“เรื่องสันติภาพและความยุติธรรมมันเป็น 1 ในเป้าหมายของการพัฒนาอย่างยั่งยืน แล้วเรามีปัญหาในเรื่องนี้มาก 12 ล้านคน เป็นอาชญากร มีชื่อในทะเบียนประวัติอาชญากรรม มี 5 หมื่นกว่าคนที่ยังเป็นผู้บริสุทธิ์แต่ติดคุกอยู่ เรื่องเหล่านี้จะแก้ไขอย่างไร กระบวนการยุติธรรมไทยถ้าจนก็ลำบากติดคุกไป เหลื่อมล้ำสูง คุกเต็มไปด้วยคนจนและมีสิ่งที่เรียกว่าแพะอยู่จำนวนหนึ่ง แล้วก็สู้คดีลำบากเพราะติดคุกไปแล้วจะหาโอกาสสู้คดีมันสู้ยาก”
ผศ.ดร.ปริญญา เทวานฤมิตรกุล ผู้อำนวยการศูนย์นิติศาสตร์ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวในงานสัมมนาวิชาการ “ปัญหาการสันนิษฐานไว้ก่อนว่าผิดในกระบวนการยุติธรรมทางอาญาของประเทศไทย” เมื่อช่วงต้นเดือนพ.ย. 2565 ณ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (ท่าพระจันทร์) ถึงปัญหาของกระบวนการยุติธรรมในประเทศไทย ที่ต้นตอของปัญหาคือ “การไม่ได้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นผู้บริสุทธิ์” แม้จะมีการบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญก็ตาม
ซึ่งที่มาของแนวคิดนี้คือหลักการแบ่งแยกอำนาจ โดยผู้ที่จะบอกได้ว่าใครผิด-ไม่ผิด มีเพียงศาลเท่านั้น ส่วนการตั้งข้อกล่าวหาของตำรวจเป็นการบังคับใช้กฎหมายซึ่งเป็นอำนาจบริหาร หากเป็นชั้นพนักงานสอบสวนก็เป็นผู้ต้องหา หากส่งฟ้องศาลแล้วก็เป็นจำเลย แต่ยังไม่ผิดจนกว่าศาลจะตัดสิน โดยรัฐธรรมนูญที่ใช้กันในปัจจุบันคือฉบับ 2560 มาตรา 29 วรรคสอง ระบุว่า ในคดีอาญา ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้ต้องหาหรือจําเลยไม่มีความผิด และก่อนมีคําพิพากษาอันถึงที่สุดแสดงว่าบุคคลใดได้กระทําความผิด จะปฏิบัติต่อบุคคลนั้นเสมือนเป็นผู้กระทําความผิดมิได้
และวรรคสามที่ระบุว่า การควบคุมหรือคุมขังผู้ต้องหาหรือจําเลยให้กระทําได้เพียงเท่าที่จําเป็น เพื่อป้องกันมิให้มีการหลบหนี ซึ่งหลักนี้วางไว้มาตั้งแต่ปี 2492 แต่ในทางปฏิบัติ การเป็นอาชญากรเริ่มต้นตั้งแต่ถูกตำรวจตั้งข้อหา อาทิ ระเบียบสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ว่าด้วยประมวลระเบียบตำรวจไม่เกี่ยวกับคดี ลักษณะที่ 12 การพิมพ์ลายนิ้วมือ กำหนดให้นำรายชื่อและประวัติของผู้ต้องหาทุกคนบันทึกลงในทะเบียนประวัติอาชญากร ซึ่งไม่ได้ระบุรายละเอียดของแต่ละคนว่ามีคดีอะไรและคดีนั้นกระบวนการไปถึงขั้นตอนไหนแล้ว และไม่สามารถลบออกได้โดยง่าย
อย่างไรก็ตาม ล่าสุดทราบว่ามีการแก้ไขในส่วนของคดีที่อัยการสั่งไม่ฟ้อง หรือศาลตัดสินยกฟ้อง ทะเบียนประวัติก็จะถูกคัดแยกเพื่อลบออกต่อไป แต่สิ่งที่ต้องพยายามผลักดันให้แก้ไขกันต่อไปคือ กรณีที่ศาลตัดสินโทษเพียงรอลงอาญา หรือลงโทษปรับเป็นจำนวนเงินเพียงเล็กน้อยควรให้ลบประวัติออกด้วย ซึ่งปัจจุบันยังลบประวัติในส่วนนี้ไม่ได้ ทั้งที่คนกลุ่มดังกล่าวไม่ควรถูกนับรวมเป็นอาชญากร และไม่มีประเทศใดที่ใช้เกณฑ์แบบนี้
“แม้กระทั่งติดคุก ในประเทศจำนวนมากเขาต้องถือว่าติดคุกต้องหลายเดือนขึ้นไป 6 เดือนขึ้นไปบ้างถึงเป็นอาชญากร ถ้าน้อยกว่านั้น เช่น ลหุโทษเราแค่ 1 เดือน เป็นอาชญากรหรือ? ติดคุกแค่ 1 เดือน แต่เรานี่หนักกว่า รอลงอาญาหรือว่าแค่โทษปรับก็เป็นอาชญากรแล้วลบไม่ได้เลย อันนี้ก็เป็นขั้นต่อไปที่กำลังดำเนินการว่าจะขอให้นอกจากอัยการสั่งไม่ฟ้อง ศาลยกฟ้อง พลเมืองของเราแค่ศาลรอลงอาญาหรือแค่โทษปรับก็ควรลบให้เขาด้วย เพราะพวกเขาไม่ใช่อาชญากร
ผมเห็นว่าถ้าท่านไปคุยกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ผมพูดในภาพรวม ส่วนใหญ่จะถือว่าอาชญากรคือผู้ทำผิดกฎหมายอาญา เขาถืออย่างนั้น ฉะนั้นแม้ว่าศาลจะรอลงอาญาหรือแค่โทษปรับคุณก็เป็นอาชญากรแล้ว แต่ไม่ได้! เราทำให้คนของเราประมาณ 10 ล้านคนไม่มีงานทำ สมัครงานดีๆไม่ได้ แล้วนี่เป็นสาเหตุสำคัญและเป็นปัญหาทางเศรษฐกิจที่เราต้องไปนำเข้าแรงงานจากเพื่อนบ้านมาช่วยงานเรา เพราะคนไทยด้วยกันทำงานไม่ได้ ทั้งๆ ที่เขาแค่โทษปรับหรือว่ารอลงอาญา ต้องแก้ไข” อาจารย์ปริญญา กล่าว
ขณะเดียวกัน ยังมีคำว่า “ปล่อยชั่วคราว” ซึ่งสะท้อนภาพกระบวนการยุติธรรมของไทย เมื่อจับกุมผู้ต้องหาได้จะเน้นขังไว้ก่อนเป็นหลักจนกว่าศาลจะตัดสินยกฟ้อง เว้นแต่มีเหตุจึงให้ปล่อยตัวไปชั่วคราวได้ ซึ่งก็คือการประกันตัวแต่ด้วยความที่ศาลมักจะไม่อนุญาตให้ประกันหากเป็นคดีที่มีอัตราโทษสูง ทำให้เมื่อตำรวจตั้งข้อหาก็จะมักจะตั้งข้อหาที่ร้ายแรงที่สุดไว้ก่อนเพื่อหวังว่าผู้ต้องหาจะไม่ได้รับอนุญาตจากศาลให้ปล่อยตัวชั่วคราว อีกทั้งเมื่ออยู่ในเรือนจำก็ต้องถูกปฏิบัติเช่นเดียวกับผู้ต้องขังที่ศาลตัดสินแล้วว่ากระทำผิด
ซึ่งที่มาของปัญหานี้คือ ในขณะที่รัฐธรรมนูญไทยรับรองหลักการเรื่องบุคคลย่อมเป็นผู้บริสุทธิ์จนกว่าศาลจะตัดสินว่าผิด ครั้งแรกในปี 2492 แต่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ป.วิฯ อาญา) มีมาตั้งแต่ปี 2477 ซึ่งสาเหตุที่ไม่มีการแก้ไข เพราะประเทศไทยมีการรัฐประหารฉีกรัฐธรรมนูญกันหลายครั้ง จนนานวันเข้าเรื่องนี้ก็ถูกลืมเลือนไป อย่างไรก็ตาม ป.วิฯ อาญา มีการแก้อยู่บ้าง เช่น ในปี 2547 มีการแก้ไขให้ระบุถ้อยคำในมาตรา 107 ว่าผู้ต้องหาหรือจำเลยทุกคนพึงได้รับอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว
รวมถึงแก้ไขในมาตรา 108/1 เพื่อไม่ให้ใช้ดุลพินิจตามอำเภอใจ จึงมีการระบุเหตุแห่งการที่จะไม่อนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวไว้ ได้แก่ 1.ปล่อยแล้วอาจหลบหนี 2.ปล่อยแล้วอาจไปยุ่งเหยิงพยานหลักฐาน 3.ปล่อยแล้วอาจไปก่ออันตรายประการอื่น 4.ผู้ยื่นขอประกันหรือหลักทรัพย์ค้ำประกันไม่น่าเชื่อถือ และ 5.ปล่อยแล้วอาจทำให้เกิดอุปสรรคหรือความเสียหายต่อการสอบสวนของเจ้าพนักงานหรือดำเนินคดีของศาล แต่ก็ยังไม่แก้ถ้อยคำว่าปล่อยชั่วคราว
“ปัจจุบันประมาณ 20% ของคนที่อยู่ในเรือนจำทั่วประเทศ ประมาณ 20% ตัวเลขที่ 5 หมื่นกว่า กลมๆ ก็ 6 หมื่นคน ที่เป็นผู้ต้องขังในระหว่างการสอบสวนของตำรวจ การพิจารณาสั่งฟ้องของอัยการ หรือการพิจารณาคดีของศาล ซึ่งถ้ายึดตามมาตรา 29 ว่ายังเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่เรามีถึง 6 หมื่นคน 20% แล้วคุกจะไม่ล้นได้อย่างไร ทั้งๆ ที่หลักแล้วถ้ายังบริสุทธิ์อยู่ก็ต้องได้สู้คดีนอกคุก” อาจารย์ปริญญาระบุ
ด้าน รศ.ดร.ปกป้อง ศรีสนิท คณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า ในการดำเนินคดีอาญารัฐมีหน้าที่ค้นหาความจริง หากผู้ใดกระทำผิดก็ต้องถูกลงโทษอย่างเหมาะสม แต่หากผู้ใดเป็นผู้บริสุทธิ์ก็ต้องคืนความยุติธรรมให้ ซึ่งเป็นคนละเรื่องกับการพิจารณาว่าจะขังหรือปล่อยผู้ต้องหาหรือจำเลยระหว่างที่คดียังไม่สิ้นสุด โดยหลักคิดว่าจะปล่อยหรือขัง เช่น ปล่อยแล้วจะหนีหรือไม่ จะไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐานหรือไม่ หรือไปก่อเหตุอันตรายหรือไม่ เป็นต้น
ดังนั้นในการดำเนินคดีอาญาสักคดีหนึ่ง ตั้งแต่กระบวนการสอบสวนจนถึงก่อนวันที่ศาลตัดสิน ระหว่างทางอาจไม่จำเป็นต้องขังผู้ต้องหาหรือจำเลยแม้แต่วันเดียวเลยก็ได้ โดยเมื่อเทียบกับ ป.วิฯ อาญา ของฝรั่งเศส มาตรา 144 ระบุว่า “การขังระหว่างพิจารณาคดีจะใช้เป็นมาตรการสุดท้ายหากวิธีอื่นใช้ไม่ได้แล้ว” โดยก่อนศาลจะสั่งขัง ยังมีมาตรการอื่นๆ ให้เลือกใช้ก่อน
ตั้งแต่มาตรการควบคุมโดยศาลกำหนดเงื่อนไข (อาทิ กำหนดวันรายงานตัวทุกสัปดาห์ ห้ามไปพบผู้เสียหายห้ามไปพบพยาน ฯลฯ) หากไม่ทำผิดเงื่อนไขก็ยังใช้ชีวิตปกติระหว่างการพิจารณาคดีได้โดยไม่ต้องถูกสั่งขัง หรือแรงขึ้นมาอีกคือมาตรการควบคุมที่บ้านโดยวิธีการอิเล็กทรอนิกส์
(ติดกำไล EM) ในขณะที่ประเทศไทยนั้น ป.วิฯ อาญา ไม่ได้ระบุลำดับขั้นตอนแบบนี้ไว้ จึงกลายเป็นการทำกลับด้านกัน คือขังก่อนแล้วให้ไปยื่นคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราว และนี่เป็นจุดสำคัญที่ไทยต้องเปลี่ยนวิธีคิด
“สิ่งที่ดีขึ้นคือข้อบังคับประธานศาลฎีกา ซึ่งประกาศออกมาปีนี้เอง ปี’65 ผมว่าเป็นเรื่องที่ศาลเขาได้พัฒนาแล้วเขาได้ปรับไปก่อนกฎหมายวิฯ อาญา ท่านได้อธิบายเรื่องพวกนี้ไว้ในข้อบังคับประธานศาลฎีกา ว่าแม้มีเหตุออกหมายขังได้แต่ศาลมีวิธีการป้องกันไม่ให้หลบหนีใช้วิธีอื่นได้ศาลจะงดออกหมายขังก็ได้ แต่มันเป็นแค่ข้อบังคับ เมื่อเป็นข้อบังคับประธานศาลฎีกาแต่ตัวพระราชบัญญัติก็คือประมวลกฎหมายวิฯอาญา ยังอยู่บนพื้นฐานของการขังเป็นหลักแล้วก็ไปขอปล่อยชั่วคราวอยู่ มันอาจจะไม่ได้แก้ทั้งระบบ
อันที่สองเมื่อเป็นข้อบังคับยากมากที่นักกฎหมายจะรู้และจะไปเรียน โดยเฉพาะนักศึกษาก็ยังไม่ได้เรียนเรื่องพวกนี้ ฉะนั้นผมเห็นว่าเมื่อมันมีจุดเริ่มต้นที่ดีแล้วในข้อบังคับประธานศาลฎีกา ข้อ 44/1 ซึ่งเพิ่งประกาศใช้ด้วย ผมว่าสิ่งเหล่านี้ควรไปอยู่ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา เพื่อให้เกิดการบังคับใช้อย่างเป็นมรรคเป็นผลจริงๆ ไม่ใช่มาขังเป็นหลักแล้วมาปล่อยชั่วคราวทีละคดีไป” อาจารย์ปกป้อง กล่าว
(อ่านต่อฉบับวันที่ 13 พ.ย. 2565)
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี