ทิศทางของ “เกษตรคนเมือง” ในไทยในช่วงปลายปี 2565 ซึ่งมีอนาคตที่ดีและคนเมืองหันมาสนใจเรื่องการทานอาหารที่มาจากผลผลิตซึ่งมีการปลูกด้วยวิธีธรรมชาติ หรือที่เรียกว่า “เกษตรยั่งยืน” (Sustainable Urban Agriculture) ที่สามารถพยากรณ์ได้ว่า ปี 2566 นั้น กระแสของ “เกษตรคนเมือง” ในไทยจะยิ่งแรงขึ้น แต่จะเป็นในรูปแบบ “ต่อยอด” คู่ไปกับธุรกิจอื่นๆ
ล่าสุด นายสมเจตน์ ปัญจวัฒนางกูร กรรมการผู้จัดการ บริษัทโฟร์ ฟูดส์ จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายผงโรยอาหารและผงชงเครื่องดื่มแบรนด์ “ไทเชฟ” ได้ร่วมลงทุนในธุรกิจต้นไม้ล้อมขนาดใหญ่ และ มีแผนจะทำเป็นคาเฟ่และร้านก๋วยเตี๋ยวไก่ เพื่อให้คนได้มาเที่ยวชมวิถีการปลูกต้นไม้ล้อม รวมทั้งแวะทานกาแฟและก๋วยเตี๋ยวไก่ไทเชฟไปด้วย โดยใช้ชื่อว่า “สวรรค์บ้านทุ่ง” อยู่ที่คลอง 15 จังหวัดปทุมธานี
นางสาวพิสมัย สานคะนา ผู้ร่วมหุ้นส่วน “สวรรค์บ้านทุ่ง” เล่าให้ฟังว่า ทางคุณสมเจตน์ กับตัวเธอเองนั้นชอบต้นไม้ โดยนายสมเจตน์ทำเกี่ยวกับเครื่องปรุงรส และ มาทำเกี่ยวกับต้นไม้ได้ 5 ปี พอปลูกต้นไม้ล้อมจะทำในลักษณะขายก็ได้ หรือ ไม่ขายก็ได้ เป็นการปลูกป่าไปในตัวที่คลอง 15 จังหวัดปทุมธานี ซึ่งอยู่ใกล้กับชุมชนเมือง ทั้งในส่วนกรุงเทพมหานคร ,ในตัวเมืองปทุมธานี และ นครนายก
“ทุกวันนี้มีแต่คนทำลายธรรมชาติ ก็มาคิดว่าธรรมชาติเริ่มทำลายเราเองแล้ว เพราะเราไปทำลายธรรมชาติ ก็อยากให้คนมาปลูกป่ากันเยอะ แต่ปลูกไปก็มีต้นทุน ต้นทุนการดำเนินการ ซึ่งการปลูกต้นไม้ล้อมใช้พื้นที่ประมาณ 50 ไร่ โดยพื้นที่เป็นของเพื่อน คือ คุณสมเจตน์ แล้วมาลงเงินกัน ตอนนี้มีต้นไม้หลายอย่าง เป็นพะยอม กันเกรา และ ล่ำซำ โดย 5 ปีที่ผ่านมา เราปลูกอย่างเดียว ตอนนี้เรากำลังทำสกายวอล์ก แล้วเปิดเป็นร้านกาแฟ จะเปิดเป็นคาเฟ่ เหมือนแหล่งท่องเที่ยว และเปิดอย่างเป็นทางการในวันที่ 5 ธันวาคมนี้ ซึ่งอย่างเกษตรคนเมืองก็เป็นกลุ่มคนที่รักธรรมชาติ ไปด้วยกันได้ในสายกรีน อย่างสวรรค์บ้านทุ่งก็มีเป็นซุ้ม คือ จะเป็นผักปลอดสารพิษ คนเมืองเอาไปปลูกได้ในพื้นที่เล็กๆ และในพื้นที่เดียวกันก็มีร้านอาหาร เป็น ก๋วยเตี๋ยวไก่ไทเชฟ คือ โรงงานของคุณสมเจตน์ ทำผงปรุงรสไทเชฟ เราจะมีแบรนด์ของเรา คือ ก๋วยเตี๋ยวไก่ไทยเชฟ อยู่ที่คลอง 8 สาขาแรก และ ที่สวรรค์บ้านทุ่งเป็นสาขาที่ 2” นางสาวพิสมัยเล่าให้ฟังถึงที่มาที่ไปในการทำสวรรค์บ้านทุ่งสำหรับคนเมือง
เรามาดูกันที่ “สิงคโปร์” ซึ่งจัดว่าเป็นนครรัฐสมัยใหม่ และ เป็นเกาะซึ่งมีขนาดเล็กที่สุดในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ มีพื้นที่เพียง 728.6 ตารางกิโลเมตร แต่พบว่า “สตาร์ทอัพ” ของสิงคโปร์มีการนำเรื่องเกษตรกรรมมาประยุกต์ใช้กับสภาพเมืองของสิงคโปร์ในได้อย่างเหมาะสมและสมดุล
หนึ่งในสตาร์ทอัพที่เป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญ และ เป็นแรงบันดาลใจส่งต่อการทำเกษตรในเมืองนั่นคือ “เอดิเบิล การ์เด้นท์ ซิตี้” (https://www.ediblegardencity.com/) โดยมี “บีจอรน์ โลว์” (Bjorn Low) เป็นฟาวเดอร์ (Founder) ซึ่ง “เอดิเบิล การเด้นท์ ซิตี้” นั้น ก่อตั้งขึ้นเมื่อ 10 ปีที่แล้ว หรือ ใน ค.ศ. 2022 ด้วยการเนรมิตสวนกลางกรุงให้กับกลุ่มธุรกิจโรงแรม , ร้านอาหาร , โรงเรียน,กลุ่มธุรกิจห้างร้านบริษัท, โรงพยาบาล, บนดาดฟ้า เช่น บน Capitaspring และพื้นที่ในควีนส์ทาวน์ (Queenstown) และ สวนสาธารณะซึ่งเป็นสถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆในสิงคโปร์ รวมไปถึงเป็นศูนย์รวมกระจายอาหารกรีนไปยังเครือข่าย และเผยแพร่ความรู้ด้านการปลูกพืชไมโครกรีน และนวัตกรรมอาหารกรีนให้คนเมือง และ ปัจจุบัน “เอดิเบิล การ์เด้นท์ ซิตี้” ขยายธุรกิจมายังโมเดล “ฟาร์มคนเมืองอย่างยั่งยืน” (A sustainable urban farming model)
กระแสของการทำฟาร์มของคนเมืองในสิงคโปร์ ได้ถูกถ่ายทอดและส่งต่อไปยังพลเมืองของสิงคโปร์ ด้วยเป้าหมายของ “เอดิเบิล การ์เด้นท์ ซิตี้” ที่ตั้งเป็นภารกิจ (MISSION) ในการเป็นฟาร์มคนเมือง (Urban Farming) ที่จะดูแลเรื่องสิ่งแวดล้อม และคืนผลกำไรมาในรูปแบบสุขภาพและสังคมที่ดีขึ้นจากการบริโภคอาหารสายกรีน โดยเอดิเบิลฯ ยังวางตำแหน่งของตนเองเป็นศูนย์กลางการผลิตวัตถุดิบอาหารสายกรีนไปยังกลุ่มต่างๆ ได้แก่ กลุ่มบริษัท, โรงพยาบาล ,โรงเรียน และ กลุ่มเฉพาะ ซึ่งจะเน้นส่งตรงพืชผักที่เหมาะกับกลุ่มต่างๆเหล่านี้ รวมทั้งยังมีฟีเจอร์ที่ขายผลิตภัณธ์สายกรีนผ่าน “CITYZEN BOX” ให้กับคนเมืองได้บริโภคพืชผักของเอดิเบิล การ์เด้นท์ ซิตี้ ได้ง่ายขึ้น รวมทั้งยังพบกับแนวธุรกิจใหม่ๆในสิงคโปร์ที่ตอบโจทย์คนเมืองที่หันมาดูแลสุขภาพอย่างยั่งยืนด้วยการบริโภคพืชผักอาหารปลอดสารพิษ โดยสตาร์ทอัพสิงคโปร์ที่น่าสนใจ
อีกรายคือ “คริสโตเฟอร์ เหลียว” (Christopher Leow : https://christopherleow.com/) ซึ่งตั้งตำแหน่งของตนเองเป็น “เกษตรกรแบบไม่จำกัดรูปแบบ” (The Freestyle Farmer) และ เลือกทางของตัวเองชัดเจนในการเป็นเกษตรคนเมืองในสิงคโปร์ โดยการทำงานของเขาได้รวบรวมพันธมิตรในกลุ่มสตาร์ทอัพสายกรีนมาไว้ เพื่อให้เสริฟ์พืชผักการเกษตรที่มีคุณภาพถึงมือคนเมืองในสิงคโปร์ โดยพันธมิตรของเขา ได้แก่ เอดิเบิล การ์เด้นท์ ซิตี้ และ”บอทเทิล มาร์เก็ต” ( Bootle's Market was founded by Ben Scott) ซึ่งเขาพบกับเอดิเบิลฯ เมื่อ 6 ปีที่แล้ว และ เป็นหนึ่งในเครือข่ายเกษตรกรที่เติบโตมาจากเอดิเบิล การ์เด้นท์ ซิตี้ และเป็นเอดิเบิลฯ ทีม ขณะที่ในส่วน “บอทเทิล มาร์เก็ต” เป็นสตาร์ทอัพที่มีการนำเข้าแหล่งพืชผักอาหารมาโดยตรงจากประเทศมาเลเซีย, ไทย และ อินโดนีเซีย
ด้วยความที่ “สิงคโปร์” เป็นเมืองที่ถูกจำกัดพื้นที่ด้านการเพาะปลูก ทำให้การทำเกษตรกรรมในเมืองของสิงคโปร์มีคุณค่าอย่างมาก และ ตอบโจทย์ด้านการสร้างแหล่งอาหารที่เป็นมิตรกับสุขภาพของคนเมืองโดยตรง รวมไปถึงจะเห็นว่าเกษตรคนเมืองของสิงคโปร์นั้นมีการมองในระยะยาวว่า หากในอนาคต 10-20 ปีข้างหน้าเกิดภาวะขาดแคลนอาหาร วันนี้พวกเขาจะต้องทำอะไร และ นี่คือสิ่งที่ชาวเมืองในสิงคโปร์กำลังเดินหน้าทำ เพื่อความเป็นอยู่ในระยะยาว
เพราะฉะนั้น จะเห็นว่า ประเทศไทย และ ประเทศสิงคโปร์ มีความแตกต่างในเรื่องพื้นที่การทำเกษตรกรรม แม้กระทั่งรูปแบบการทำเกษตรคนเมือง จะเห็นว่าคนเมืองของสิงคโปร์นั้นมีความต้องการหรือถวิลหาอาหารที่มีคุณภาพ ปลอดสารพิษ และ เร่งการปลูกพืชผักบนพื้นที่ต่างๆเท่าที่จะทำได้ เพื่อเป็นแหล่งอาหารในอนาคต ส่วนประเทศไทยนั้นการทำเกษตรของคนเมือง ออกไปในรูปแบบแนวราบ เน้นขยายพื้นที่การทำเกษตรไปยังปริมณฑล และ ชานเมืองเป็นหลัก ดังนั้นในปี 2566 เราจะได้เห็นนวัตกรรมที่มาสนับสนุนการทำเกษตรของคนเมืองมากขึ้น ในรูปแบบที่เหมาะสมกับคนเมืองของแต่ละประเทศ โดยมีคำว่า “ภูมิศาสตร์ของเมือง” เข้ามาเป็นตัวแปรสำคัญ
ขอบคุณข้อมูลและภาพ
https://www.ediblegardencity.com/
https://christopherleow.com/
FB : EDIBLE GARDEN CITY
FB : Christopher Leow
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี