ยังคงต้องติดตามกันต่อไปสำหรับความพยายามของเครือข่ายผู้ผลิตเครื่องดื่มแอลกอฮอล์รายย่อยหรือธุรกิจระดับชุมชนท้องถิ่น ตลอดจนผู้มีรสนิยมชมชอบเครื่องดื่มดังกล่าว ในการปลดล็อกข้อจำกัดที่เห็นว่าไม่เป็นธรรม หลังล่าสุดเมื่อวันที่ 2 พ.ย. 2565 ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ตีตกร่างกฎหมาย
“สุราก้าวหน้า” หรือ ร่าง พ.ร.บ.ภาษีสรรพสามิต (ฉบับแก้ไข)ด้วยคะแนน 196 ต่อ 194 เสียง ขณะที่ กฎกระทรวงการผลิตสุรา พ.ศ.2565 ซึ่งออกมาในวันที่ 1 พ.ย. 2565ก็ถูกมองว่าไปไม่สุดทาง
โดยค่ำวันที่ 2 พ.ย. 2565 ผศ.ดร.เจริญ เจริญชัย อาจารย์สาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการอาหาร คณะเทคโนโลยีการเกษตร มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี ในฐานะแอดมินเพจ “Surathai” เครือข่ายผู้ผลิตและจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์รายย่อยระดับท้องถิ่นจัดรายการสดผ่านเพจของตน ตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับกฎกระทรวงฉบับใหม่ไว้อย่างน่าคิด เช่น “การผลิตเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เพื่อบริโภคในครัวเรือน (ไม่ใช่เพื่อการค้า)” แม้จะเปิดช่องให้ทำได้เมื่อเทียบกับในอดีตที่ห้ามเด็ดขาด แต่ก็ยังต้องไปขออนุญาตและต้องถูกควบคุมภาพ
หรือเรื่องของ “การกำหนดกำลังผลิตขั้นต่ำ” ที่แม้เครื่องดื่มกลุ่มเบียร์จะไม่กำหนดแล้ว แต่ในส่วนของเหล้ายังคงกำหนดไว้เช่นเดิม กล่าวคือ โรงงานผลิตสุราขาว กำลังผลิตขั้นต่ำ 28 ดีกรี 90,000 ลิตรต่อวัน ส่วนโรงงานผลิตวิสกี้ บรั่นดี ยิน กำลังผลิตขั้นต่ำ 28 ดีกรี 30,000 ลิตรต่อวัน รวมถึงการอนุญาตให้สุราชุมชนเพิ่มกำลังการผลิตจากไม่เกิน 5 แรงม้า เป็นไม่เกิน 50 แรงม้า แต่ยังอนุญาตเฉพาะการผลิตเหล้าขาวเท่านั้น เป็นต้น
สำหรับร่างกฎหมายสุราก้าวหน้าที่ไปไม่ถึงฝั่งฝันหลังถูกโหวตคว่ำในวาระ 3 นั้น เป็นความพยายามผลักดันโดยเท่าพิภพ ลิ้มจิตรกร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) กรุงเทพฯพรรคก้าวไกล ขณะที่อีกด้านหนึ่ง พรรคชาติพัฒนากล้า ก็เป็นอีกพรรคการเมืองที่พยายามผลักดันเช่นกัน ซึ่งทางพรรคได้เปิดแถลงเข่าวเดินหน้าปลดล็อกเงื่อนไขจำกัดการขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เมื่อวันที่ 6 พ.ย. 2565 ที่ผ่านมา
ในเวทีนี้ ผศ.ดร.เจริญ ได้ร่วมแถลงข่าวด้วย โดยระบุว่า ยังมีกฎกมายอีกฉบับหนึ่งที่เป็นปัญหา คือ พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ.2551 เนื่องจากมีผู้ได้รับผลกระทบอย่างกว้างขวาง “หลายคนวิตกกังวลว่าวันดีคืนดีอาจถูกแจ้งความดำเนินคดีฐานโฆษณาอวดอ้างสรรพคุณหรือชักชวนให้ดื่ม” ตั้งแต่ผู้ประกอบการรายย่อยที่แม้จะนำผลิตภัณฑ์ไปประกวดได้รางวัลอะไรมาก็ไม่สามารถแสดงบนฉลากได้ ไปจนถึงนักเขียนแนววิจารณ์คุณภาพสินค้า (รีวิว-Review) และการสนทนากันของบุคคลทั่วไปผ่านช่องทางออนไลน์ที่ต้องระมัดระวัง
“ล่าสุดก็จะมีสมาชิกกลุ่มเฟซบุ๊คที่เขาพูดคุยกันถึงเรื่องความชื่นชมในตัวสินค้า ในตัวผลิตภัณฑ์ ซึ่งมันเป็นความรู้สึกส่วนตัวที่เขาเอามาแสดงในกลุ่มซึ่งมันเป็นปิดที่เขาพูดคุยกัน แต่ก็ยังมีเรียกว่าเป็นหนอน ก็เข้าไปสมัครเป็นสมาชิกกลุ่มด้วยแล้วก็ไปแคปหน้าจอว่าเขาพูดถึงเครื่องดื่มตัวหนึ่งแล้วเขาก็บอกว่าตัวนี้มันก็อร่อยดีนะ ซึ่งคำนี้จริงๆ แล้วมันคือการแสดงความรู้สึกส่วนตัว แต่เจ้าหน้าที่ก็ไปตีความว่ามันเป็นการชักจูงให้ดื่ม” ผศ.ดร.เจริญ กล่าว
นอกจากการห้ามโฆษณาแล้ว “การออกข้อกำหนดต่างๆ เกี่ยวกับการห้ามขาย” ก็เป็นอีกปัญหาหนึ่งที่อยู่ใน พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ.2551 เช่น นักท่องเที่ยวเดินทางมาจากต่างประเทศ เพิ่งลงจากเครื่องบิน จะหาซื้อเครื่องดื่มแอลกอฮอล์กลับซื้อไม่ได้เพราะอยู่ในช่วงเวลาห้ามขายหรือการห้ามขายใน 5 วันสำคัญทางศาสนาพุทธ นักท่องเที่ยวที่นับถือศาสนาอื่นๆ ก็ไม่สามารถหาซื้อมาดื่มได้ ทั้งนี้ มีการรวบรวมรายชื่อจนครบ 1 หมื่นชื่อ เพื่อขอแก้ไขกฎหมาย
ดังกล่าวเข้าสู่รัฐสภา
ขณะที่ อรรถวิชช์ สุวรรณภักดี รองหัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า กล่าวว่า ทางพรรคมีจุดยืนสนับสนุน “เกษตรแปรรูป” หรือเกษตรอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าสูง เช่น องุ่นจะมีค่ามากที่สุดเมื่อถูกแปรรูปเป็นไวน์ สับปะรดจะมีค่ามากที่สุดเมื่อถูกแปรรูปเป็นบรั่นดี ซึ่งการที่ประเทศไทยจะหลุดพ้นจากวิถีการเกษตรแบบเดิมๆ ที่ขายแต่วัตถุดิบ มีแต่ต้องปรับเปลี่ยนไปสู่แนวทางนี้
“มันไม่ได้ส่งเสริมให้คนไทยกินเหล้ามากขึ้น อังกฤษ สกอตแลนด์ เขาขายสุราชั้นดี เขาติดเหล้ากันทั้งบ้านทั้งเมืองไหม? ญี่ปุ่นเขามีสาเกชั้นเลิศ เขาติดเหล้ากันทั้งบ้านทั้งเมืองไหม? ไม่ใช่!เพราะฉะนั้นถ้าเราจะไปสู่เกษตรมูลค่าสูง มาแนวทางนี้คือแนวทางที่ถูกต้อง แต่แน่นอน พ.ร.บ.สรรพสามิต พูดถึงซีกเดียวคือซีกการผลิต ผมว่ามันไม่จบ แม้กระทั่งกฎหมาย พ.ร.บ.สรรพสามิต หรือสุราก้าวหน้า อนุมัติผ่านก็ไม่จบ เพราะมันไม่ได้พูดเรื่องการขาย เรากำลังพูดให้เขาผลิต แต่เราไม่เคยพูดเรื่องการขาย ผลิตได้ขายไม่ได้ แบบนี้มีปืนไม่มีกระสุน”
อรรถวิชช์ กล่าว
รองหัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า กล่าวว่า ทางพรรคเสนอ 3 ข้อ ซึ่งทำได้ทันทีไม่ต้องรอรัฐบาลหลังการเลือกตั้งสมัยหน้า และไม่ต้องรอให้แก้ไขกฎหมายควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เรียบร้อยเสียก่อน โดยสามารถใช้อำนาจตาม พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ.2551 ดำเนินการได้ทันที ประกอบด้วย 1.ยกเลิกข้อกำหนดห้ามขายระหว่างเวลา 14.00-17.00 น. ซึ่งการห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในเวลาดังกล่าวมีมาตั้งแต่ปี 2515 เนื่องจากกลัวเจ้าหน้าที่รัฐดื่มกันยาวตั้งแต่ช่วงพักกลางวัน แต่ไทยเป็นประเทศท่องเที่ยว เคยมีผู้มาเยือนมากถึง 40 ล้านคน
2.ยกเลิกข้อกำหนดห้ามขายทางออนไลน์ การห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทางออนไลน์ ทำให้ผู้ประกอบการรายย่อยไม่สามารถแข่งขันกับรายใหญ่ได้ เพราะผลิตภัณฑ์ของรายใหญ่มีวางจำหน่ายตั้งแต่ในห้างสรรพสินค้า ห้างค้าปลีก ไปจนถึงร้านสะดวกซื้อ 3.ยกเลิกข้อกำหนดห้ามระบุสรรพคุณหรือส่วนผสมบนฉลาก เช่น ผลิตภัณฑ์เหล้าขาวแบรนด์หนึ่งขายในไทยบอกได้แต่เป็นสุราขาว แต่ส่งไปขายต่างประเทศบอกได้ว่าเป็นจิน (Gin) หรือวอดก้า (Vodka)
ด้าน ธนากร คุปตจิตต์ ที่ปรึกษาสมาคมธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ กล่าวเสริมในส่วนของข้อกำหนดเรื่องฉลากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ จะแก้ไขให้เป็นธรรมกับผู้ประกอบการ ที่จะสามารถแสดงตัวตนของผลิตภัณฑ์ได้อย่างไรโดยยังมีกรอบควบคุมอยู่ นอกจากนั้นยังไปเชื่อมโยงกับการอธิบายผลิตภัณฑ์บนฉลาก ซึ่งก็ก้ำกึ่งว่าจะเข้าข่ายจูงใจหรือโฆษณาหรือไม่ แต่การแก้ไขข้อกำหนดกลุ่มนี้สามารถทำได้ผ่านกฎหมายลำดับรองที่รัฐบาลแก้ไขได้เอง เช่น จากการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) แล้วนายกรัฐมนตรีก็ลงนามเป็นประกาศออกมา
“เมื่อประกาศแล้ว แก้ไขแล้ว ยกเลิกเพิกถอนในสิ่งที่มันเป็นอุปสรรค 3 เรื่องที่บอก ก็มีการที่จะต้องเฝ้าติดตามดูว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมันคุ้มค่ากับเรื่องของสังคม เศรษฐกิจและประโยชน์สาธารณะหรือไม่ ถ้าดูแล้วไม่คุ้มค่า ไม่เป็นประโยชน์ ก็กลับมาบังคับใช้ใหม่ได้ นี่คือ Quick Win (แผนระยะสั้น) ถ้ามันไม่ดีก็กลับมาใช้ใหม่ได้ เป็นอำนาจของรัฐบาล ของแค่ระดับ ครม. ประชุมโดยนายกฯ ได้อยู่แล้ว ทั้งหมดทั้งหลายทั้งปวงนี้ ผมมองว่าไม่ได้กระทบต่องบประมาณแผ่นดินเลย ไม่ได้ของบ 200 300 400 ล้าน มาช่วยเศรษฐกิจ มาช่วยเกษตร” ธนากร กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี