เป็นเหตุสะเทือนขวัญที่ไม่มีใครคาดคิดว่าจะเกิดขึ้นในประเทศไทย โดยเฉพาะในจังหวัดเล็กๆ ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนืออย่าง หนองบัวลำภู ซึ่งที่ผ่านมาถือว่าเป็นเมืองที่ค่อนข้างเงียบสงบ เมื่อคนร้ายซึ่งเป็นอดีตเจ้าหน้าที่ตำรวจก่อเหตุใช้อาวุธปืนกราดยิงครูและเด็กในศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ในพื้นที่ อ.นากลาง จ.หนองบัวลำภู จนมีผู้เสียชีวิตมากกว่า 30 ศพ จากนั้นกลับบ้านไปยิงลูกและภรรยาก่อนปลิดชีพตนเองหนีความผิด
เหตุการณ์ครั้งนี้ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงบ่ายของวันที่ 6 ต.ค. 2565 ต้องบอกว่า “ช็อกโลก” นานาชาติต่างร่วมไว้อาลัย-แสดงความเสียใจกับผู้สูญเสีย อาทิ อันโตนิโอ กูเตร์เรส เลขาธิการสหประชาชาติ (UN) ระบุว่า มีความเสียใจเป็นอย่างยิ่งเมื่อทราบข่าว เนื่องจากสถานดูแลเด็กเล็กควรเป็นพื้นที่ซึ่งเด็กรู้สึกปลอดภัย และไม่ใช่เป้าหมาย พร้อมทั้งขอแสดงความเสียใจอย่างสูงสุดไปยังครอบครัวของผู้สูญเสีย และประชาชนชาวไทย,
กองทุนเด็กแห่งสหประชาชาติ (UNICEF) ออกแถลงการณ์ประณามความรุนแรงทุกรูปแบบต่อเด็ก โดยระบุว่า เด็กไม่ควรตกเป็นเป้าหมายการโจมตี หรือถูกกระทำด้วยความรุนแรงไม่ว่าในสถานที่ใด หรือในเวลาใด, องค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO) แสดงความเสียใจและระบุว่า การโจมตีต่อโรงเรียน นักเรียน และครู ถือเป็นการโจมตีต่อสิทธิ์ในการศึกษา ซึ่งไม่มีผู้ใดควรตกเป็นเป้าการโจมตี,
ลิซ ทรัสส์ นายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักร โพสต์ข้อความผ่านทวิตเตอร์ส่วนตัว ระบุว่า ตกใจที่ได้ยินข่าวเกี่ยวกับเหตุการณ์ในประเทศไทย ขอแสดงความเสียใจกับผู้ที่ได้รับกระทบทุกคนและส่งความห่วงใยไปยังเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายสหราชอาณาจักรยืนหยัดเคียงข้างไทยในช่วงเวลาอันน่าหดหู่นี้ รวมถึง สถานทูตจีน-สถานทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย ร่วมออกแถลงการณ์แสดงความเสียใจ เป็นต้น
ขณะที่สื่อต่างประเทศต่างให้ความสนใจ ไม่ว่าจะเป็น Dail Mail ของอังกฤษ, CGTN ของจีน, DW ของเยอรมนี,CNN สหรัฐอเมริกา ฯลฯ ซึ่งนอกจากจะรายงานข่าวตามสถานการณ์แล้ว ยังมีบทวิเคราะห์ “ปัจจัยที่เอื้อต่อความเสี่ยง” ในสังคมไทย อาทิ “อาวุธปืน” เช่น เว็บไซต์นิตยสาร Time สหรัฐอเมริกา เสนอรายงานพิเศษ “What We Know So Far About the Daycare Mass Shooting in Thailand” ตอนหนึ่งระบุว่า ไทยเป็นประเทศที่มีสถิติการฆาตกรรมด้วยอาวุธปืนสูงเป็นอันดับ 2 ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) รองจากฟิลิปปินส์
ถึงกระนั้น ผู้เชี่ยวชาญในประเทศไทยระบุว่า อาวุธปืนผิดกฎหมายถูกนำไปใช้ก่อเหตุอื่นๆ มากกว่าฆาตกรรม และเหตุสังหารหมู่แบบกราดยิงก็เกิดขึ้นน้อยครั้งมาก Time ยังอ้างรายงานของสื่อท้องถิ่นในไทย เมื่อเดือน ก.ย. 2565 ที่ระบุว่า ประเทศไทยมีปืนเถื่อน (ไม่ได้จดทะเบียน) กระจายอยู่ประมาณ 4 ล้านกระบอก และปืนถูกกฎหมาย (จดทะเบียน) อีก 6 ล้านกระบอก โดยเฉพาะการซื้อ-ขายผ่านช่องทางออนไลน์ ทำให้สามารถหาอาวุธปืนได้ง่ายในราคาไม่แพงและไม่ต้องผ่านการตรวจสอบประวัติ
ซึ่งหากดูในสื่อสังคมออนไลน์ จะพบการประกาศขายอาวุธปืนแบบพร้อมจัดส่งถึงบ้าน นอกจากนั้น แม้จะมีกฎระเบียบที่เข้มงวด แต่หากมีเงินหรือเส้นสายก็สามารถหาช่องทางหลีกเลี่ยงได้ ขณะที่เว็บไซต์ นสพ.The New York Times สื่อดังในสหรัฐฯ อีกฉบับ เสนอข่าว “Guns are rampantin Thailand, but shootings aren’t.” อ้างข้อมูลจาก gunpolicy.org องค์การไม่แสวงหาผลกำไรซึ่งมีสำนักงานในมหาวิทยาลัยซิดนีย์ของออสเตรเลีย ระบุว่า ในปี 2560 มีปืน 10.3 ล้านกระบอก อยู่ในประเทศไทย ในจำนวนนี้เป็นปืนที่ขึ้นทะเบียนอย่างถูกกฎหมาย 6 ล้านกระบอก
อัตราการเป็นเจ้าของอาวุธปืนในปีนั้น อยู่ที่อาวุธปืน 15 กระบอกต่อประชากร 100 คน แต่ก็ยังน้อยกว่าในสหรัฐฯ ที่อาวุธปืน 120 กระบอกต่อประชากร 100 คน ในช่วงเวลาเดียวกัน ถึงกระนั้น ประเทศไทยซึ่งมีประชากร 69 ล้านคน เป็นหนึ่งในประเทศในทวีปเอเชียที่มีสถิติการครอบครองและเหตุฆาตกรรมด้วยอาวุธปืนค่อนข้างสูง อีกทั้งยังเป็นหนึ่งในตลาดมืดที่สำคัญของการซื้อ-ขายอาวุธปืน ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อนึ่ง เหตุกราดยิงที่ จ.หนองบัวลำภู “ผู้ก่อเหตุใช้อาวุธปืนขนาด 9 มม. เป็นปืนส่วนตัวที่ซื้อมาอย่างถูกต้องตามกฎหมาย” ตามข้อมูลที่ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) แถลงข่าวเมื่อช่วงเย็นวันที่ 6 ต.ค. 2565
“ยาเสพติด” เป็นอีกเรื่องที่ถูกพูดถึงมาก เนื่องจากผู้ก่อเหตุมีพฤติกรรมเสพยาบ้าจนร่างกายผอมซูบจากที่เคยดูแข็งแรงสมัยเริ่มรับราชการแม้ผู้บังคับบัญชาจะทราบเรื่องและให้โอกาสด้วยการทำทัณฑ์บนและให้เลิกยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด แต่ก็ยังคงมีพฤติกรรมยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดต่อไปกระทั่งถูกจับกุมและถูกไล่ออกจากราชการ และแม้ผลการตรวจจะไม่พบสารเสพติดในร่างกายขณะก่อเหตุ แต่ก็มีการตั้งข้อสังเกตว่า การเสพยาอย่างต่อเนื่องยาวนานส่งผลกระทบต่อสมอง ซึ่งเชื่อมโยงกับสุขภาพจิตมาก-น้อยเพียงใด
The Conversation เว็บไซต์ไม่แสวงผลกำไรซึ่งเน้นการนำเสนองานวิจัยและบทวิเคราะห์ทางวิชาการ เผยแพร่บทความ “Tragic Thai massacre raises issues of mental health, drug use and gun control ahead of next year’s election” ซึ่งเขียนโดย เกร็ก เรย์มอนด์(Greg Raymond) อาจารย์ประจำวิทยาลัยกิจการเอเชียแปซิฟิก (Coral Bell School of Asia PacificAffairs - ANU College of Asia & the Pacific)มหาวิทยาลัยแห่งชาติออสเตรเลีย (ANU) ตอนหนึ่งอ้างถึง สำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (UNODC)เคยออกคำเตือนเรื่องปริมาณยาบ้า (เมทแอมเฟตามีน) ที่เคลื่อนย้ายในประเทศแถบลุ่มน้ำโขง และประเทศไทยก็เป็นทางผ่านสำคัญ
เรย์มอนด์ ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ยังกล่าวถึงปัญหา “สุขภาพจิต” ว่า ประเทศไทยนั้นขาดแคลนทรัพยากรในการสนับสนุนบริการด้านสุขภาพจิต โดย ในปี 2558 มีรายงานระบุถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการลงทุนเชิงนโยบาย แนวปฏิบัติ และศักยภาพการวิจัยในด้านดังกล่าว ซึ่งล่าสุดเมื่อวันที่ 7 ต.ค. 2565 นพ.บัญญัติ เจตนจันทร์ สส.ระยอง พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะเลขานุการคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การสาธารณสุขสภาผู้แทนราษฎร ได้ออกมาเรียกร้องเรื่องนี้เช่นกัน
นพ.บัญญัติ ระบุว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม รวมถึงนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.สาธารณสุข ต้องเร่งยกระดับการบำบัดรักษาสารเสพติดและสุขภาพจิต เป็นวาระแห่งชาติ เพื่อเป็นกลไกปลดชนวนระเบิดเวลาจากสารเสพติด โดยเร่งตั้ง “ศูนย์เฝ้าระวังอาการทางจิตจากสารเสพติด (ศจส.)” ขึ้นตรงกับนายกฯ รวมถึงมีกระบวนการบำบัดรักษาผู้ติดสารเสพติด และสุขภาพจิต
“ผู้ติดสารเสพติด มีปัญหาสุขภาพจิต เมื่อมีพฤติกรรมเปลี่ยนแปลงไป กลับไม่มีกลไกเช่นเดียวกับ EOD ไปแก้ปัญหา แต่ปล่อยให้เขาดำรงชีวิตอยู่ในสังคม ทำให้สังคม และผู้ติดสารเสพติดอยู่ในภาวะอันตราย” นพ.บัญญัติ ให้ความเห็น
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี