จ่ายในครัวเรือนและหนี้สินนอกระบบที่ค้างชำระจำนวนมาก
“จากการเจรจา บิดา-มารดาได้ตกลงให้ผู้เสียหายอยู่ในความอุปการะเลี้ยงดูของยายและให้คำมั่นว่าจะเลิกแสดงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมกับผู้เสียหาย ทั้งนี้ บ้านพักเด็กและครอบครัวจังหวัดเชียงรายได้มีมติให้ผู้นำชุมชนและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นร่วมเฝ้าระวังเหตุการณ์ความรุนแรงในครอบครัวที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต หากได้รับแจ้งว่าบิดามารดามารับผู้เสียหายไปดูแล ให้ตาและยายสามารถแจ้งไปยังผู้นำชุมชนเพื่อให้ความช่วยเหลือเป็นการด่วน รวมทั้งจะประสานขอรับการช่วยเหลือจากเงินกองทุนคุ้มครองเด็กจังหวัดเชียงรายเพื่อให้ความช่วยเหลือเรื่องค่าอุปการะเลี้ยงดูต่อไป” สุภัทรา ระบุ
ล่าสุดจากการติดตามของเจ้าหน้าที่สำนักงาน กสม. เมื่อเดือน พ.ค. และ ส.ค. 2565 ได้ความว่า ปัจจุบันผู้เสียหายยังคงอยู่ในความอุปการะเลี้ยงดูของยาย ซึ่งบิดา
เคยติดต่อยายของผู้เสียหายเพื่อขอรับผู้เสียหายไปอุปการะเลี้ยงดูอีกครั้ง แต่ยายของผู้เสียหายไม่ให้ความยินยอม ปัจจุบันจึงไม่มีเหตุการณ์ความรุนแรงในครอบครัวเกิดขึ้นกับผู้เสียหายแล้ว ดังนั้น กสม. ในคราวประชุมด้านการคุ้มครองและมาตรฐานการคุ้มครองสิทธิมนุษยชน เมื่อวันที่ 5 ก.ย. 2565 จึงมีมติเห็นชอบผลการประสานการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนดังกล่าว
และมอบหมายเจ้าหน้าที่สำนักงาน กสม. ให้คำแนะนำแก่ผู้ร้องว่าหากเกิดเหตุการณ์ตามคำร้องเรียนอีก ผู้ร้องสามารถขอความช่วยเหลือจากสำนักงานคุ้มครองสิทธิและช่วยเหลือทางกฎหมายแก่ประชาชนและการบังคับคดีประจำจังหวัดของสำนักงานอัยการสูงสุดหรือพนักงานเจ้าหน้าที่ผู้มีหน้าที่คุ้มครองสวัสดิภาพเด็ก ตาม พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546
อย่างไรก็ตาม “กรณีนี้เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งที่เด็กถูกกระทำความรุนแรงในครอบครัว ซึ่งยังดีที่ญาติไม่เพิกเฉยและร้องเรียนมายัง กสม. กระทั่งได้รับความช่วยเหลือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง” ถึงกระนั้นยังมีเด็กและผู้หญิงจำนวนมากที่ถูกกระทำความรุนแรงในที่ที่ควรจะเป็นพื้นที่ปลอดภัย โดยเพื่อนบ้าน ญาติ ชุมชน หรือเจ้าหน้าที่ระดับท้องถิ่นที่เกี่ยวข้องไม่สนใจหรือเพิกเฉยเพราะเห็นว่าเป็นเรื่องส่วนตัวภายในครอบครัวของผู้อื่น ซึ่งเป็นเรื่องที่จะต้องปรับเปลี่ยนทัศนคติกันและหันมายื่นมือให้ความช่วยเหลือเหยื่อของความรุนแรง
ทั้งนี้ สอดคล้องตาม พ.ร.บ.คุ้มครองผู้ถูกกระทำความรุนแรงในครอบครัว พ.ศ. 2550 มาตรา 5 ที่กำหนดให้ผู้พบเห็นหรือทราบการกระทำความรุนแรงในครอบครัว มีหน้าที่แจ้งต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ด้วย โดยเมื่อมีการแจ้งเหตุแล้ว พนักงานเจ้าหน้าที่ตามกฎหมายดังกล่าว มีอำนาจหน้าที่เข้าไปยังสถานที่เกิดเหตุ ซึ่งก็จะเริ่มจากกระบวนการพูดคุยสอบถามทั้งฝ่ายผู้กระทำและผู้ถูกกระทำ เพื่อหาสาเหตุที่มาที่ไปของความรุนแรงนั้น
“อย่างน้อยที่สุด พบเห็นแล้วแจ้งเป็นเรื่องสำคัญ เราควรจะมีการเผยแพร่และทำความเข้าใจให้ประชาชนปรับเปลี่ยนทัศนคติมุมมอง ว่าเรื่องความรุนแรงในครอบครัวไม่ใช่เรื่องส่วนตัว ไม่ใช่เรื่องภายในที่คนนอกไม่ควรเข้าไปยุ่งเกี่ยว เราต้องช่วยกันปรับเปลี่ยนมุมมองอันนี้ เพราะการกระทำความรุนแรงไม่ว่าจะเป็นใครกระทำต่อใครเป็นสิ่งที่ไม่ควรเกิดขึ้นทั้งสิ้น ไม่ว่าจะมีสถานะของการเป็นพ่อแม่ ผู้ปกครอง หรือเป็นสามี-ภรรยา” สุภัทรา กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี