ประโยชน์ของ “น้ำผึ้ง” ที่เรียกว่าเป็น “ยาของสวรรค์” นั้น จากข้อมูลของฝ่ายเคมีและกายภาพอาหารสถาบันค้นคว้าและพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหาร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ให้ข้อมูลด้านการวิจัยว่า น้ำผึ้งแท้มีผลในการฆ่าแบคทีเรียได้ถึง 60 สายพันธุ์ และ น้ำผึ้งไม่แท้สามารถยับยั้งแบคทีเรียได้ ทำให้แนวหน้าออนไลน์ขอนำเสนอรายงานพิเศษ “คนเมืองเรียนรู้ดูผึ้ง-ชิมน้ำผึ้ง” เพื่อสุขภาพที่ยั่งยืน” (Urban study honey & bee)
นายวีรวิชญ์ อินทร์ประยงค์ เจ้าของ “บำรุงฟาร์ม” หนึ่งในผู้เผยแพร่ข้อมูลความรู้เกี่ยวกับ “น้ำผึ้ง” มาสู่คนเมือง โดยมีฟาร์มเลี้ยงผึ้งและทำการเกษตรอยู่ที่ อ.ตาคลี จ.นครสวรรค์ ได้นำความรู้เรื่องน้ำผึ้งด้วยวิธีให้คนได้ชิมรสชาติของน้ำผึ้งในแต่ละพื้นที่ในไทยซึ่งแตกต่างกัน เช่น น้ำผึ้งที่เทือกเขาบรรดทัด และในพื้นที่ จ.นครศรีธรรมราช จะมีรสชาติเข้มข้น ขมอมเปรี้ยวเล็กน้อย โดยน้ำผึ้งบางขวดนั้นมาจากดอกสะเดาก็มี ทำให้มีรสชาติขมเข้ามา, น้ำผึ้งบริเวณป่าชายเลน จะมีรสชาติกร่อยของน้ำเค็มเข้ามาด้วย ส่วนรสชาติน้ำผึ้งในจังหวัดภาคกลางและภาคเหนือนั้น เป็นราชาติที่คุ้นเคย คือ หวานกลมกล่อม
น้ำผึ้งในแต่ละพื้นที่ ซึ่งมีรสชาติแตกต่างกันถึง 130 ขวด ที่ถูกวางเรียงรายให้คนเมืองมาชิม เพื่อรู้จักรสชาติของน้ำผึ้ง และ เรียนรู้ผ่านการชิมว่า น้ำผึ้งในไทยที่นิยมนำมารับประทาน ส่วนใหญ่เป็นน้ำผึ้งชันโรง ที่มีทั้งหมด 35 สายพันธุ์ ซึ่งบางสายพันธุ์เลี้ยงได้ แต่บางสายพันธุ์ก็เลี้ยงไม่ได้
นายวีรวิชญ์เล่าว่า ทุกวันนี้ที่ “บำรุงฟาร์ม” สอนเรื่องเกษตร และ การเลี้ยงผึ้งชันโรง ซึ่งทางภาคกลางเลี้ยงได้ไม่กี่สายพันธุ์ เพราะต้องเป็นสายพันธุ์ที่มีความแข็งแรงและมีภูมิต้านทาน เช่น พันธุ์ขนเงิน ถ้วยดำ และ รุ่งอรุณ
“ผมเลี้ยงผึ้งชันโรงมา 3 ปี แต่สะสมน้ำผึ้ง 6 ปี แต่ก่อนทำเรื่องหัตถกรรม ส่งเสริมชาวบ้าน โดยหาแบบไปให้เขาทำ และ ทำผลิตภัณฑ์ชุมชนมาขาย จริงๆ เพราะเราชอบของเก่า เราอยากให้วิถีสินค้าเหล่านี้ยังคงอยู่ อยากให้คนรุ่นหลังได้เห็น เพราะตอนนี้ระดับครูช่างเสียชีวิตไปแล้ว 3 คน ทำให้ภูมิปัญญาท้องถิ่นก็หายไปเรื่อยๆ เพราะอาชีพของคนในท้องถิ่น คือ ทำสวน หาของป่า และ ทำเครื่องจักสานในเวลาว่าง รวมทั้งมีทำนา ทำไร่ สลับกันไป ซึ่งเรามีคอนเซปต์ คือ ปัจจัย 4 โดยส่วนของเสื้อผ้า และ เครื่องนุ่งห่ม เราไม่ได้ทำ ส่วนเรื่องที่อยู่อาศัยก็มีเรื่องเครื่องจักสานแทรกเข้าไป ส่วนการทำอาหารและยารักษาโรค เราทำ คือ ทำเรื่องการแปรรูปอาหาร เช่น ปลาร้านครสวรรค์ และ ยารักษาโรค เรื่องน้ำผัก ต้องบอกว่า กินของสดจะยืดอายุ รวมทั้งจับเรื่องน้ำผึ้งเป็นยา ซึ่งเป็นของที่มูลค่าสูง ทำให้การทำฟาร์มในช่วง 4 ปี เราเหมือนต้นไม้ ที่รอผลิดอกออกผล รอให้คนเห็น” นายวีรวิชญ์เล่าให้ฟังอย่างเป็นกันเอง
นายวีรวิชญ์ยังเล่าด้วยว่า ปัจจุบันคนไทยรู้จักน้ำผึ้งหลายสายพันธุ์ขึ้น โดยเขาพยายามให้คนไทยได้มีโอกาสศึกษาเรื่องแมลงเพื่อรักษาระบบนิเวศ เพราะรสชาติไม่เหมือนกัน คำว่า อร่อยก็ไม่เท่ากัน
“จริงๆมีหลายสายพันธุ์ที่กินอร่อย กินไม่อร่อย ซึ่งมีสายพันธุ์อิตาม่า ซึ่งเป็นสายพันธุ์ใหญ่ ให้คุณค่าอาหารสูง เป็นพันธุ์ใหญ่ที่รสน้ำผึ้งที่มีรสเปรี้ยวเหมือนน้ำส้มสายชูก็มี ซึ่งรูปลักษณ์ของน้ำผึ้งก็ไม่ได้หนืดอย่างเดียว น้ำผึ้งที่ดีก็ไม่ใช่น้ำผึ้งเดือนห้าอย่างเดียว เราเปรียบเทียบกับสตอเบอร์รี่ และ ทุเรียน ซึ่งถ้าไปปลูกแต่ละพื้นที่ก็จะได้รสชาติความอร่อยไปอีกอย่างหนึ่ง โดยการให้ความรู้เรื่องผึ้ง โดยน้ำมาให้ชิมกันนั้น เราครีเอทเอง เพราะเป็นนักเรียนในโครงการหนึ่งไร่หนึ่งแสน ของอาจารย์อดิศร พวงชมภู อาจารย์จะสอนให้สังเกตุ พอเราทำเรื่องอาหาร ทำให้เราสนใจเรื่องความหลากหลายของน้ำผึ้ง และ ความหลากหลายของพื้นที่ แตกประเด็นออกมา และน้ำผึ้งไทยดีกว่าต่างประเทศ ทำให้พอสอนเรื่องการทำเกษตรก็มีความหลากหลาย โดยเราก็สอนดูน้ำผึ้งแท้ น้ำผึ้งปลอม ทางกายภาพ ดมกลิ่น ชิม บอกได้ แต่การใช้ไม้ขีดไฟจุ่ม หรือ หยอดใส่น้ำ บอกไม่ได้” นายวีรวิชญ์บอกเล่าถึงที่มาที่ไปบนเส้นทางกว่าจะเป็นผู้เผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับน้ำผึ้งโดยเฉพาะ
นายวีรวิชญ์ทิ้งท้ายว่า น้ำผึ้งที่กินแล้วสนุกคือภาคใต้ เพราะป่าเขาสมบูรณ์ แต่น้ำผึ้งที่ได้จากทางภาคเหนือและภาคกลางกินแล้วอร่อย ซึ่งตอนนี้พยายามหาน้ำผึ้งให้ได้ครบ 200 กว่าแห่ง จากปัจจุบันมีน้ำผึ้งอยู่ 130 แห่ง
เรียกว่างานนี้ “คนเมือง” มีความรู้เกี่ยวกับน้ำผึ้งและผึ้ง มาให้เรียนรู้อย่างสนุกสนานพร้อมกับการทำเกษตรในแบบฉบับที่คนเมืองสามารถทำได้ รวมทั้งได้ความรู้เรื่องสุขภาพที่จะส่งผลดีต่อสุขภาพของคนเมือง
สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับผึ้งชันโรง(Stingless Bee) เป็นแมลงจำพวกผึ้งที่ไม่มีเหล็กใน Subfamily Meliponinae, family Apidae, Order Hymenoptera ชันโรงจะมีความสัมพันธ์และวิวัฒนาการที่ใกล้ชิดกับผึ้งพันธุ์ (honey bee), ผึ้งหึ่ง (bumble bee), และผึ้งกล้วยไม้ (orchid bee) ชันโรงมีวิวัฒนาการมายาวนานถึง 80 ล้านปีแล้ว ปัจจุบันทั่วโลกพบชันโรงประมาณ 500 ชนิด โดยพบมากในเขตร้อนตลอดจนบริเวณใกล้เคียงที่ติดกับเขตร้อน จำนวนชนิดของชันโรงที่จำแนกชนิดแล้ว จะพบในทวีปแอฟริกา 50 ชนิด, ทวีปอเมริกา 300 ชนิด, ทวีปเอเชีย 60 ชนิด, ทวีปออสเตรเลีย 10 ชนิด และที่มาดากัสก้า 4 ชนิด (Bradbear, 2009) ซึ่งแบ่งออกได้เป็น 5 สกุล คือ Melipona, Trigona, Meliponina, Detylurina, และ Lestrimelitta โดยสกุล Trigona จะพบบ่อยในพื้นที่เขตร้อน (Heard, 1999; Michener, 2000; Klakasikorn et al., 2005)
ในประเทศไทย มีรายงานผลการสำรวจชันโรงสกุล Tetragonula ว่าพบและจำแนกชนิดแล้วประมาณ 30 ชนิด โดยมีการแพร่กระจายพันธุ์ทั่วทุกภาคของประเทศ แต่จำนวนชนิดที่อาศัยในแต่ละภาคจะต่างกัน ภาคใต้เป็นภาคที่มีความหลากชนิดของชันโรงสูงสุด ส่วนภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีความหลากชนิดของชันโรงน้อยที่สุด สำหรับชนิดชันโรงที่พบทั่วทุกภาคได้แก่ ผึ้งจิ๋วขนเงิน (Tetragonula pagdeni Schwarz),ผึ้งจิ๋วหลังลาย (T. fuscobalteataCameron), ผึ้งจิ๋วรุ่งอรุณ (T. laeviceps Smith), ชันโรงใต้ดิน (T. collina Smith),และชันโรงปากแตร (T. terminata Smith) (Schwarz, 1939; Sakagami et al., 1985; Micheener and Boongird, 2004; สมนึก, 2552) ชันโรงจะมีขนาดที่แตกต่างกันมาก เช่น Melipona fulginnosa มีลำตัวยาวกว่า 13 มิลลิเมตร ส่วน Trigona duckei ลำตัวยาวเพียง 2 มิลลิเมตรเท่านั้น ขนาดของโคโลนีก็แตกต่างกัน ตั้งแต่หลักร้อยในสกุล Melipona ไปจนถึงหลักหมื่นในสกุล Trigona (Sommeijer, 1999)
ชันโรงจัดเป็นแมลงสังคมชั้นสูง (eusocial insects) ที่ภายในรังประกอบด้วยวรรณะ 3 วรรณะด้วยกัน คือ นางพญา (queen), เพศผู้ (drone), และชันโรงงาน (worker) (Velthuis, 1997)โดยในแต่ละวรรณะจะทำหน้าที่ภายในรังแตกต่างกันไป ซึ่งผึ้งนางพญาจะมีขนาดใหญ่กว่าเพศผู้และชันโรงงาน ใน 1 รวงรัง จะมีนางพญา 2 ตัวหรือมากกว่า ทำหน้าในการวางไข่และดูแลชันโรงทุกตัวในรังให้อยู่ในความเรียบร้อย ส่วนชันโรงเพศผู้จะทำหน้าที่ในการผสมพันธุ์เพียงอย่างเดียว สำหรับชันโรงงานจะทำหน้าที่ในการซ่อมแซมรัง คอยทำความสะอาดและเป็นพี่เลี้ยงช่วยนางพญาดูแลตัวอ่อน
ตลอดจนหาอาหารเลี้ยงสมาชิกภายในรัง โดยการออกเก็บละอองเกสรและน้ำหวานของดอกไม้ ละอองเกสรที่ได้จากดอกไม้จะเป็นแหล่งโปรตีน ส่วนแหล่งของพลังงานจะได้จากคาร์โบไฮเดรตหรือน้ำตาลที่มีในน้ำหวานของดอกไม้ (Bradbear N., 2009) รังของชันโรงส่วนใหญ่จะสร้างรังอยู่ภายในช่องว่างที่ปลอดภัย เช่น รอยแตกของต้นไม้, โพรงไม้, ใต้ดิน เป็นต้น สารที่นำมาใช้สร้างรังหลัก คือ ซีรูเมน (cerumen) ซึ่งเกิดจากส่วนผสมของไขผึ้งและยางไม้ ทางเข้ารัง ( entrance tube )จะมีลักษณะเป็นช่องแคบ (Sommeijer, 1999) ซึ่งจะช่วยป้องกันการเข้ารุกรานของศัตรู ได้แก่ ผึ้งชนิดอื่นๆ, แมลงวันหลังค่อม (phorid fly: Pseudohypocera sp.), แมลงวันหัวบุบ (robber flies), มวนเพชฌฆาต (assassin bug),มด, นก, กิ่งก่า เป็นต้น (Macharia et al., 2007; Wattanachaiyingcharoen and Jongjitvimol, 2007; Bradbear, 2009)
ลักษณะโครงสร้างภายในรังของชันโรงจะประกอบไปด้วยห้องของตัวอ่อน (brood chamber)แยกเป็นสัดส่วนออกจากพื้นที่สะสมอาหาร บริเวณห้องของตัวอ่อนจะมีการสร้างเซลล์ตัวอ่อน (brood cells) เป็นชั้นๆ ตามแนวนอน โดยเซลล์ตัวอ่อนของนางพญาใหม่ (Queen cell) จะมีขนาดใหญ่กว่าเซลล์ของชันโรงงาน และจะอยู่ส่วนบนสุดของเซลล์ตัวอ่อน ห้องของตัวอ่อนจะถูกห่อหุ้มด้วยผนังที่ทำจากไขและโพรโพลิส เรียกว่า involucrum
ส่วนบริเวณพื้นที่สะสมอาหารจะประกอบไปด้วย ถ้วยน้ำผึ้ง (honey pots) และ ถ้วยเกสร (pollen pots) ชันโรงแต่ละชนิดจะมีขนาดของเซลล์ตัวอ่อน ถ้วยเกสร และถ้วยน้ำผึ้งที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับขนาดของลำตัวชันโรง ถ้าชันโรงมีลำตัวขนาดใหญ่ ก็จะสร้างเซลล์ตัวอ่อน ถ้วยเกสรและถ้วยน้ำผึ้งใหญ่ตามไปด้วย เพราะฉะนั้น ชันโรง (Stingless bee : Trigona sp. หรือ Melipona sp.) คือ ผึ้งชนิดหนึ่งที่มีอยู่ในท้องถิ่นของไทยมานานแล้ว และมีชื่อเรียกแตกต่าง กันไปตามท้องถิ่น เช่น ขี้ตังนี (ภาคเหนือ) ขึ้สูด (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ) อุง (ภาคใต้) และติ้ง (นครปฐม สุพรรณบุรี และกาญจนบุรี) ชันโรงจัด อยู่ในอันดับ Hymenoptera วงศ์ Apidaeและวงศ์ย่อย Meliponinae มีแหล่งกำเนิดอยู่ในประเทศแอฟริกา แล้วกระจายตัวไปยังประเทศอื่นๆ ในเขต ร้อน มีจำนวนมากกว่า 400 ชนิด พบในประเทศไทย 24 ชนิด
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี