“55 ปี” เป็นระยะเวลาการดำรงอยู่ของ “อาเซียน (ASEAN)”หรือสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งก่อตั้งขึ้นในปี 2510 ที่ประเทศไทย จากเริ่มต้นมีสมาชิกร่วมก่อตั้งจำนวน 5 ประเทศ จนล่าสุดในเดือน พ.ย. 2565 เพิ่งต้อนรับ ติมอร์เลสเต เข้าเป็นประเทศสมาชิกลำดับที่ 11 ขณะเดียวกัน อาเซียนยังได้รับความสนใจจากชาติมหาอำนาจต่างๆ ทั่วโลก แต่อีกด้านหนึ่ง อาเซียนก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าไม่สามารถรวมกันเป็นประชาคมได้อย่างเข้มแข็ง หากเทียบกับประชาคมที่คล้ายกันอย่างสหภาพยุโรป (EU)
เมื่อเร็วๆ นี้ มีวงเสวนา (ออนไลน์) หัวข้อ “ถนนทุกสายมุ่งสู่อาเซียน : สัญญาณแห่งการเปลี่ยนแปลงหรือแค่ประชุมประจำปี” จัดโดยศูนย์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา สถาบันเอเชียตะวันออกศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่ง ศ.ดร.นภดล ชาติประเสริฐ อาจารย์คณะศิลปศาสตร์ และที่ปรึกษาสถาบันเอเชียตะวันออกศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่าถึงจะบอกว่าอาเซียนเป็นกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม แต่จริงๆ แล้วเป็นเรื่องการเมือง
โดยช่วงแรกของการก่อตั้งเป็นความร่วมมือของชาติในกลุ่มโลกเสรีเพื่อรับมือภัยคุกคามจากชาติในกลุ่มโลกคอมมิวนิสต์ ขณะเดียวกัน ยังมีการเข้ามาของมหาอำนาจทั้ง 2 ค่าย คือสหรัฐอเมริกาในฝ่ายโลกเสรี และสาธารณรัฐประชาชนจีนในฝ่ายคอมมิวนิสต์ ซึ่งจีนนั้นขัดแย้งกับสหภาพโซเวียตแม้จะเป็นมหาอำนาจร่วมค่ายคอมมิวนิสต์เหมือนกัน และไม่พอใจที่สหภาพโซเวียตพยายามขยายอิทธิพลในภูมิภาคนี้ผ่านเวียดนาม ดังนั้น อาเซียนจึงโดดเด่นขึ้นมาในฐานะเวทีประลองกำลังในระดับโลก
กระทั่งในทศวรรษ 1990 (ปี 2533-2542) สงครามเย็นสิ้นสุดลง กระแสโลกเชื่อว่าคงไม่มีสงครามใหญ่ๆ กันอีก จึงมุ่งไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจมากขึ้น ซึ่งอาเซียนก็เริ่มปรับตัวเช่นกัน จากการก่อตั้งของกลุ่มชาติโลกเสรี 5 ประเทศ ในเวลาต่อมาอาเซียนเปิดรับความหลากหลายทางการเมือง หรือแม้แต่ความแตกต่างทางเศรษฐกิจ จนล่าสุดที่เพิ่งรับติมอร์เลสเตเข้าเป็นชาติสมาชิก
“ความเป็นศูนย์กลางอาเซียนเป็นปรากฏการณ์เฉพาะมากของประเทศโลกที่ 3 ซึ่งก็ไม่ได้มีเห็นในที่อื่น แม้จะมีการรวมกลุ่มในภูมิภาคต่างๆ ก็ตาม ก็ไม่ได้มีบทบาทโดดเด่นตรงนี้จริงๆ นักวิชาการญี่ปุ่นท่านหนึ่งก็เคยมาแลกเปลี่ยนกับผมด้วยซ้ำว่าบทบาทของอาเซียนก็มีลักษณะพิเศษนะ เมื่อมีการประชุมระดับผู้นำอาเซียนที่เราเรียกว่าประชุมสุดยอดอาเซียน เราสามารถเชิญประเทศต่างๆ ที่เป็นคู่เจรจาให้ส่งผู้แทนระดับสูงหรือระดับผู้นำรัฐบาลมาพูดคุยกันได้
คือเป็นประเทศกำลังพัฒนาในโลกที่ 3 ซึ่งมีขนาดเศรษฐกิจก็ไม่ได้ใหญ่ แต่สามารถเป็นที่รวมของผู้นำของประเทศมหาอำนาจต่างๆ ได้ ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่ญี่ปุ่นเองเขาบอกว่าเขายังทำไมได้เลย อยู่ๆ จะจัดประชุมแล้วก็ไปเชิญผู้นำประเทศมหาอำนาจต่างๆให้มาประชุมกันอยู่เรื่อยๆ เป็นประจำ แต่อาซียนทำได้ อันนี้เป็นบทบาทซึ่งน่าจะเป็นผลพวงต่อเนื่องมาจากยุคสงครามเย็นอันนี้เป็นบทบาทซึ่งหลายๆ คนมองข้ามไป” ศ.ดร.นภดล กล่าว
หลังปี 2543 เป็นต้นมา จีนเริ่มพัฒนาประเทศจนสามารถแข่งขันกับสหรัฐอเมริกาได้ แต่ในทางกลับกันอาเซียนกลับมีบทบาทร่วมกันน้อยลง ศ.ดร.นภดล ตั้งข้อสังเกตว่า ในยุคนี้ชาติมหาอำนาจเลือกเจรจากับชาติในอาเซียนเป็นรายประเทศมากกว่าจะพูดคุยในนามอาเซียน ขณะที่อาเซียนเองก็ไม่สามารถหาฉันทามติได้แม้จะเป็นเรื่องที่สำคัญและเกี่ยวข้องกับอาเซียนเอง เช่น ประเด็นทะเลจีนใต้ ประเด็นแม่น้ำโขง ประเด็นการรัฐประหารในเมียนมา เป็นต้น
ขณะที่ ศ.ดร.กิตติ ประเสริฐสุข อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ และที่ปรึกษาศูนย์ญี่ปุ่นศึกษา สถาบันเอเชียตะวันออกศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวถึง 3 ชาติอาเซียนที่เป็นเจ้าภาพจัดประชุมใหญ่ในปี 2565 คือไทย (APEC) อินโดนีเซีย (G20) และกัมพูชา (อาเซียน) ทั้ง 3 ประเทศ แม้จะอยู่ในอาเซียนเหมือนกัน แต่บทบาทที่ออกมาคือต่างคนต่างเล่นโดยมุ่งเน้นผลประโยชน์ของประเทศตนเอง โดยเฉพาะไทยและอินโดนีเซีย ส่วนกัมพูชาเนื่องจากเป็นเจ้าภาพประชุมอาเซียนจึงยังอยู่ในกรอบของอาเซียน
ซึ่งที่ผ่านมาแม้จะย้ำกันเสมอว่า “อาเซียนเป็นศูนย์กลาง(ASEAN Centrality)” แต่หากขาดการประสานความร่วมมือกันการผลักดันวาระร่วมให้โลกเห็นว่าอาเซียนให้ความสำคัญกับเรื่องใดอย่างแข็งชัดจึงยังไม่เห็นภาพชัด เช่น กรณีของประเทศไทยที่ผลักดันเศรษฐกิจ BCG (Bio Economy - เศรษฐกิจชีวภาพ, Circular Economy - เศรษฐกิจหมุนเวียน, Green Economy - เศรษฐกิจเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม) คำถามคือแล้วอาเซียนรับ BCG แบบเดียวกันไทยได้หรือไม่? จึงสร้างฉันทามติและพันธมิตรด้าน BCG ในอาเซียนได้ไม่มากพอ
“แน่นอนว่าหลายชาติยังไม่พร้อม ชาติที่อาจจะยังพัฒนาน้อยก็ยังไม่พร้อม แต่ว่ามันมีหลายชาติที่พร้อม ถ้าเรา Coordinate (ประสานความร่วมมือ) และผลักดันไปด้วยกันในนามของอาเซียน อันนี้ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่ได้ไปคุยหรือ Coordinate กับชาติอาเซียนบ้างเลยนะ แต่ผมคิดว่ามันน่าจะมีความแข็งขันมากกว่านี้ เพื่อผลักดัน Agenda (วาระ) ของอาเซียนในเรื่องต่างๆไม่เฉพาะ BCG อันนี้เป็นเพียงตัวอย่าง” ศ.ดร.กิตติ กล่าว
ดร.กิตติ กล่าวต่อไปว่า คำว่า อาเซียนเป็นศูนย์กลาง (ASEAN Centrality) เกิดขึ้นมาได้ประมาณ 16-17 ปีแล้ว เมื่อมีการจัดประชุม East Asia Summit ซึ่งเป็นการต่อยอดมาจากอาเซียน +3 (จีน เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น) อาเซียน +6(เพิ่มอินเดีย ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์) และ +8 (ดึงสหรัฐฯ กับรัสเซียมาด้วย) แต่ด้วยความที่อาเซียนหวั่นเกรงจะถูกกลบบทบาทโดยชาติมหาอำนาจต่างๆ ที่มีศักยภาพสูงกว่าทั้งทางทหารและเศรษฐกิจ จึงเริ่มย้ำเรื่องอาเซียนเป็นศูนย์กลางตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา หรือก็คือคำคำนี้มาจากความรู้สึกไม่มั่นคง(Insecure) ของอาเซียนเอง
อีกหนึ่งเหตุการณ์ที่ชี้ว่าชาติสมาชิกอาเซียนไม่ได้พยายามผลักดันบทบาทอาเซียนให้ชัด คือในปี 2561 ที่มีการพบกันระหว่าง โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ (ในขณะนั้น)กับ คิม จอง อึน ประธานาธิบดีเกาหลีเหนือ ที่ประเทศสิงคโปร์ ซึ่งพบว่า สิงคโปร์เน้นย้ำว่าผู้นำของทั้ง 2 ชาติ เลือกสิงคโปร์เป็นสถานที่เจรจา แต่ไม่มีการกล่าวอ้างใดๆ ถึงอาเซียน โดยสิ่งที่อยากเห็นคือเมื่อชาติในอาเซียนจะแสดงบทบาทขอให้เน้นย้ำถึงการเป็นสมาชิกอาเซียน
ด้าน รศ.ดร.ดุลยภาค ปรีชารัชช รองผู้อำนวยสถาบันเอเชียตะวันออกศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่าในเดือน พ.ย. 2565 มีทั้งการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนที่กัมพูชา ประชุม G20 ที่อินโดนีเซีย และประชุม APEC ที่ประเทศไทย หากพิจารณาเฉพาะชาติในอาเซียนหรือเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อินโดนีเซีย เป็นประเทศที่แสดงบทบาทได้โดดเด่น เนื่องจาก 1.ร่วมประชุมครบทั้ง 3 งาน เนื่องจากอินโดนีเซียเป็นชาติเดียวในอาเซียนที่เป็นสมาชิก G20 2.วิสัยทัศน์ของผู้นำ นั่นคือ โจโก วิโดโด ประธานาธิบดีคนปัจจุบัน
“น่าจะเป็นครั้งที่โดดเด่นมากที่อินโดนีเซียประกาศแผนวิสัยทัศน์ยุทธศาสตร์ที่เรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า Global Maritime Fulcrum หรือแปลเป็นภาษาไทยว่า ยุทธศาสตร์แกนสมุทรโลก นั่นก็คือเปรียบให้อินโดนีเซียเป็นศูนย์กลางของทั้งมหาสมุทรอินเดียและแปซิฟิก ก็คือเป็นแกนกลางหลักเหมือนกันในสถาปัตยกรรมของอินโด-แปซิฟิก แล้วก็มีการกำหนด Boundaries (ขอบเขต) โดยคร่าวๆ ด้วยว่าอาณาบริเวณที่อินโดนีเซียน่าจะทำ Power Projection (การฉายภาพแห่งอำนาจ) ว่ามันควรจะแผ่ไปถึงไหนบ้าง
ซึ่งมันก็ทับๆ กับ Concept (แนวคิด) เดิมที่เป็น Concept เรื่องเขตแดน-ดินแดนของอินโดนีเซีย ที่เรียกว่านูสันตารา (Nusantara) มันก็เป็นชื่อ Concept ในเชิงดินแดน มหารัฐที่คุมมหาสมุทรที่ยิ่งใหญ่ มันก็ทับกัน แล้วอินโดนีเซียก็ใช้ตรงนี้ที่เป็นยุทธศาสตร์ชาติ วิสัยทัศน์ยุทธศาสตร์ทาง Geopolitics (ภูมิรัฐศาสตร์) ไปผลกักเรื่อง ASEAN Centrality ซึ่งคำนี้ก็มีมานานพอสมควรแล้ว แต่เราก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าผลงานของรัฐบาลอินโดนีเซีย ก็ผลักดันให้ชาติสมาชิกอาเซียนจำนวนไม่ใช่น้อยเลยน้อมรับในเรื่องนี้” รศ.ดร.ดุลยภาค ระบุ
จากบทบาทที่โดดเด่นข้างต้น ทำให้ในการประชุมอาเซียนประจำปี 2566 ซึ่งอินโดนีเซียจะเป็นเจ้าภาพตามวาระเวียนของการเป็นประธานอาเซียน น่าจะมีแรงกดดันไม่น้อยไปถึงรัฐบาลทหารในเมียนมา ซึ่งในการประชุมอาเซียนครั้งล่าสุดที่เพิ่งผ่านพ้นไป ผู้นำอินโดนีเซียก็แสดงท่าทีชัดเจนว่าผิดหวังที่รัฐบาลทหารในเมียนมาไม่สามารถดำเนินการตามฉันทามติ 5 ข้อของอาเซียนได้ อีกทั้งพยายามกีดกันไม่ให้ผู้แทนรัฐบาลทหารเมียนมาร่วมประชุมด้วย
รศ.ดร.ดุลยภาค กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า จากข้อมูลที่ทราบ รัฐบาลชุดปัจจุบันของอินโดนีเซียค่อนข้างเห็นใจฝ่ายต่อต้านรัฐบาลทหารเมียนมา ดังนั้น จึงต้องจับตามองว่าหลังจากนี้จะเป็นอย่างไร แต่อีกด้านหนึ่ง ผู้นำรัฐบาลทหารเมียนมาอย่างมิน อ่อง หล่าย ก็ประกาศว่า หากในปี 2566 สถานการณ์ทางการเมืองสงบและสามารถเจรจาสันติภาพกับฝ่ายต่อต้านได้ก็จะจัดให้มีการเลือกตั้งอีกครั้ง ซึ่งก็อาจจะช่วยผ่อนคลายแรงกดดันจากอินโดนีเซียได้ แต่ก็ต้องดูว่าเลือกตั้งด้วยระบบใดและจะมีกลุ่มใดร่วมเจรจาสันติภาพบ้าง!!!
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี