“ไทยแลนด์โอนลี่ (Thailand Only)” เป็นคำที่ถูกกล่าวถึงบ่อยๆ เมื่อมีผู้พยายามทำความเข้าใจกับการเมือง เศรษฐกิจและสังคมไทย ซึ่งหลายครั้งมักจะแตกต่างไปจากวิชาความรู้ที่ได้ร่ำเรียนกันมาโดยเฉพาะในระดับมหาวิทยาลัย เมื่อหลักคิดซึ่งแม้จะมีต้นกำเนิดจากโลกตะวันตกแต่สามารถใช้อธิบายปรากฏการณ์ความเป็นไปได้ในหลายประเทศจนถูกมองอย่างกลายๆ ว่าเป็นองค์ความรู้สากล (เช่น ทฤษฎีการเมือง เศรษฐกิจและสังคมรุปแบบต่างๆ) กลับไม่ค่อยจะสามารถอธิบายความเป็นไปภายในประเทศไทยได้อย่างลงล็อกสมบูรณ์นัก
ในการบรรยายหัวข้อ “อ่านประวัติศาสตร์โลก อ่านอนาคตสังคมไทย” จัดโดยภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร ร่วมกับ แผนงานคนไทย 4.0 เมื่อช่วงกลางเดือนธ.ค. 2565 ผู้บรรยายคือ ศ.ดร.ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ อดีตคณบดีคณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ฉายภาพสังคมไทยเริ่มตั้งแต่การปฏิรูปประเทศตามรูปแบบของรัฐสมัยใหม่ ซึ่งเกิดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ หรือในบริบทโลกคือครึ่งหลังของศตวรรษที่ 19 (ปี 2343-2442) โดยเวลานั้น โลกตะวันตกเข้าสู่เศรษฐกิจแบบทุนนิยมแล้ว
เช่น ที่ดินถูกเปลี่ยนการใช้ประโยชน์จากภาคเกษตรเป็นภาคอุตสาหกรรม และคนก็เปลี่ยนสถานะจากไพร่หรือทาสติดที่ดิน (Serf) กลายเป็นแรงงานในโรงงาน แต่การที่ไทยรอดพ้นจากการตกเป็นอาณานิคมของชาติตะวันตก จึงไม่ถูกใช้กำลังเพื่อเปลี่ยนแปลงโครงสร้าง นั่นทำให้แม้จะมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตยในปี 2475 ซึ่งเศรษฐกิจมีความเป็นทุนนิยมมากขึ้น แต่วิธีคิดแบบดั้งเดิมก็ยังคงหลงเหลืออยู่ จนเป็น “ทุนนิยมแบบไทยๆ” ที่นักวิชาการงุนงงว่าไม่เหมือนที่ใดในโลกที่เคยศึกษามา
ข้อแตกต่างที่สำคัญประการหนึ่งคือคำว่า “กระฎุมพี (Bourgeois)” ซึ่งเป็นชนชั้นที่มาพร้อมกับระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม ในยุโรปคำนี้หมายถึงชนชั้นกลางซึ่งประกอบอาชีพต่างๆในเมือง แต่ในไทยหมายถึงชนชั้นที่มีอาชีพและความเป็นอยู่ดีกว่าไพร่ไม่มากนัก โดยในยุคที่คนไทยรู้จักคำคำนี้ใหม่ๆ กระฎุมพีเป็นคำที่มีนัยเชิงเหยียดหรือดูถูก ดังที่คนยุคนี้นมักมีคำพูดประมาณว่าอย่าทำตัวเยี่ยงไพร่กระฎุมพี กระทั่งในเวลาต่อมาคำว่ากระฎุมพีในสังคมไทยจึงมีความหมายใกล้เคียงคำว่าชนชั้นกลางมากขึ้น
ในบริบทของไทย กระฎุมพีกลุ่มแรกๆ คือสามัญชน (ลูกหลานไพร่) ที่ได้รับการศึกษาแบบสมัยใหม่แล้วทำงานเป็นข้าราชการประจำ หรือจะเรียก “กระฎุมพีราชการ” ก็ได้ คนกลุ่มนี้มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนระบบราชการสมัยใหม่มาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 จนถึงปัจจุบัน โดยเฉพาะหลังเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นต้นมา ซึ่งระยะหลังๆ มีคำว่า “เทคโนแครต (Technocrat)” มาใช้เรียกคนกลุ่มนี้ เช่น ข้าราชการในกระทรวงการคลังกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เป็นผู้วางนโยบายด้านเศรษฐกิจแล้วเสนอกับฝ่ายการเมืองที่เข้ามาเป็นรัฐบาล
“กลุ่มหนึ่งที่ในยุโรปมีแต่เราไม่มีคือชนชั้นกลาง ชนชั้นกลางไม่ใช่แค่ว่ามีพ่อค้า ก็มีพ่อค้าเยอะ พ่อค้าข้าว ค้าโน่นค้านี่เต็มไปหมดตามหัวเมือง อันนั้นเป็นพ่อค้าจริงแต่ไม่ใช่ชนชั้นกลาง ชนชั้นกลางต้องมีจุดร่วมของผลประโยชน์ที่รู้โดยสำนึกของคนที่มีกิจวัตรความสัมพันธ์ในการผลิตแบบเดียวกันในระนาบเดียวกันเขาก็จะรู้ว่าผลประโยชน์ นโยบาย จุดหมายของเขาคืออะไร เพราะฉะนั้นชนชั้นกลางแบบนี้มันจึงเป็นชนชั้นที่พูดง่ายๆ คือรับใช้ตัวเอง” อาจารย์ธเนศ กล่าว
อีกสิ่งหนึ่งที่โลกตะวันตกเปลี่ยนไปพร้อมกับการเข้าสู่เศรษฐกิจแบบทุนนิยมคือ “บทบาทของศาสนา” โดย ศาสนาคริสต์ที่เกิดนิกายโปรเตสแตนท์แยกออกมาจากนิกายโรมันคาทอลิก ซึ่งผู้สอนหรือเผยแผ่ศาสนาของนิกายโปรเตสแตนต์จะมีวิถีชีวิตแบบฆราวาสเพราะไม่ได้เป็นนักบวชแบบนิกายโรมันคาทอลิก ทั้งนี้ แม้คำสอนของศาสนาจะเป็นสิ่งที่ดี แต่อีกมุมหนึ่งหลักคิดของศาสนาก็ทำให้เชื่อในเรื่องบุญ-กรรม ซึ่งเป็นเครื่องพันธนาการต่อความคิดสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆ และความกล้าเปลี่ยนแปลง
รวมถึง “สิทธิที่ดิน” ปัจจัยการผลิตที่สำคัญของระบบทุนนิยมและทำให้เกิดชนชั้นกลาง ไทยก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงมากนักเมื่อเทียบกับตะวันตก กล่าวคือ ในยุคหลังเลิกระบบไพร่-ทาสแม้รัฐไทยหรือสยามในเวลานั้นจะอนุญาตให้ประชาชนหักร้างถางพง บุกเบิกพื้นที่ทำกินใหม่ๆ ได้ แต่ต้องรอกันอีกนานพอสมควรจะระบบรับรองกรรมสิทธิ์ที่ดินของไทยจะเป็นรูปเป็นร่างขึ้น และแม้จะมีระบบกรรมสิทธิ์ที่ดินแล้วแต่การขอรับรองเพื่อครอบครองและใช้ประโยชน์สำหรับคนทั่วไป (ที่ไม่ใช่รัฐหรือผู้มีอำนาจหรือชนชั้นนำ) ก็ยังทำได้ยากมาจนถึงปัจจุบัน
แม้กระทั่ง “บทบาทของรัฐ” ก็ไม่ได้เร่งรัดให้เศรษฐกิจไทยเข้าสู่ระบบทุนนิยม เช่น ในยุคที่ชาติตะวันตกล่าอาณานิคม แต่ความสัมพันธ์กับไทยจะเป็นการเข้ามาในนามบริษัทเพื่อขอสัมปทานประกอบกิจการมากกว่า (อาทิ อุตสาหกรรมป่าไม้) อย่างไรก็ตาม บทบาทของชนชั้นปกครองไทยโดยทั่วไปเป็นเพียงการแก้ปัญหาข้อพิพาทในพื้นที่โดยยึดหลักกฎหมายเท่านั้น และการใช้กำลังปราบปรามก็ทำเฉพาะกลุ่มที่เป็นอันตรายต่อความมั่นคงในส่วนกลาง (อาทิ กบฏเงี้ยว) แต่ไม่ได้ไปบีบคั้นให้คนเล็กคนน้อยหมดสิ้นหนทางจนต้องเข้าสู่ภาคอุตสาหกรรมแต่อย่างใด
“การพัฒนาของเราเข้าสู่สมัยใหม่ สถาบันอื่นๆ ก็ทำไปตามแบบไทย จริงๆ ก็แบบฝรั่งแต่ทำในนามไทย ระบบทุนก็ทำในแบบไทย ก็คือไม่ไปทำให้ชนชั้นพื้นฐาน คือพวกชาวนาหรือพวกทาสที่หลุดมาเป็นไท ไม่มีทางทำมาหากิน ต้องไปขายตัวขายแรงงานอยู่ในนั้น (เมืองหรือโรงงานอุตสาหกรรม) แต่กลับเปิดให้พวกนี้ไปจับจองที่ ไปเช่าที่ หรือหาช่องทางไปทำกับใครที่มีที่ต่างๆ ให้มีที่ทำมาหากินเล็กๆ น้อยๆ อยู่ เกิดกลุ่มที่เรียกว่าเป็นชนชั้นผู้ผลิตน้อย คือมันสวนทางกับการเกิดระบบทุนในตะวันตก
ระบบทุนตะวันตกมันต้องทำลายผู้ผลิตน้อยลงเพื่อให้ทุนอยู่ได้ รัฐไทยคือรัฐสมบูรณาญาสิทธิราชย์สยามรักษาผู้ผลิตน้อย คือแต่ก่อนไม่มีผู้ผลิตน้อยด้วย ก็เป็นไพร่เป็นทาส ไม่มีปัจจัยการผลิต พอหลุดออกจากระบบไพร่-ทาสก็ยังแถมให้ไปทำมาหากินได้ ไปหาที่เล็กๆ น้อยๆ ได้ ประมาณนี้ แล้วก็ทำการผลิตแบบกระจัดกระจายกันไป ก็อยู่ได้ เพราะฉะนั้นสรุปแล้วทุนที่จะมาลงจริงๆ แล้วขยายตัวไปมันไปไม่รอด เพราะเมืองมันไม่ได้ขยาย” อาจารย์ธเนศ ระบุ
แต่การที่เศรษฐกิจไทยไม่ถูกทำให้กลายเป็นทุนนิยมอย่างเต็มรูปแบบ ก็ทำให้การที่ทุนไทยกลุ่มที่ร่ำรวยขึ้นได้นั้นมักมาจากการทำมาหากินกับกิจการของรัฐและได้รับการอุปถัมภ์จากผู้มีอำนาจ (Patronage CapitalistSystem) โดยในขณะที่ระบบทุนนิยมจริงๆนั้นต้องการให้การบังคับใช้กฎระเบียบต่างๆที่เกี่ยวข้องกับการผลิตเป็นระนาบเดียวเท่ากัน แต่ระบบทุนนิยมแบบไทยๆ การบังคับใช้กฎระเบียบมีหลายมาตรฐานขึ้นอยู่กับพื้นที่และสายสัมพันธ์ทางอำนาจ ซึ่งโครงสร้างที่เป็นอยู่นี้ยังทำให้บรรดาทุนใหญ่ในไทยไม่ล้มง่ายๆ แม้จะเกิดวิกฤตเศรษฐกิจก็ตาม
อาจารย์ธเนศ กล่าวสรุปว่า เศรษฐกิจไทยไม่ได้เป็นแบบศักดินาอีกต่อไป โดยเฉพาะหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี 2475 เป็นต้นมา แต่การเปลี่ยนไปสู่เศรษฐกิจแบบทุนนิยมนั้นก็เกิดขึ้นอย่างจำกัด ขณะที่การถือครองที่ดินส่วนใหญ่กระจุกตัวอยู่กับรัฐหรือไม่ก็เป็นบุคคลที่มีฐานะร่ำรวย ซึ่งในต่างประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา ไม่แน่ใจว่าเหมือนกับประเทศไทยหรือไม่ ที่หลายกระทรวงมีที่ดินในครอบครองจำนวนมาก
ซึ่งการที่ระบบกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สิน (Private Property)ไม่เข้มแข็ง ก็ทำให้ระบบทุนนิยมในไทยไม่เข้มแข็งด้วย เพราะเมื่อคนคนหนึ่งต้องการเป็นผู้ประกอบการก็ต้องอาศัยทรัพย์สินที่มีไปค้ำประกันเพื่อหากู้เงินมาลงทุน แต่ในความเป็นจริงคือคนจำนวนมากไม่มีกรรมสิทธิ์ในการครอบครองที่ดิน มีเพียงการได้รับอนุญาตให้ใช้ประโยชน์เท่านั้นกรณีทำมาหากินบนที่ดินของรัฐ จึงกลายเป็นข้อจำกัด
“คนที่คิดแบบระบบทุนเมื่อมาเจอกับสภาพเป็นจริงของระบบเศรษฐกิจ-การเมืองไทย คือมันต้องเป็นนักไทยศึกษาถึงจะทำอยู่ได้ในเมืองไทย ก็คือรู้ว่าต้องคิดอย่างไร คือต้องเลิกคิดแบบทฤษฎีที่คุณเรียนมาหรือระบบกฎหมายแบบที่ฝรั่งเขาใช้กัน ต้องเลิกมันให้หมดแล้วก็ใช้แบบไทยๆ คือเขาทำอย่างไรเราก็ทำอย่างนั้น รักษาตัวไว้ให้รอดเท่านั้นเองมันก็อยู่ได้ ถ้าอยู่ไม่ได้ก็กลับบ้าน ก็เอาทุนกลับไป ก็จบไปแค่นั้น แต่รวมๆ แล้วคือเราจึงพบว่า พัฒนาการทุนที่นำไปสู่นวัตกรรมเทคโนโลยีต่างๆ เรายังไม่เกิดเลยในพัฒนาการเศรษฐกิจไทย 50 ปีที่ผ่านมา
มันไม่เห็นเลยนะ เราไม่ได้คิดอะไรได้เลยใช่ไหม? แม้กระทั่งนอตสกรูที่ใส่เข้าไปให้มันเป็นแบบไม่ขัดกันแต่ให้มันลื่นอย่างนั้นเราก็ทำไม่ได้ โรงงานไทยก็ทำไมได้ มันไม่มีฝีมือ เพราะมันต้องมีคนทำเครื่องมือที่ Precision Tool (แม่นยำ) ระบบโรงงานเป็นระบบที่ทำด้วยช่างฝีมือ ระบบทุนมันไม่ได้ทำด้วยระบบแบบคิดฝันๆ เท่านั้นเองว่าเอาเงินมา 5 ล้าน ลงไปแล้วก็สร้างทุนได้เลยอะไรต่างๆ อันนั้นมันคิดเล่นๆ ไม่ได้ทำจริง” อาจารย์ธเนศ ฝากประเด็นชวนคิด
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี