ผ่านพ้นไปแล้วสำหรับ การประชุมความร่วมมือทางเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก (Asia-Pacific Economic Cooperation : APEC) หรือ เอเปก 2022 (APEC 2022) ที่ไทยเป็นเจ้าภาพโดยเฉพาะการที่ผู้นำเขตเศรษฐกิจทั้งหมด 21 เขต ได้ลงนาม “เป้าหมายกรุงเทพฯ ว่าด้วยเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว” หรือ Bangkok Goals on Bio-Circular-Green(BCG) Economy โดยมีเป้าหมายสำคัญ 4 ด้าน คือ สนับสนุนการจัดการทุกความท้าทายทางสิ่งแวดล้อม ต่อยอดการค้าการลงทุนที่ยั่งยืนและครอบคลุม ให้สอดรับกับนโยบายด้านสิ่งแวดล้อม ส่งเสริมการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม การใช้และจัดการทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน และเดินหน้าบริหารทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ และจัดการของเสียอย่างยั่งยืน มุ่งสู่เป้าหมายไม่เหลือทิ้ง หรือซีโรเวท (Zero Waste)
โฟกัสไปที่กระทรวงพาณิชย์ รับผิดชอบโดย นายจุรินทร์ลักษณวิศิษฎ์ รองนายกฯและรมว.พาณิชย์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์
ซึ่งร่วมมีภารกิจเพื่อชาติหลายช่วงเวลา อย่างเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2565 ที่ห้อง Ballroom Hall 1-2 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ กรุงเทพมหานคร นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ กล่าวต้อนรับรัฐมนตรีเอเปก และผู้เข้าร่วมการประชุม ในการประชุมรัฐมนตรีเอเปก ประจําปี 2022 (APEC Ministerial Meeting 2022 : AMM) ร่วมกับ นายดอน ปรมัตถ์วินัย รองนายกฯและรมว.ต่างประเทศ
และเน้นไปที่ หัวข้อการค้าและการลงทุน จะเป็นการเปิดโอกาส ให้รัฐมนตรีเอเปกร่วมกันติดตามผลการดําเนินงานที่ผ่านมาของเอเปกตลอดทั้งปี และกําหนดทิศทางการขับเคลื่อนงานของเอเปกที่รองรับสถานการณ์การค้าโลกในปัจจุบัน โดยให้ความสําคัญกับทุกภาคส่วน ส่งเสริม การค้าการลงทุนที่เปิดกว้าง ยั่งยืน มีพลวัต และมีการเชื่อมโยงกัน
เพียงแค่เวทีเดียวสำนักวิจัยซูเปอร์โพล (SUPER POLL) ก็การันตีฝีมือการทำงานระดับโลก ในขณะที่เวทีย่อยอื่นๆ ก็สามารถปฏิบัติหน้าที่ตัวแทนประเทศไทยได้อย่างยอดเยี่ยม เพราะมีความ“มุ่งมั่นและแน่วแน่ในการทำงานให้ประชาชนและประเทศชาติ”
ทั้งยังมีเวทีเล็กจับคู่ค้าขายระหว่างกันอีกหลายเวที ที่ไม่บกพร่อง
ที่สะเทือนปฐพีแต่ถูกใจเกษตรกร คือ เมื่อ 24 พ.ย.2565 - นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ รองนายกฯและพาณิชย์ แถลงข่าวการจ่ายเงินโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว และสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 4 พร้อมด้วยสมาคมชาวนาและเกษตรกรไทยสมาคมชาวนาข้าวไทยและสมาคมส่งเสริมเกษตรกรชาวนาอีสานที่ห้องบุรฉัตรไชยากร ชั้น 4 สำนักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์
นโยบายประกันรายได้เกษตรกร ในพืช 5 ชนิด คือ ข้าว มัน ยาง ปาล์มและข้าวโพด ได้เดินหน้ามาถึงปีที่ 4 วันนี้จะ Kickoffการจ่ายเงินส่วนต่างให้กับเกษตรกรผู้ปลูกข้าว รวมทั้งเริ่มต้นโครงการคู่ขนานหรือมาตรการคู่ขนานที่จะช่วยยกระดับราคาข้าวในตลาดและเริ่มจ่ายเงินไร่ละ 1,000 ให้กับเกษตรกรผู้ปลูกข้าว
หลังจากที่กระทรวงพาณิชย์นำเสนอเรื่องนี้ต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรีใช้เวลาพิจารณาร่วม 2 เดือน วันนี้ผ่านพ้นกระบวนการพิจารณาตามขั้นตอนทั้งหมดครบถ้วนแล้ว ถึงเวลาที่กระทรวงพาณิชย์ในฐานะเจ้าของเรื่องนับหนึ่ง เพื่อแจ้งให้ชาวนาทั่วประเทศได้รับทราบ ซึ่งทำโดยต่อเนื่องตลอด 3 ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่ปีที่ 1-3 และเข้าสู่ปีสุดท้ายของรัฐบาลชุดนี้ ถือว่ามีความสำคัญเป็นปีพิเศษสุดท้ายของโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว
มีชาวนาได้ประโยชน์ รวม 4,295,294 ครัวเรือน และการจ่ายเงินส่วนต่างข้าว 5 ชนิด รวม 4 ปี เงินส่วนต่างที่บางครอบครัวได้รับสูงสุด ข้าวหอมมะลิ สูงสุด 58,988 บาท/ครัวเรือน ข้าวหอมมะลินอกพื้นที่ สูงสุด 60,086 บาท/ครัวเรือน ข้าวหอมปทุมธานี สูงสุด 41,527 บาท/ครัวเรือน ข้าวเปลือกเจ้า เงินส่วนต่างสูงสุด 76,601 บาท/ครัวเรือน และข้าวเปลือกเหนียว เงิน ชดเชยสูงสุด 71,465 บาท/ครัวเรือน
“ส่วนประกันรายได้มันสำปะหลัง ปาล์มน้ำมันข้าวโพดและยางพาราอยู่ในขั้นตอนกระบวนการรอนำเข้าสู่ที่พิจารณาของคณะรัฐมนตรี ส่วนที่กระทรวงพาณิชย์ทำต้นเรื่องเสนอไปแล้วก่อนหน้านี้ รอกระบวนการ สำหรับปาล์มน้ำมันและข้าวโพด ตอนนี้ประกันรายได้และเงินส่วนต่างยังไม่จำเป็น เนื่องจากตอนนี้ข้าวโพดในตลาด ราคา 11-12 บาท/กก. ปาล์มน้ำมัน ประกันที่ 4 บาท/กก. แต่ราคาในตลาด 5-6 บาท เกือบ 7 บาท/กก. มันสำปะหลังประกันที่กิโลละ 2.50 บาท/กก. ตอนนี้กิโลกรัมละ 3 บาทกว่า ยังรอได้ ไม่จำเป็นต้องใช้เงินส่วนต่างชดเชย ส่วนยางพาราก็รอกระบวนการพิจารณาของ ครม.ต่อไป”นายจุรินทร์กล่าว
ผลการประกันรายได้ซึ่งเป็นนโยบายหลักของพรรคประชาธิปัตย์ เห็นผลเกษตรกรได้ประโยชน์
คะแนนนิยมจากเกษตรกรทั่วประเทศเทใจให้พรรคประชาธิปัตย์ จนคนในรัฐบาลถึงกับแย่งซีนไปขอแถลงข่าวบ้าง ซึ่ง นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ และลูกพรรคก็ใจกว้างพอเพราะเห็นว่าประชาชนได้ประโยชน์จริงๆ และต้องช่วยเหลือกันต่อไป
ส่วนเรื่องการส่งออก นำเงินเข้าประเทศ ทำเคียงคู่กับกระทรวงเกษตรของรัฐมนตรีดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน ตามสโลแกน “เกษตรผลิตพาณิชย์ตลาด” ได้รับการชื่นชมอย่างทั่วหน้า
สำหรับประวัติของนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ นั้น เป็นชาวจังหวัดพังงา จบระดับมัธยมศึกษา จากโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัยสำเร็จปริญญาตรี รัฐศาสตรบัณฑิต สาขาบริหารรัฐกิจ จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และระดับปริญญาโท รัฐประศาสนศาสตรมหาบัณฑิต สาขานโยบายสาธารณะและการวางแผน จากสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า)
เคยดำรงตำแหน่งเลขานุการรัฐมนตรีหลายกระทรวง เป็น รมช.พาณิชย์ ปี 2535, รมช.เกษตรและสหกรณ์ ปี 2537, รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ ปี 2540, รมว.ศึกษาธิการ ปี 2551, รมว.สาธารณสุขปี 2553 ทั้งเป็นรองนายกฯและรมว.พาณิชย์ในรัฐบาลปัจจุบัน
ส่วนงานในสภา เคยเป็นทั้งประธานวิปรัฐบาลในรัฐบาลนายกฯชวน หลีกภัย และประธานวิปฝ่ายค้านหลายสมัย เคยเป็น สส.ดาวรุ่ง และเป็นกรรมาธิการดีเด่นของสภาตั้งแต่เป็น สส.สมัยแรก เป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ที่สามารถนำลูกพรรคฝ่ากระแสคลื่นการเมืองที่สับสนอลหม่านมาได้จนถึงปัจจุบัน
ครบเครื่อง ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมืองและการต่างประเทศ
ย่อมถึงเวลาท้าชิงเก้าอี้นายกรัฐมนตรี
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี