“ซีโร่ คาร์บอน” (ZERO CARBON) กระแสที่กำลังบูมในไทย ท่ามกลางวิกฤตโรคระบาดโควิด-19 นโยบายของการเดินสู่ซีโร่ คาร์บอน ในภาคเอกชนของไทยเรียกว่า เกิดการตื่นตัวจนเป็นกระแส และ กระเพื่อมในหลายองคาพยพ โดยบริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) เป็นบริษัทด้านพลังงานอันดับหนึ่งของไทย นำทัพตั้งเป้าเน็ต ซีโร่ ภายในปี 2603 โดยเรียกยุทธศาสตร์นี้ว่า “สังคมคาร์บอนต่ำ “Powering Life with future energy and beyond” ซึ่งโมเดลการพัฒนายั่งยืน สู่สังคมคาร์บอนต่ำนั้น ต่อยอดไปถึงการพัฒนานวัตกรรมธุรกิจวิทยาศาสตร์เพื่อชีวิต
รวมไปถึง บริษัทที่เรียกว่าขึ้นแท่น “บมจ.” ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ร่วมมือกันเดินหน้าสู่กลยุทธ์การบริหารธุรกิจแบบยั่งยืน หรือ “sustainable” แม้กระทั่งวงจรการผลิตอาหาร พบว่า หากมีความร่วมมือกันใช้พลังงานไฟฟ้าแสงอาทิตย์ จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้มากกว่า 4,000 ตัน โดยกรุงไทย คอมพาส (Krungthai compass) ให้ข้อมูลว่าสินค้าปศุสัตว์และอาหารเป็นสินค้าที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงที่สุด เมื่อนำไปเทียบกับสินค้าเกษตรอื่นๆ ขณะเดียวกันการส่งออกเพื่อไปสหภาพยุโรป และ สหรัฐอเมริการ มีปริมาณสูง จนทำให้ต้องมีแผนลดการปล่อนก๊าซเรือนกระจก
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี และ ภาคีเครือข่ายมีการลงนามความร่วมมือโครงการลดก๊าซเรือนกระจกในห่วงโซ่อุปทานของอุตสาหกรรมปศุสัตว์ไทย โดยถึงกับตั้งเป้าว่าจะปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้เหลือศูนย์ในปี 2583 หรือ อีก 18 ปีข้างหน้า
ประเด็นอยู่ที่ว่า ปี 2565 กระแส “ซีโร่ คาร์บอน” เป็นกระแสที่องคาพยพในไทยตื่นตัว แต่กระแสเหล่านี้จะดำเนินไปอย่างถาวรตามเป้าหมายหรือไม่ ตรงนี้เป็นประเด็นที่ต้องจับตามองกันในระยะยาว เพราะปัจจุบัน ในส่วนของ “คนเมือง” ก็ตอบรับและเป็นผู้นำกระแสในการสร้างพื้นที่สีเขียว และลดปริมาณขยะที่ใช้ในเมือง โดยเฉพาะในกรุงเทพมหานคร แต่บทเรียนของสังคมไทย คือ กระแสในบ้านเรามักเป็นแค่ชั่ววูบชั่ววาบ เมื่อมีผู้จุดพลุก็ดัง แต่เมื่อพลุดับลงก็กลายเป็นกระแสในช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้น
นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานกล่าวปาฐกถาบนเวทีสัมมนา “NEW ENERGY : แผนพลังงานชาติ สู่ความยั่งยืน” ที่โรงแรมแกรนด์ ไฮเอท เอราวัณฯ ซึ่งจัดโดยเครือเนชั่น ว่า ขณะนี้ กระทรวงพลังงานกำลังออกแบบหลักการประหยัดพลังงาน 3 ข้อใหญ่ ได้แก่ 1.ความมั่นคงของระบบไฟฟ้า 2.ต้นทุนค่าไฟฟ้าให้อยู่ในระดับเหมาะสมและแข่งขันกันได้ และ 3.การบริหารทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมให้อยู่ในระดับที่สมดุล โดยเชื่อมโยงและต่อยอดไปยัง “ระบบไฟฟ้าในอนาคต” (Grid Modernization) ซึ่งปัจจุบันมีผู้ลงทุนในอุตสาหกรรมยานยนต์ในไทยอย่างน้อย 3-4 ราย และ อนาคตไทยก็ตั้งเป้าว่าจะเป็นศูนย์กลาง หรือ ฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าในไทย รวมทั้งนโยบายเหล่านี้จะมีผลต่อการส่งเสริมภาคการเกษตรให้มีรายได้ และ ส่งเสริมความเป็นกลางทางคาร์บอน
เพราะฉะนั้น การเดินหน้าเรื่อง “สิ่งแวดล้อม” จึงจำเป็นต้องใช้ “ความจริงใจ” จึงจะไม่เป็นเพียงกระแส หรือเพียงแค่ต้องการได้การลดภาษีในการทำการค้าเท่านั้น แต่จะต้องเชื่อมโยงกับ “เศรษฐกิจ สังคม ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม” โดย “ดร.พงษ์พิสิฏฐ์ วิเศษกุล” ผู้เขียนหนังสือ “เศรษฐกิจเขียวและใส” ระบุว่า จากข้อมูล “50 ความจริงที่น่าจะเปลี่ยนโลก” ของเจสสิก้า วิลเลี่ยมส์ (Jessica Williams) ซึ่งรวบรวมความจริงที่เหลือเชื่อระหว่างปี 2545-2546 ดังนี้
ด้านเศรษฐกิจพบว่า มีธุรกิจยาทั่วโลกมีมูลค่าทางธุรกิจสูงถึง 4,000 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ ซึ่งมีมูลค่าพอๆกับยาเสพติด , ค่าใช้จ่ายในการป้องกันประเทศของทุกประเทศ รวมกันเท่ากับ 794,000 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ มีสหรัฐอเมริกาเป็นผู้นำจ่ายเงิน และ มีมูลค่าสูงเป็นเม็ดเงิน 6 เท่า ของประเทศรัสเซีย และ ประเทศรัสเซียก็จ่ายเงินส่วนนี้สูงเป็นอันดับสอง , คนอเมริกันใช้จ่ายค่าสื่อทางเพศประมาณปีละ 4,000 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ ซึ่งเท่ากับเงินที่บริจาคให้ประเทศที่กำลังพัฒนา และ ยังค้างจ่ายให้สหประชาชาติอีก 1,000 ล้านดอลล่าร์ และ สหภาพยุโรปใช้เงินสนับสนุนการเลี้ยงวัววันละ 2.50 ดอลล่าร์สหรัฐต่อตัว ขณะที่คนในแอฟฟริกาสัดส่วนร้อยละ 75 มีรายได้ 2.50 ดอลล่าร์สหรัฐ
ด้านสังคม มีข้อมูลว่า ผู้หญิงญี่ปุ่นมีอายุเฉลี่ย 84 ปี ขณะที่ผู้หญิงของประเทศบอสวานาในทวีปแอฟฟริกามีอายุเฉลี่ยเพียง 39 ปี , มากกว่าร้อยละ 70 ของประชากรโลก ไม่เคยใช้โทรศัพท์แม้แต่ครั้งเดียว , ทั่วโลกมีการตายด้วยกับระเบิดชั่วโมงละ 1 คน ส่วนรถยนต์ฆ่าคน 2 คนทุกๆนาที และประชากรหนึ่งในสามของโลกกำลังทำสงครามกลางเมือง แต่จำนวนผู้เสียชีวิตจากสงครามมีน้อยกว่าการฆ่าตัวตาย
ด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มีข้อมูลว่า ผู้บริโภคในสหรัฐอเมริกาทิ้งขวดน้ำพลาสติกชั่วโมงละ 2.5 ล้านขวด ซึ่งหากนำขวดเหล่านี้มาต่อกัน ภายในสามอาทิตย์จะได้ระยะทางจากโลกถึงดวงจันทร์ , การขนส่งลูกกีวีจากประเทศนิวซีแลนด์ไปยังประเทศอังกฤษต้องใช้เชื้อเพลิงการขนส่งหนักเป็นสามเท่าของน้ำหนักลูกกีวี และ หนึ่งในสี่ของการสู้รบบนโลก เกิดการแย่งชิงทรัพยากร โดยเฉพาะ “น้ำ”
ไตรมาสสุดท้ายของปี 2565 จึงต้องจับตามองว่า ระยะยาวของการเดินทางในนโยบาย “ซีโร่ คาร์บอน” จะเป็นเพียงกระแสทางธุรกิจ หรือ เป็นความจริงใจที่มีต่อสิ่งแวดล้อมโลกในระยะยาวในทิศทางใดต่อไป ขณะที่ “คนเมือง” ในกรุงเทพมหานครนั้นก็เป็นผู้นำกระแสเหล่านี้มาได้ 2-3 ปี โดยเฉพาะช่วงที่มีภัยโรคระบาดเกิดขึ้น ทำให้คนเมืองหันมาสนใจการปลูกผักอินทรีย์ในเมืองมากขึ้น และ การลดขยะที่ใช้ และ นำขยะมาใช้อย่างมีคุณค่าด้วยการรีไซเคิล ซึ่งกระแสของคนเมืองเหล่านี้ก็เชื่อมโยงกับนโยบายทางธุรกิจของทุกองคาพยพในไทยบนทิศทางการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน เพื่อเดินหน้าสู่เป้าหมาย "ZERO CARBON"
แต่หากกระแสเหล่านี้ ขาดความจริงใจ จะทำให้ปีหน้า 2566 เกิดการผ่อนแรง และ ภาคเอกชนก็ต้องอัดงบประมาณในการโฆษณาและประชาสัมพันธ์เพิ่มขึ้น เพื่อสร้างน้ำหนักในเรื่องนี้ แต่หากมีความจริงใจเดินหน้าอย่างต่อเนื่อง กลยุทธ์การทำธุรกิจอย่างยั่งยืนก็จะเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนองค์กร และ เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของพนักงานและการบริหารองค์กรนั้นๆโดยอัตโนมัติ
ดั่งเช่นประโยคภาษาบาลีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ว่า “ชีวัง ปฐมัง กะลัง” ปฐมแห่งชีวิตเกิดจากเซลล์ ฉันใดก็ตาม การเกิดขึ้นของคาร์บอนไดออกไซด์ จนทำให้มีก๊าซเรือนกระจกจำนวนมาก และเป็นสาเหตุทำให้เกิดภาวะโลกร้อนนั้น เกิดจากการใช้ทรัพยากรอย่างไม่ประหยัด การแก้ปัญหาเหล่านี้จึงต้องไปที่ “ต้นเหตุ” หรือ ปฐมแห่งเหตุที่เกิดขึ้น
ขณะที่ “ZERO CARBON” ก็เป็นภาวะแห่งปฐมเหตุที่ทำให้ทั่วโลกขยับตัว และ ต้องการทำเหตุนี้ให้เกิดขึ้นเพื่อลดผลวิกฤตของภาวะโลกร้อน อันเป็นส่วนสำคัญในการกระตุ้นให้เกิดภัยธรรมชาติ ซึ่งเป็นไปตามสัจธรรมขององค์สมณโคดมบรมครูที่กล่าวไว้ใน “อริยสัจสี่” โดยหากมีการเดินหน้าปฏิบัติอย่างจริงจัง เพื่อลดคาร์บอนไดออกไซด์ และ มีความจริงใจในการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างรู้คุณค่า ก็จะเห็นผลในการกระทำของตนเองนั่นเอง
ขอบคุณข้อมูล
หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฉบับพิเศษ
หนังสือ "เศรษฐกิจเขียวและใส" เศรษฐกิจพอเพียงสำหรับประเทศไทยในเรือนกระจก เขียนโดย ดร.พงษ์พิสิฏฐ์ วิเศษกุล
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี