แม้ว่าประเทศไทยจะเป็นเมืองเกษตร แต่เราก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า “เกษตรกร” ในไทย ยังคงติดกับดักหนี้สินล้นตัว และ แทบจะมองไม่เห็นแนวทางที่จะ “ขจัดความยากจน” ออกไปจากการดำเนินชีวิต
รายงานพิเศษ ชุด “เกษตรคนเมืองขจัดความยากจน” (Urban Agriculture to eradicating proverty) ตอน 2 “ขจัดความยากจน” ในพื้นฐานเมืองเกษตร จึงเป็นส่วนหนึ่งในการสะท้อนทางออกของความยากจน ด้วยการทำจุดแข็งของไทยให้แข็งแรงยิ่งขึ้นไปนั่นคือ พื้นฐานการเป็นเมืองเกษตรที่มีมาอย่างยาวนานตั้งแต่ครั้งประวัติศาสตร์ เพียงแต่วันนี้จะ “ต่อยอด” พื้นฐานความเป็นเมืองเกษตรกรรมให้ดำเนินต่อไปอย่างมั่นคงและยั่งยืนได้อย่างไร
“เนตรดาว เถาถวิล” เขียนในประชาไทดอทคอม (WWW.PRACHATHAI.COM) ว่า ในแง่ข้อจำกัดและสิ่งท้าทายสำหรับเกษตรกรรมในเมือง มีงานวิจัย Kaufman and Baikey กล่าวถึงข้อจำกัดและสิ่งท้าทายสำหรับเกษตรกรรมในเมือง 4 ด้าน คือ
1.ด้านพื้นที่ทำเกษตรกรรม เช่น การปนเปื้อนสารพิษ ความมั่นคง ระบบกรรมสิทธิ์
2.บทบาทของรัฐ เช่น การออกกฎหมายควบคุมของรัฐ การขาดการสนับสนุนของรัฐ
3.ด้านกระบวนการผลิต เช่น การขาดแหล่งเงินทุนสนับสนุน การขาดการวางแผนทางธุรกิจที่เหมาะสม การสูญเสียเป้าหมายที่วางไว้ในระยะเริ่มต้นของการดำเนินงาน
4.ด้านวิสัยทัศน์ เช่น มุมมองด้านลบต่อการทำเกษตรในเมือง การทำแปลงเกษตรร่วมกันของคนอเมริกันกับคนผิวสี และการบูรณาการเป้าหมายทางสังคมเข้ากับเกษตรกรรมในเมืองก็เป็นสิ่งท้าทายเช่นเดียวกัน รวมถึงทัศนคติที่เชื่อว่าเกษตรกรรมเป็นเรื่องที่ไม่ควรจะอยู่ในเมือง ก็นับเป็นประเด็นท้าทายสำหรับการทำเกษตรกรรมในเมืองในสหรัฐอเมริกาด้วยเช่นกัน การส่งเสริมเกษตรกรรมในเมืองจึงต้องอาศัยวิธีการเชิงบูรณาการ เพื่อให้สามารถนำเสนอประเด็นที่ท้าทายเหล่านี้ เช่น การแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับเกษตรกรรมในเมือง การขยายความช่วยเหลือและสนับสนุนแก่ผู้ทำเกษตรกรรมในเมือง การให้การศึกษาเกี่ยวกับความเสี่ยงด้านสุขภาพและสิ่งแวดล้อมจากการทำเกษตรกรรมในเมือง การส่งเสริมการวิจัยเกี่ยวกับระบบเกษตรกรรมในเมือง การประยุกต์ใช้งานวิจัยกับระบบนิเวศในเมืองและการเกษตร การหารูปแบบของการทำเกษตรกรรมในเมืองที่เหมาะสมเพื่อทำการขยายผลสู่พื้นที่อื่นๆ และเป็นแนวทางของการพัฒนาต่อไปในอนาคต
ขณะที่เมื่อ 7 ปีที่แล้ว ระหว่างวันที่ 27-28 พฤศจิกายน ค.ศ.2015 การประชุมปฏิบัติการของส่วนกลางเพื่อขจัดความยากจนด้วยการบุกเบิกพัฒนา ได้จัดขึ้นที่กรุงปักกิ่ง และ หลังจากการประชุมคณะกรรมการกลางแบบเต็มคณะ ครั้งที่ 5 ของคณะกรรมการกลางชุดที่ 18 ของพรรคฯ สะท้อนให้เห็นถึงการตระหนักรู้อย่างยิ่งของคณะกรรมการพรรคต่องานบุกเบิกพัฒนาพื้นที่เพื่อขจัดความยากจน โดยภารกิจที่สำคัญของการประชุมครั้งนี้ คือ การขับเคลื่อนเจตนารมณ์ของพรรค สู่การปฏิบัติ วิเคราะห์สถานการณ์และภารกิจที่ต้องเผชิญอย่างสร้างสรรค์สู่ความสมบูรณ์พูนสุขถ้วนหน้า
ท่านสี จิ้นผิง ในฐานะเลขาธิการใหญ่คณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีน ประธานาธิบดีประเทศและประธานคณะกรรมการกลางการทหารแห่งชาติได้เข้าร่วมประชุมพร้อมทั้งกล่าวสุนทรพจน์ที่มีความสำคัญยิ่ง โดยท่านย้ำว่า กรขจัดความยากจน ปรับปรุงคุณภาพชีวิตของประชาชน เพื่อทยอยสร้างความมั่งคั่งร่วมกันให้เกิดขึ้นเป็นจริงนั้น เป็นข้อเรียกร้องเชิงคุณสมบัติพื้นฐานของระบอบสังคมนิยม และ เป็นพันธกิจที่สำคัญของพรรคคอมมิวนิสต์จีน การสร้างสรรค์สังคมสู่ความสมบูรณ์พูนสุข ยังถือเป็นคำมั่นสัญญาอันเข้มแข็งและสง่างามที่เราได้ให้ไว้กับประชาชนทั่วทั้งประเทศ เสียงแตรรวมพลเพื่อรุกคืบบุกตะลุยจู่โจมในยุทธการขจัดความยากจนนั้นได้ดังขึ้นแล้ว เราต้องตั้งปณิธานที่พร้อมจะเป็น “ลุงโง่ผู้ย้ายภูเขา” กัดเป้าหมายแบบไม่ปล่อย ทุ่มเททำงานอย่างหนักและทำจริง เพื่อให้สามารถคว้าชัยชนะอย่างเด็ดขาดในยุทธการขจัดความยากจน ต้องให้มั่นใจว่า เมื่อถึงปี ค.ศ.2020 ทุกเขตพื้นที่ยากจนและประชากรยากจน ต้องจับมือร่วมกันก้าวเข้าสู่ยุคแห่งสังคมสมบูรณ์พูนสุขอย่างพร้อมเพรียง
เพราะฉะนั้น จะเห็นว่า ทั้งสหรัฐอเมริกา และ จีน นั้นให้ความสำคัญกับ “เกษตรกรรม” เนื่องด้วยเกษตรกรรมนั้นเป็นวัฎจักรต้นน้ำของ “แหล่งอาหาร” ซึ่งการทำให้แหล่งอาหารในประเทศเกิดความมั่นคงและยั่งยืนได้นั้น การทำเกษตรทั้งในเมืองหลวง และ หัวเมืองสำคัญของทุกภาค ทุกมณฑล ทุกมลรัฐ มีความจำเป็นอย่างยิ่ง เพราะไม่เพียงแต่จะแก้ปัญหาเรื่องขาดแคลนอาหารในระยะยาวแล้ว ยังทำให้คนเมืองมีรายได้ที่มาจากการแปรรูปสินค้าที่มาจากภาคเกษตรกรรม จากเดิมคนในเมืองหลวง และ ตามหัวเมือง มีรายได้จากการเป็นลูกจ้างและพนักงานประจำในห้างร้านบริษัทต่างๆ ซึ่งต้องใช้ชีวิตประจำวันอย่างเร่งรีบ มีรายได้หลักจากเงินเดือนเท่านั้น ไม่สามารถพึ่งพาตนเองได้อย่างแท้จริง
การขจัดความยากจนในประเทศมหาอำนาจทั้งจีน และ สหรัฐอเมริกา สอดคล้องกับแนวปรัชญา “เศรษฐกิจพอเพียง” (Sufficiency Economy) ของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร (รัชกาลที่ 9) ซึ่งเป็นหลักในการดำเนินชีวิต และครอบคลุมถึงการแก้ปัญหาความยากจนของเกษตรกร โดยแนวทางพระราชดำริ “เศรษฐกิจพอเพียง” ได้แก่ ยึดความประหยัดตัดทอนค่าใช้จ่ายในทุกด้าน ลดละความฟุ่มเฟือยในการใช้ชีวิต, ยึดถือการประกอบอาชีพด้วยความถูกต้อง ซื่อสัตย์สุจริต , ละเลิกการแก่งแย่งผลประโยชน์และแข่งขันกันในทางการค้าแบบต่อสู้กันอย่างรุนแรง, ไม่หยุดนิ่งที่จะหาทางให้ชีวิตหลุดพ้นจากความทุกข์ยาก ด้วยการขวนขวายใฝ่หาความรู้ให้มีรายได้เพิ่มพูนขึ้น จนถึงขั้นพอเพียงเป็นเป้าหมายสำคัญ และ ปฏิบัติตนในแนวทางที่ดี ลดละสิ่งชั่ว ประพฤติตามหลักศาสนา
พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร รัชกาลที่ 9 ยังได้พระราชทาน “ทฤษฎีใหม่” ไว้เพื่อเป็นการช่วยเหลือเกษตรกรที่ประสบปัญหาภัยธรรมชาติและปัจจัยภายนอกที่มีผลกระทบต่อการทำเกษตร โดยเฉพาะปัญหาขาดแคลนน้ำ รวมทั้งปัญหาที่เกษตรกรพบบ่อยๆ อาทิ ความเสี่ยงด้านราคาสินค้าเกษตร, ความเสี่ยงในราคาและการพึ่งพาปัจจัยการผลิตสมัยใหม่จากต่างประเทศ, ความเสี่ยงด้านน้ำฝน อย่างฝนทิ้งช่วงและฝนแล้ง, ภัยธรรมชาติอื่นๆ เช่น โรคระบาด, ความเสี่ยงด้านแบบแผนการผลิต ได้แก่ ความเสี่ยงด้านโรคและศัตรูพืช, ความเสี่ยงด้านการขาดแคลนแรงงาน และ ความเสี่ยงด้านหนี้สินรวมทั้งการสูญเสียที่ดินทำกิน
เพราะฉะนั้นจะเห็นว่า ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา มีการน้อมนำแนวทางปรัชญา “เศรษฐกิจพอเพียง” และ “ทฤษฎีใหม่” มาใช้กับภาคเกษตรกรรม โดยเฉพาะการดำเนินชิวิตของเกษตรกร จึงทำให้เกิดเกษตรกรรุ่นใหม่ที่สามารถสืบทอดอาชีพเกษตรกรของปู่ย่าตายายมาได้ และ นำแนวทางพระราชดำริมาประยุกต์ใช้จนประสบความสำเร็จ เพียงแต่แนวทางปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง และ ทฤษฎีใหม่นั้น ยังต้องมีการน้อมนำมาใช้กับการดำเนินชีวิตในวงกว้างขื้น โดยเฉพาะทฤษฎีใหม่ซึ่งเหมาะกับการนำมาประยุกต์ใช้กับการทำเกษตรแปลงเล็ก ท่ามกลางสภาพอากาศที่แปรปรวนและข้อจำกัดเรื่องน้ำ
ขอบคุณข้อมูล
1.หนังสือคำสำคัญ เพื่อเข้าใจประเทศจีน ฉบับขจัดความยากจนอย่างตรงจุด
2. https://www.chaipat.or.th/site_content/item/1309-2010-06-03-09-50-07.html
3. https://prachatai.com/journal/2013/07/47573
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี