จากเหตุการณ์เลวร้ายอย่างกลาดยิงได้สร้างความเศร้าใจแก่ประชาชนคนไทยเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นกราดยิงโคราช ที่ทหารคลั่งไล่ยิงผู้บริสุทธิ์กลางห้างสรรพสินค้าเทอร์มินอล 21 กลางเมืองโคราช ซึ่งเป็นโศกนาฎกรรมสุดสะเทือนใจของใครหลายๆ คน ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 8 ก.พ. 63 จ.ส.อ.จักรพันธ์ ถมมา อายุ 32 ปี ทหารหน่วยกองพันสรรพาวุธกระสุนที่ 22 ค่ายสุรธรรมพิทักษ์ จ.นครราชสีมา ได้ใช้อาวุธสงครามไล่กราดยิงประชาชน ต่อเนื่องไปจนถึงช่วงเช้าวันที่ 9 ก.พ.63 จ.ส.อ. จักรพันธ์ จึงถูกเจ้าหน้าที่วิสามัญเสียชีวิตบริเวณชั้นล่างของห้าง เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้มีผู้เสียชีวิตรวมทั้งสิ้น 31 ราย (รวมคนร้าย) และบาดเจ็บอีก 58 ราย
ผ่านไป 2 ปี เหตุการณ์แบบเดียวกันได้กลับมาสร้างความตกตะลึงให้กับคนไทยอีกครั้ง เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2565 ส.ต.อ.ปัญญา คำราบ เคยรับราชการอยู่ที่ สภ.นาวัง จ.หนองบัวลำภู ก่อนถูกไล่ออกจากราชการจากพฤติการณ์เกี่ยวข้องกับยาเสพติด บุกเดี่ยวกราดยิงในศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก อบต.อุทัยสวรรค์ จ.หนองบัวลำภู ทำให้เด็กที่ไร้เดียงสาต้องสังเวยชีวิตและบาดเจ็บเกือบ 50 ราย ก่อนยิงตัวตายพร้อมลูกและภรรยาในเวลาต่อมา สาเหตุเพราะเกิดจากความเครียดและทะเราะกับภรรยา จึงก่อเหตุรุนแรงเช่นนี้ขึ้น
นายปรวัฒน์ สมทบสุข หรือเจมส์ นักศึกษาชั้นปีที่ 4 สาขาวิชาบรอดคาสติงและสื่อสตรีมมิง คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา ให้ความคิดเห็นเรื่องนี้ว่า เหตุกราดยิงที่เกิดขึ้นส่วนหนึ่งอาจเกิดจากความเครียดหรือเกิดจากความโกรธแค้น ประกอบกับการเข้าถึงอาวุธปืนและมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองก็ทำได้ง่ายๆ เมื่อเจอความกดดันจากโลกภายนอกในแต่ละวันส่งผลกระทบจิตใจก่อให้เกิดการกดดันตัวเองจึงกลายเป็นความเครียด บวกกับการเสนอข่าวของสื่อที่มีแต่ข่าวอาชญากรรมความรุนแรงที่ไม่ใช่แค่ข่าวการกราดยิง แต่เป็นข่าวสังหารคนในครอบครัว หรือข่าวจ้างวานฆ่า รวมไปถึงข่าวการฆ่าตัวตายก็ตาม ทุกการนำเสนอล้วนเป็นตัวกระตุ้นให้ก่อเหตุได้
จากที่ผมหาข้อมูลพบว่าเหตุกราดยิงที่ผ่านมาไม่ว่าจะกราดยิงโคราช จ่าทหารยิงเพื่อนร่วมงานภายในกรมยุทธศึกษาทหารบก หรือกราดยิงหนองบัวลำภู ล้วนเกิดจากคนใส่เครื่องแบบทหาร ตำรวจ ซึ่งเป็นอาชีพที่ครอบครองอาวุธปืนได้โดยถูกกฎหมาย ดังนั้นจึงอยากให้หน่วยงานมีการตรวจสอบการคัดเลือกการสอบเข้าทหารและตำรวจอย่างเข้มงวด ไม่ให้เกิดการใช้เส้นหรือใต้โต๊ะเพื่อรับคนของตัวเอง เพราะบางคนประวัติก็ไม่เหมาะที่จะรับราชการ รัฐควรสร้างบ้านที่มีแต่ความปลอดภัยแก่ประชาชน และการปกป้องที่ดีควรที่จะแสดงความจริงใจในการปฏิบัติหน้าที่ให้ดีขึ้นกว่าเดิม เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยแบบที่ผ่านมา
นายปรวัฒน์ กล่าวต่อไปว่า สำหรับเหตุกราดยิงในไทยที่เกิดขึ้นถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับต่างประเทศ แต่ก็ไม่ควรจะเกิดขึ้น เราจึงต้องย้อนกลับไปดูระบบการจัดการภายในของอาชีพผู้ก่อเหตุว่าเพราะอะไรทำไมถึงทำให้คนๆนึงกดดันจนต้องออกมาทำอะไรแบบนี้ เพราะผมคิดว่ามันคือการกระทำที่ไม่ได้เกิดจากจิตใต้สำนึกจึงทำให้เป็นเรื่องยากที่สังคมจะยอมรับและให้อภัยได้
ถึงแม้ว่าการทำงานราชการจะมีความกดดันสูงมาก แต่ก็เป็นเหตุผลเล็กๆที่จะตัดสินใจสังหารหมู่ ที่สำคัญราชการยังคงเป็นอาชีพที่หลายคนใฝ่ฝันด้วยสวัสดิการที่ดีกว่า ก็อยากให้หน่วยงานคัดเลือกคนเข้าทำงานจากความสามารถจริงๆ เราก็จะได้เพชรแท้อย่างแท้จริง
“จากโศกนาฏกรรมการสังหารหมู่ที่เกิดขึ้น ควรเป็นเรื่องที่คนไทยต้องเรียนรู้ เพราะพฤติกรรมการก่อเหตุมีความคล้ายคลึงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในต่างประเทศหลายเหตุการณ์ เราสามารถนำมาใช้เป็นกรณีศึกษาได้ เพราะในอนาคตไม่มีใครสามารถคาดการณ์ได้ว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีกหรือไม่” นายปรวัฒน์ สมทบสุข กล่าวทิ้งท้าย.-008