ถ้าพูดถึงความเป็นเจ้าพ่อในวงการการปลูกผักอินทรีย์และปลอดสารพิษ ในสังคมไทยต้องนึกถึง “ยักษ์กะโจน” 2 กูรูผู้เปิดโลกผักอินทรีย์ และ นำมาสู่ธุรกิจอาหารปลอดสารพิษที่มีหน้าตาดี และ นำผักพื้นเมืองของไทยมาขึ้นโต๊ะอาหารได้อย่างลงตัว โดยปัจจุบันมีร้านอาหารยักษ์กะโจนอยู่ในกรุงเทพมหานครหลายสาขา และ สาขาที่โดดเด่นนั้นอยู่ที่ถนนบรรทัดทอง ซึ่งทั้งอาจารย์ยักษ์และอาจารย์โจนมีลูกศิษย์ที่ปลูกผักอินทรีย์อยู่ทั่วประเทศ และ ขยายไปยังอาชีพวิทยากรด้านเกษตรอินทรีย์รวมถึงร้านอาหารก็มีมาก เรียกว่า เป็น “โมเดล” สูตรสำเร็จ ที่อาจารย์ยักษ์และอาจารย์โจนวางไว้ให้เดิน ด้วยการปลูกผักอินทรีย์ ปลอดสารพิษ นำไปสู่การต่อยอดเป็นธุรกิจอีกมากมายที่ตอบโจทย์คนเมือง เรียกว่า ทำให้คนเมืองที่สนใจทำเกษตร มีอาชีพใหม่ๆ เข้ามา และ ทำให้คนที่กำลังเรียนรู้มีกำลังใจในการทำเกษตรในเมืองได้อีก
เพราะฉะนั้น วันนี้ “แนวหน้า ออนไลน์” พาไปชมอีกแหล่งปลูกผักอินทรีย์ จนนำมาสู่ไอเดียการเปิดธุรกิจร้านอาหารแบบครบวงจร ที่บางปู จ.สมุทรปราการ
นางวิไล ชวพงศ์ อายุ 65 ปี หรือ “อ้อ” เจ้าของกิจการสวนผักอินทรีย์ และ ร้านอาหารครบวงจรที่บางปู จ.สมุทรปราการ เล่าให้ฟังว่า มีความชอบในการปลูกผักอินทรีย์ และ เริ่มปลูกโดยการเรียนรู้ในยูทูบมาเป็นเวลา 10 กว่าปี จึงนำมาสู่พื้นที่แปลงปลูกผักจำนวน 3 โรงเรือน และ แปลงปลูกผักอีกส่วนหนึ่ง เพื่อปลูกผักสลัด ต้นอ่อนผักบุ้ง ผักกวางตุ้ง ถั่วฝักยาว แตงกวา พริก มะเขือ เป็นต้น โดยแปลงปลูกผักอินทรีย์และปลอดสารเคมีตั้งอยู่บนเนื้อที่ 6 ไร่ ซึ่งบริเวณรอบๆแปลงปลูกผักรายล้อมไปด้วยธุรกิจอาหาร 3 ร้าน ได้แก่ ร้านส้มตำ , ร้านกาแฟ และ ร้านหมูกะทะ โดยเน้นอาหารทะเล
“ปกติก็เป็นคนชอบทานผักอยู่แล้ว คือ ดูจากข่าวสารพิษในอาหารมันเยอะ เราก็อยากกินของที่ปลอดสาร และให้ลูกค้าทานอาหารที่ปลอดสารด้วย ทีแรกปลูกเป็นต้นอ่อนก่อน ปลูกขาย ปลูกผักไฮโดรบ้าง ผักในดินบ้าง ทั้งต้นอ่อน ในช่วงเริ่มแรกยังไม่ได้เปิดร้านอาหารที่นี่ แต่ก็มีอาชีพเปิดร้านอาหารเล็กๆมาตลอด ไม่ได้ใช้พื้นที่เยอะถึง 6 ไร่ อย่างในปัจจุบัน ก็ใช้เวลาส่วนหนึ่งปลูกผักอินทรีย์ทำอาหารทานเองที่บ้าน ปลูกเล่นๆ เป็นเวลา 10 ปี และ ฝึกหมักสารชีวภาพ ส่วนปุ๋ยยังไงก็ต้องเป็นปุ๋ยเคมีที่อยู่ในดิน พอมาเช่าพื้นที่ 6 ไร่ ทำร้านอาหารที่นี่ เราก็เอาผักปลอดสารมาลง ลูกค้าก็แฮปปี้ ถ้าผักที่สวนเราไม่พอขายก็ต้องซื้อ และ นำมาล้างเบกกิ้งโซดา ล้างด่างทับทิม เพราะต้องให้ปลอดภัยที่สุด เนื่องจากส่วนใหญ่ผู้ที่มาทาอาหารเป็นลูกค้าประจำ” นางวิไลเล่าให้ฟังอย่างเป็นกันเอง
นางวิไลเล่าให้ฟังอีกว่า ปัจจุบันนำขยะในร้านอาหารมารีไซเคิล เช่น เศษผัก และ กากกาแฟ โดยนำมาทำปุ๋ยหมักเพื่อใช้ในแปลงผักได้อีก ซึ่งทั้งการปลูกผัก และ นำเศษอาหารมารีไซเคิล ยังได้มีโอกาสปลูกฝังลูกๆอีก 2 คนด้วยแนวคิดที่ว่า “รักลูก ชวนปลูกผัก” เพราะการปลูกผักอินทรีย์นั้นมีผลดีต่อด้านจิตใจและร่างกายของคนปลูก รวมทั้งยังประหยัดค่าใช้จ่าย เพราะเศษอาหารต่างๆก็นำมาทำปุ๋ยหมักใช้รดแปลงผักได้อีก
ด้วยความรักและชอบในการปลูกผักอินทรีย์ ทำให้นางวิไลดูแลแปลงผักเองตั้งแต่เช้าจนค่ำของแต่ละวัน และ นำมาสู่การนำผักไปเป็นส่วนประกอบของการปรุงอาหารในกิจการร้านอาหาร จนเป็นหนึ่งในจุดขายของร้าน ทำให้ร้านก๋วยเตี๋ยว ซึ่งเปิดมาได้ 3 ปี ได้รับการตอบรับที่ดี นำมาสู่การขยายกิจการมายังร้านส้มตำ และ ร้านกาแฟ ที่เพิ่งเปิดบริการได้เพียง 3 เดือน
สำหรับท่านใดที่ชอบปลูกผักอินทรีย์และผักปลอดสารพิษ รวมไปถึงการต่อยอดไปยังธุรกิจร้านอาหารครบวงจรโดยอาศัยฐานความชอบในการปลูกผักอินทรีย์ ก็สามารถแวะไปชมไอเดียได้ที่ “เพลินคาเฟ่ บางปู” ซึ่งอยู่ใกล้ๆกับวัดอโศการาม และ เมืองโบราณ ต.บางปู จ.สมุทรปราการ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี