เมื่อเร็วๆ นี้ โคแฟค (ประเทศไทย) และ Google News Initiative (GNI) จัดเวทีประชุมสุดยอด APAC Trusted Media Summit ประจำปีครั้งที่ 5 ซึ่งเป็นงานรวมตัวกันของทุกภาคส่วนที่สนใจประเด็นการตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลก่อนเผยแพร่ ตลอดจนการรับมือและจัดการกับข่าวลวง-ข้อมูลเท็จ โดยในช่วงท้ายของงาน เป็นเวทีแสดงความคิดเห็น “Voice of the Voiceless เสียงสะท้อนจากภาคสังคมในการแสวงหาความจริงร่วม” ชวนภาคประชาสังคมมาร่วมให้มุมมองว่าด้วย “สื่อที่เชื่อถือได้ (Trusted Media)”และความสำคัญของข้อมูลที่เป็นจริง
กมล หอมกลิ่น เครือข่ายอีสานโคแฟค กล่าวว่า ในยุคที่ข้อมูลข่าวสารท่วมท้นจนไม่รู้ว่าอะไรเชื่อได้-ไม่ได้ สิ่งที่เครือข่ายทำคือการสร้างคนให้รู้เท่าทันสื่อ และสร้างทุกคนให้เป็นนักสื่อสารที่มีจรรยาบรรณสื่อ “ตรวจสอบข่าวลวง-ทวงความจริง” ทั้งนี้ จุดที่เจ็บปวดคือ “เมื่อทำงานในพื้นที่แล้วรู้สึกสงสารผู้สูงอายุ” เนื่องจากผู้สูงอายุซึ่งใช้งานแพลตฟอร์มออนไลน์ (เช่น Line, Facebook) ผ่านโทรศัพท์มือถือสมาร์ทโฟน อันเป็นเครื่องมือใหม่ที่เข้ามาในชีวิต
“เขารู้สึกว่าเมื่อก่อนเขาเคยเชื่อรัฐบาล ณ ปัจจุบันเขามาเชื่อโทรศัพท์มือถือ แต่ปรากฏว่าโทรศัพท์มือถือทำให้เขาโดนหลอก สิ่งเหล่านี้มันเป็นจุดเจ็บปวดที่เราต้องทำงาน ผมคิดว่าวันนี้ถึงเวลาแล้วที่ทุกคนจะต้องลุกขึ้นมาร่วมกันทำงาน ทุกคนต้องร่วมมือกัน มันเป็นสิ่งจำเป็นไม่น้อยไปกว่าเรื่องของการเมือง เรื่องของทรัพยากร เรื่องของสื่อที่มันปนไปด้วยเรื่องความลวงความมายา Disinformation (ข้อมูลบิดเบือน) Misinformation (ข้อมูลคลาดเคลื่อน) เป็นเรื่องที่มีความจำเป็นอย่างมาก” กมล กล่าว
เชลศ ธำรงฐิติกุล ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 13 ต.หนองหญ้าไซ อ.หนองหญ้าไซ จ.สุพรรณบุรี กล่าวว่า นอกจากจะเป็นผู้ใหญ่บ้านแล้วยังทำงานวิทยุชุมชนด้วย ซึ่งวิทยุชุมชนที่ทำอยู่มุ่งให้ข้อมูลข่าวสารกับชาวบ้านอย่างตรงไปตรงมา ซึ่งต้องอาศัยเวลาทำงานกันนานถึง 19 ปี กว่าที่วิทยุชุมชนจะได้รับความเชื่อมั่น เป็นที่พึ่งและสร้างการมีส่วนร่วมของชาวบ้านเพื่อให้เกิดความรู้เท่าทัน ให้ชาวบ้านออกมาช่วยกันตรวจสอบข่าวเพื่อที่จะปกป้องตนเองและครอบครัว
“อีกเครื่องมือหนึ่งของเรา เราใช้จารีตประเพณี เพราะกลุ่มของเราเป็นวิทยุที่ยังทำงานให้กับกลุ่มคนที่ยังไม่ไปถึงสื่อใหม่ เรายังมีคนกลุ่มนี้อยู่กับเราเยอะเลย พ่อแม่ของเรา กลุ่มพ่อเฒ่า-แม่เฒ่า กลุ่มนี้ถือว่าใช้จารีตประเพณีในการสร้างความเชื่อมั่น ยิ่งพวกเราทำงานสร้างความเชื่อมั่นให้กับชุมชน ทำหน้าที่ของสื่อชุมชน เรายิ่งได้รับความร่วมมือ” ผู้ใหญ่เชลศ กล่าว
มะรูฟ เจะบือราเฮง Digital4Peace และเครือข่าย Deep South Cofact ยกตัวอย่างนก 3 ตัว ตัวแรกถูกขังอยู่ในกรง ทำให้ไม่สามารถบินไปหาอาหารหรือใช้ชีวิตตามปกติได้ ตัวที่ 2 ไม่ได้อยู่ในกรง แต่ป่าไม้หรือสภาพแวดล้อมในพื้นที่ที่นกอยู่อาศัยถูกทำลาย ทำให้แม้ไม่ได้ถูกขังไว้แต่ก็ไม่สามารถหาอาหารได้ และตัวที่ 3 ไม่ได้อยู่ในกรง และมีปีกเหมือนนกตัวอื่นๆ แต่ถูกทำให้เชื่อว่าไม่สามารถบินได้ โดยบทสรุปคือนกทั้ง 3 ตัวล้วนตายเหมือนกัน
ซึ่งเรื่องราวชะตากรรมของนกทั้ง 3 ตัว เป็นการเปรียบเปรยกับประเด็น “ความรุนแรง” ที่มีหลากหลายรูปแบบตั้งแต่ 1.ความรุนแรงทางกายภาพ หมายถึงนกตัวแรกที่ถูกนำไปขังไว้ 2.ความรุนแรงเชิงโครงสร้าง หมายถึงนกตัวที่ 2 ที่แม้จะไม่ได้ถูกกักขัง แต่ก็ไม่สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้เพราะสิ่งแวดล้อมรอบตัวไม่เอื้อ และ 3.ความรุนแรงเชิงความเชื่อ หมายถึงนกตัวที่ 3 ที่แม้จะมีปีกแต่ถูกทำให้เชื่อว่าไม่สามารถบินได้
“ดังนั้นเราในฐานะคนทำสื่อ ทำอย่างไรให้เราต้อง Empower (เสริมแรง) คนหลายๆ คน ให้เขาเชื่อว่าเขาเป็นนกที่สามารถบินได้ เขาเป็นนกที่สามารถออกไปหาอาหารได้ทุกคนมีมือถือ ทุกคนมีสื่ออยู่ในมือ สามารถที่จะทำสื่อได้ ผมเคยเห็นชาวบ้านคนหนึ่ง คนธรรมดา เขาสามารถที่จะเอามือถือถ่าย TikTok ของตัวเองแล้วก็อธิบายกฎหมาย PDPA (พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ.2562) ด้วยภาษามลายูอย่างเข้าใจง่าย
อันนี้เป็น Empowerment (การเสริมแรง) ที่เขารู้ว่าเขามีปีก เขาสามารถที่จะทำสื่อ เขาสามารถที่จะสร้างหรือแบ่งปันข้อเท็จจริงได้ ดังนั้น หน้าที่ของเราในฐานะคนทำสื่อนั้น นอกจากจะเป็นคนที่ฉายแสง หรือว่าให้ไมค์ทำให้เสียงของเขาดังขึ้นแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่เราต้องทำก็คือเราต้อง Empower ทำให้เขาคิดว่าเขาสามารถบินได้ เขาสามารถที่จะไปไหนมาไหนได้อยู่รอด แล้วก็สร้างสังคมให้ดีขึ้นได้ด้วยมือของเขาเอง” มะรูฟกล่าว
กฤษณะเดช โสสุทธิ สมาคมผู้สูงอายุแห่งประเทศไทย(จังหวัดเลย) และตัวแทนเครือข่ายสูงวัยรู้ทันสื่อ 20 จังหวัด กล่าวว่า คณะทำงานได้รับการสนับสนุนจาก สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ในการจัดทำหลักสูตรสูงวัยรู้ทันสื่อ ซึ่งหัวใจสำคัญคือการทำให้ผู้สูงอายุได้เรียนรู้และวิเคราะห์ข้อมูลข่าวสารเป็น โดยสรุปเป็นคาถา 3 ข้อ “จำเป็นไหม-หาข้อมูล-เดือดร้อนใคร” หมายถึงเมื่อพบข้อมูลข่าวสาร ให้ถามตนเองก่อนว่าจำเป็นกับตนเองหรือไม่ หาข้อเท็จจริงของข้อมูลนั้น และข้อมูลนั้นเดือดร้อนตนเองหรือคนในครอบครัวหรือไม่
“ตอนนี้เราขยายผลไป 20 จังหวัดแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังสุด เราทำบันทึกความร่วมมือ (MOU) กับกรมกิจการผู้สูงอายุ กับ สสส. กับสาขาของสมาคมผู้สูงอายุ กับเครือข่าย 20 จังหวัด เราพบว่าหลักสูตรของเราน่าจะไปใช้ได้กับโรงเรียนผู้สูงอายุที่มีอยู่ทั่วประเทศประมาณ 2,000 แห่ง ซึ่งเราเชื่อมั่นว่าจะเกิดอาสาสมัครเฝ้าระวังสื่ออย่างน้อย 20 จังหวัด ก็ประมาณจังหวัดละ 20 คน” กฤษณะเดช ระบุ
อิงฟ้า ชัยยุทธศุภกุล ตัวแทนทีมชนะเลิศ กิจกรรม Girls in Tech Detecthron กล่าวว่า ปัจจุบันสื่อและการค้นหาข้อมูลสามารถเข้าถึงได้ง่ายกว่าสมัยก่อน แต่ในความง่าย
ก็ต้องระมัดระวังเพราะยุคนี้คนทั่วไปก็สามารถสร้างสื่อได้ เช่น ผู้ที่สนใจเรื่องใดก็อาจจะสร้างบล็อก (blog) ขึ้นมาเพื่อนำเสนอสิ่งที่สนใจได้ ซึ่งเมื่อค้นหาข้อมูลในอินเตอร์เนตก็จะพบแหล่งข้อมูลทั้งที่เป็นสำนักข่าวอย่างเป็นทางการและบล็อกดังกล่าว ดังนั้นสุดท้ายตัวเราเองที่เป็นผู้เสพสื่อก็ต้องเป็นผู้ไตร่ตรอง แต่อีกด้านหนึ่ง การทำงานของสื่อก็มีคำถามเช่นกัน
“มีตัวอย่างข่าวที่เห็นได้ชัดว่าเป็นข่าวที่แสดงให้เห็นถึงการทำงานของสื่อ นั่นคือข่าวของลุงพล ซึ่งตอนแรกคดีของน้องชมพู่ ลุงพลจะถูกพูดว่าเป็นผู้ต้องหาในคดีน้องชมพู่ แต่สักพักหนึ่งก็จะมีข่าวการแชร์ภาพลุงพลที่มีหน้าตาดีคนก็เลยแชร์เยอะแล้วก็มีความสนใจในด้านนี้เยอะ หลังจากนั้นพอลุงพลเริ่มติดลม เริ่มติดกระแส ก็เริ่มมีข่าวมาเรื่อยๆ ว่าลุงพลสามารถร้องเพลงได้ หรือนำเสนอด้านดีๆ ของลุงพลออกมาเช่นกัน ซึ่งทำให้คนหลุดโฟกัสกับสิ่งแรก ก็คือลุงพลอยู่ในผู้ต้องหาของคดีน้องชมพู่
ทุกคนก็หลุดกันหมดเลย กลายเป็นไปโฟกัสตรงนี้แทนทำให้ได้เห็นว่าจริงๆ แล้วสื่อก็ไม่ได้มีความซื่อตรงอะไรขนาดนั้นพอเขารู้ว่าเขานี้สามารถพอที่จะเล่นได้ เขาก็เล่นต่อไปเพื่อเลี้ยงกระแส ซึ่งคิดว่าการทำสื่อแบบนี้ทำให้เรียกยอดผู้เข้าชมได้อย่างต่อเนื่อง จนตั้งคำถามว่าจริงๆ แล้วจริยธรรมของสื่อมันสำคัญมากแค่ไหน ในวันที่เรตติ้งมีความสำคัญ” อิงฟ้ากล่าว
ปิดท้ายโดย พระมหานภันต์ สนติภทโท มูลนิธิสถาบันการจัดการวิถีพุทธเพื่อสุขและสันติ (สกพ.) กล่าวว่าในวันสันติภาพโลก (International Peace Day) ประจำปี 2565 นี้ องค์การสหประชาชาติ (UN) ให้คำขวัญว่า “ยุติการเหยียดเชื้อชาติแล้วสร้างสันติสุข (End Racism Build Peace)” แต่การจะทำแบบนี้ได้ต้องหาเครื่องขยายเสียง(Amplifier) ให้การส่งเสียงเพื่อสันติภาพ (Voice for Peace) ทั้งนี้ ต้องบอกว่า “สื่อที่เชื่อถือได้ (Trusted Media) ไม่มีอยู่จริง” และการคิดว่าสื่อน่าเชื่อถือก็สร้างปัญหาด้วย
“ที่จะมีคือ Trusted Mindset (วิธีคิดที่เชื่อถือได้) กระบวนทัศน์ที่ไว้ใจได้คือ Never Trust (ไม่เชื่อไว้ก่อน)กาลามสูตร พระพุทธเจ้าบอกว่า 1.ฟังกันมาอย่าเพิ่งเชื่อ 2.ทำกันอยู่ทุกเมื่อเชื่อไม่ได้ 3.ตื่นเขาเล่ามาอย่าเชื่อไป 4.อย่าไว้ใจแม้แต่ตำรา 5.อย่าเชื่อเพราะเดาเอาเองเล่น 6.เพราะกะเกณฑ์คาดคะเนไว้ล่วงหน้า 7.เพราะนึกตรึกตรองและตรวจตรา 8.เพราะว่าต้องตามธรรมเนียมตน 9.อย่าเชื่อเพราะว่าเพียงคนเชื่อเขา 10.ครูเราแท้ๆ มาแต่ต้น ก็ใช่จักเชื่อได้น้ำใจคน จงเชื่อผล เชื่อเหตุ สังเกตเทอญ พระพุทธเจ้าสอน อาจารย์เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ ประพันธ์” พระมหานภันต์ กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี