เมื่อเอ่ยถึง “ภาคการท่องเที่ยว” ชื่อเสียงของ “ประเทศไทย” นั้นอยู่ใน “จุดหมายปลายทางอันดับต้นๆ ของโลก” ไม่ว่าจะเป็นความสะดวกสบายและความปลอดภัยที่มากกว่าอีกหลายชาติในกลุ่มประเทศระดับเดียวกัน ความเป็นมิตรของผู้คนค่าครองชีพที่ไม่สูงนัก สถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่หลากหลาย แม้กระทั่ง “การฉลองสังสรรค์ยามค่ำคืน (Nightlife)”ก็เป็นอีกด้านที่ไทยได้รับเสียงกล่าวขานถึงความสนุกสุดเหวี่ยงในสายตาชาวโลก
ในปี 2562 ซึ่งเป็นปีสุดท้ายก่อนที่ทั้งโลกจะเผชิญสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 และเป็นปีที่ประเทศไทยได้ต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติถึง 40 ล้านคน สำนักข่าวชื่อดังของสหรัฐอเมริกาอย่าง “CNN” เสนอรายงานพิเศษ “Best party cities around the world” จัดให้ “กรุงเทพฯ (Bangkok)” เมืองหลวงของไทย เป็น 1 ใน 11 เมืองที่โดดเด่นด้านการสังสรรค์ยามค่ำคืน
นอกจากนั้น หากค้นหาในอินเตอร์เนตว่า “Top 10 Nightlife Countries in the World” หรือ “Top 10 Party Countries in the World”จะพบ เว็บไซต์ต่างประเทศอีกหลายแห่งที่กล่าวถึงประเทศไทยในด้านนี้ อาทิ บทความ “10 Countries With Best Nightlife” โดย SB NRI บริษัทไอทีชื่อดังในอินเดีย กล่าวถึงกรุงเทพฯ ในฐานะหนึ่งในเมืองที่เหมาะกับการสังสรรค์ยามค่ำคืน หรือบทความ “Top 10 party cities in the world” โดย Tropical Sky บริษัททัวร์สัญชาติอังกฤษ ซึ่งนอกจากกรุงเทพฯ แล้วยังมี เกาะพะงัน (Koh Phangan) จ.สุราษฎร์ธานี ติดมาอีกแห่ง
นั่นจึงเป็นที่มาของข้อเสนอ “ขยายเวลาเปิดสถานบันเทิงถึงตี 4” หรือเวลา 04.00 น. ซึ่งจากเดิม สถานบันเทิงที่จำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ไม่ว่าจะเป็นในรูปร้านอาหาร ผับ บาร์ คาราโอเกะ ไนท์คลับฯลฯ โดยทั่วไปตามกฎหมายให้เปิดได้ตั้งแต่เวลา 18.00-24.00 น. แต่หากอยู่ในพื้นที่พิเศษ (Zoning) จะเปิดได้ตั้งแต่เวลา 18.00-01.00 น. ซึ่งเรื่องนี้ในปี 2562 เคยถูกชงโดย พิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ให้ทำการศึกษาในหลายพื้นที่ เช่น จ.ภูเก็ต จ.กระบี่ จ.เชียงใหม่ เมืองพัทยา (จ.ชลบุรี) เป็นต้น
ซึ่งเมื่อเรื่องนี้กลายเป็นข่าว “วิวาทะ” ก็เกิดขึ้นระหว่าง “ฝ่ายสนับสนุน” ที่มองเห็นประโยชน์ด้านเศรษฐกิจจากเม็ดเงินที่เพิ่มขึ้นในภาคการท่องเที่ยว กับ “ฝ่ายคัดค้าน” ที่มองเห็นผลกระทบทางสังคม โดยเฉพาะอุบัติเหตุบนท้องถนนจากการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แล้วขับขี่ยานพาหนะ หรือแม้กระทั่งการทะเลาะวิวาทเนื่องจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทำให้ขาดสติ ก่อนที่แนวคิดดังกล่าวจะค่อยๆ เงียบหายไป ตามด้วยสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 ที่ทำให้ภาคการท่องเที่ยวของไทยซบเซา
กระทั่งเมื่อเดือน พ.ย. 2565 ที่ผ่านมา แนวคิดการขยายเวลาเปิดสถานบันเทิงถึง 04.00 น. กลับมาได้รับความสนใจอีกครั้งเริ่มจากในวันที่ 9 พ.ย. 2565 เครือข่ายกลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวและบริการ ร้านค้า ร้านอาหาร สถานบริการ ผับ บาร์ คาราโอเกะ รวมตัวกันที่ทำเนียบรัฐบาล เรียกร้องขยายเวลาเปิดสถานบันเทิงในพื้นที่ท่องเที่ยวเป็นการเฉพาะ อาทิ หาดป่าตอง (จ.ภูเก็ต) เขาหลัก (จ.พังงา) หาดเฉวง-เกาะสมุย (จ.สุราษฎร์ธานี) ถนนข้าวสาร ซอยคาวบอย ย่านพัฒน์พงศ์(กรุงเทพฯ) ฯลฯ
เขมิกา รัตนกุล นายกสมาคมธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ไทย (TABBA) หนึ่งในผู้ร่วมยื่นข้อเรียกร้อง กล่าวว่า ผู้ประกอบการยินดีปฏิบัติตามหากมีการประกาศมาตรการออกมาชัดเจน รวมถึงต้องมีการควบคุมด้านความปลอดภัย จำนวนผู้ใช้บริการ การจำกัดอายุผู้ใช้ต้องมีอายุ 20 ปีขึ้นไป อีกทั้งต้องส่งเสริมให้มีจุดเชื่อมต่อกับขนส่งสาธารณะ เน้นการใช้บริการขนส่งสาธารณะ ไม่ใช้รถยนต์ส่วนบุคคล ทั้งเพื่อส่งเสริมรายได้ และป้องกันอุบัติเหตุจากการเมาแล้วขับ
“อยากให้ทุกฝ่ายมองภาพอย่างเป็นจริงและเป็นธรรม ให้เกิดความสมดุลทั้งด้านสาธารณสุขกับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ เราลำบากกันมาหลายปีแล้ว นาทีนี้ต้องร่วมด้วยช่วยกันผลักดันมาตรการให้มีการปลดล็อก อนุญาตให้ร้านอาหารและเครื่องดื่ม สถานบันเทิง ผับ บาร์ คาราโอเกะ นอกพื้นที่โซนนิ่งสามารถขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้ถึงตีสอง จากที่ปัจจุบันเปิดให้บริการได้ถึงแค่เที่ยงคืน เพื่อให้สอดคล้องกับพฤติกรรมและความต้องการของนักท่องเที่ยวและผู้บริโภคในปัจจุบัน ส่วนในพื้นที่พิเศษก็ขอให้ได้ขายถึงตีสี่” เขมิกา กล่าว
อีก 2 วันต่อมา ในวันที่ 11 พ.ย. 2565 เครือข่ายพัฒนาคุณภาพชีวิต ร่วมกับ เครือข่ายเหยื่อเมาแล้วขับกรุงเทพมหานคร เครือข่ายรณรงค์ป้องกันภัยแอลกอฮอล์ เครือข่ายผู้ปกครองในสถานศึกษา เครือข่ายเยาวชนลดปัจจัยเสี่ยง เครือข่ายเฝ้าระวังธุรกิจสุราและภาคีเครือข่ายผู้ได้รับผลกระทบจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ แต่งชุดดำรวมตัวที่ทำเนียบรัฐบาล แสดงจุดยืนคัดค้านแนวคิดดังกล่าว โดย เครือมาศ ศรีจันทร์ ผู้ประสานงานเครือข่ายพัฒนาคุณภาพชีวิต กล่าวว่า ประเทศไทยไม่ควรใช้การกินดื่มหรืออบายมุขมาเป็นจุดขาย
“เราควรดึงนักท่องเที่ยวที่มีคุณภาพ มีศักยภาพในการจับจ่ายใช้สอยมากกว่าเอาใจนักท่องเที่ยวสายกินดื่ม ซึ่งมีไม่น้อยที่จะตามมาด้วยเซ็กซ์และยาเสพติด ปัญหาความไม่ปลอดภัยของนักท่องเที่ยวเช่นกรณีที่มีข่าวนักท่องเที่ยวต้องมาตายเพราะโดนคนเมาแล้วขับชนถูกข่มขืน ทำร้ายร่างกาย จี้ปล้น คือสิ่งที่รัฐบาลต้องให้ความสำคัญ ควรมุ่งสร้างความปลอดภัยให้กับนักท่องเที่ยวมากกว่าเพิ่มความเสี่ยงให้เขา รวมถึงคนไทยที่จะได้รับผลกระทบด้วย” เครือมาศ กล่าว
ในวันที่ 29 พ.ย. 2565 มีความเคลื่อนไหวจากตัวแทนเครือข่ายคนทำงานด้านเฝ้าระวังอุบัติเหตุบนท้องถนน และเฝ้าระวังผลกระทบจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ อาทิ ธีระ วัชรปราณีผู้จัดการสำนักงานเครือข่ายองค์กรงดเหล้า (สคล.) และ พรหมมินทร์กัณธิยะ ผู้อำนวยการสำนักงานเครือข่ายลดอุบัติเหตุ (สคอ.)คัดค้านแนวคิดเปิดสถานบันเทิงถึงตี 4 แสดงความเป็นห่วงทั้งการเพิ่มขึ้นของความสูญเสียจากอุบัติเหตุบนท้องถนน ไปจนถึงค่าใช้จ่ายด้านสาธารณสุขจากโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ที่มีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นปัจจัยกระตุ้น
จากนั้นในวันที่ 30 พ.ย. 2565 ตัวแทนฝ่ายธุรกิจกลางคืนและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ อาทิ วีกฤษ อุ่นอนุโลม รองนายกสมาคมธุรกิจการค้าร้านอาหารกลางคืน และ ธนากร คุปตจิตต์ ที่ปรึกษาสมาคมธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ไทย (TABBA) ชี้แจงโดยย้ำว่า พื้นที่ที่ผู้ประกอบการขอให้เปิดสถานบันเทิงถึงเวลา 04.00 น. นั้นหมายถึงเฉพาะพื้นที่ย่านท่องเที่ยว ซึ่งลูกค้าส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติที่พักอาศัยในบริเวณนั้น หรือหากเดินทางจะนิยมใช้บริการแท็กซี่ไม่ได้ขับขี่ยานพาหนะเอง โดยไม่ได้เสนอให้ปิดตี 4 ทั่วประเทศ หรือแม้แต่ทั่วทั้งจังหวัดแต่อย่างใด
ทั้งนี้ มีกระแสข่าวว่า จะมีการนำข้อเสนอ “เปิดสถานบันเทิงถึงตี 4” เข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ตั้งแต่วันที่ 15 พ.ย. 2565 แต่จนถึงปัจจุบันยังไม่มีเรื่องนี้เข้า ครม. แต่อย่างใด..จึงต้องติดตามดูกันต่อไป!!!
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี