ย้อนไปเมื่อวันที่ 22 พ.ค. 2565 ซึ่งมี “การเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.)” ในครั้งนั้นต้องบอกว่า “แลนด์สไลด์”กับชัยชนะของ ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ที่ได้คะแนนสนับสนุนจากประชาชนคนกรุงไปถึง 1.3 ล้านเสียง ถล่มทลายชนิดที่นำคะแนนของผู้ที่ได้อันดับ 2-5 รวมกันก็ยังน้อยกว่า สะท้อน “ความหวัง” ที่อยากเห็นการเปลี่ยนแปลงในหลายด้านของ กทม. ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ “เศรษฐกิจ-ปากท้อง” เรื่องใกล้ตัวที่ประชาชนมักเรียกร้องให้รัฐบาลทั้งส่วนกลางและส่วนท้องถิ่นเข้ามาแก้ไขบรรเทาผลกระทบ
“หาบเร่แผงลอย” เป็นอีกกลุ่มอาชีพที่ต้องการความชัดเจนด้านนโยบาย เพราะก่อนหน้านั้นด้านหนึ่ง กทม. มีนโยบายยกเลิกจุดผ่อนผันเกือบทั้งหมดเพื่อคืนพื้นที่ทางเท้าให้ผู้สัญจร ท่ามกลางเสียงสะท้อนของผู้ค้าจำนวนมากว่าต้องสูญเสียอาชีพ เพราะจะไปพื้นที่เอกชนที่ทำเลดีก็สู้ราคาค่าเช่าไม่ไหว แต่จะไปพื้นที่ทำเลไม่ดีอยู่ในซอกหลืบก็ขายไม่ได้อีก แต่อีกด้านหนึ่ง หาบเร่แผงลอยโดยเฉพาะกลุ่ม “สตรีทฟู้ด (Street Food)” หรืออาหารริมทาง ได้รับคำยกย่องจากสื่อต่างประเทศว่าดีที่สุดในโลก เป็นเสน่ห์ดึงดูดนักท่องเที่ยวนานาชาติให้มาลิ้มลอง
ข้อมูลจาก www.chadchart.com เว็บไซต์ทางการของ ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ (ณ วันที่ 23 พ.ค. 2565) กล่าวถึงนโยบายที่เกี่ยวข้องกับหาบเร่แผงลอยจำนวน 11 นโยบาย ได้แก่ 1.ดึงอัตลักษณ์ สร้างเศรษฐกิจ 50 ย่านทั่วกรุงเทพฯ 2.ส่งเสริมให้ผู้ค้าแผงลอยมีความมั่นคงในการประกอบอาชีพ 3.สร้างการมีส่วนร่วมของผู้ค้าแผงลอย ภาคประชาชน และเอกชนในพื้นที่ ช่วยดูแลพื้นที่การค้า 4.ขึ้นทะเบียนผู้ค้าแผงลอย พร้อมติดตามการดำเนินการ
5.เตรียมโครงสร้างพื้นฐานที่เหมาะสมรองรับพื้นที่การค้าหาบเร่แผงลอย 6.หาพื้นที่ของเอกชนหรือหน่วยงานราชการที่สามารถจัดเป็นพื้นที่ขายของสำหรับหาบเร่หรือศูนย์อาหาร (Hawker Center) 7.ทางเท้าเดิมโล่ง สะอาด เป็นระเบียบ 8.ตลาดนัดชุมชน ตลาดนัดเขต 9.ใบอนุญาตตามประเภทกิจกรรม Function-based License 10.ผู้ว่าฯ เที่ยงคืน สนับสนุนการใช้ชีวิตและเศรษฐกิจกลางคืน และ 11.พัฒนาโอกาสและศักยภาพในตลาด กทม. คำถามคือ “ณ วันนี้ นโยบายที่กล่าวมาคืบหน้าไปเพียงใด?” หลังผ่านไปแล้วกว่า 7 เดือนหลัง กทม. ได้พ่อเมืองคนใหม่
เรวัตร ชอบธรรม ประธานเครือข่ายแผงลอยไทยเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน กล่าวว่า เป็นเวลากว่า 7 เดือนแล้วที่ ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ดำรงตำแหน่งผู้ว่าฯ กทม. แต่นโยบายที่เคยหาเสียงไว้เกี่ยวกับการดูแลผู้ค้าหาบเร่แผงลอย ยังไม่มีความคืบหน้า เช่น กรณีจุดผ่อนผันที่ถูกยกเลิกไปกว่า 500 จุดช่วงรัฐบาลทหารคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) จนเหลือเพียง 176 จุด ในยุคที่ พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง เป็นผู้ว่าฯ กทม.จนถึงปัจจุบันที่ ชัชชาติ ซึ่งดำรงตำแหน่งต่อจาก พล.ต.อ.อัศวิน ก็ยังไม่มีการอนุมัติพื้นที่เพิ่ม
ขณะเดียวกัน ในพื้นที่ที่ยังได้รับอนุญาตให้ทำการค้า ปัจจุบันเท่าที่ทราบคือผู้ค้าหลายรายยังไม่ได้รับบัตรประจำตัวของผู้ค้าทั้งที่ กทม. เปิดให้ลงทะเบียนไปแล้ว จึงอยากเรียกร้องไปยังผู้ว่าฯ ชัชชาติ และคณะผู้บริหาร กทม. ว่า ควรเร่งรัดพิจารณาเปิดจุดผ่อนผันเพิ่มเติมในพื้นที่ที่มีความพร้อมสามารถตั้งแผงค้าได้แบบจัดระเบียบไม่ให้กีดขวางคนเดินเท้า นอกจากนั้น ในจุดที่อนุญาตอยู่แล้วควรจัดหาสิ่งอำนวยความสะดวกด้วย
เช่น จุดผ่อนผันย่านอ่อนนุช 70 ผู้ค้าลงทุนติดตั้งระบบถังดักไขมัน แต่ยังต้องซื้อน้ำประปาและไฟฟ้าจากภายนอก เรื่องนี้เคยสอบถามไปยังการประปาและการไฟฟ้าฯ ได้รับคำตอบว่าหากทางสำนักงานเขตประสานมาก็สามารถไปติดตั้งระบบน้ำประปา-ไฟฟ้า ได้ทันที จึงอยากให้ทาง กทม. เร่งรัดไปยังทางเขตด้วย โดยจุดดังกล่าวผู้ค้ามีการรวมกลุ่มและพร้อมจ่ายค่าน้ำประปา-ไฟฟ้า ขอเพียงมีการมาติดตั้งเท่านั้น นอกจากนั้นยังมีเรื่องของระเบียบ 16 ข้อ ที่ออกโดย กทม. มาตั้งแต่สมัยผู้ว่าฯอัศวิน ซึ่งเครือข่ายผู้ค้าเรียกร้องให้แก้ไขเพราะไม่สามารถใช้ได้จริงในทางปฏิบัติ
แต่จนถึงปัจจุบันในสมัยผู้ว่าฯ ชัชชาติ ก็ยังไม่มีการขยับในเรื่องนี้ ส่งผลกระทบต่อทั้งผู้ค้าและเจ้าหน้าที่ เช่น เคยมีกรณีผู้ค้าย่านเจริญกรุง ตั้งแผงค้ามานานหลายสิบปี วันหนึ่งที่ดินบริเวณนั้นมีการก่อสร้างคอนโดมิเนียม และทางคอนโดฯ ได้ร้องเรียนว่าทำให้ทัศนียภาพไม่สวยงาม ซึ่งแม้เทศกิจที่ดูแลพื้นที่จะเห็นว่าผู้ค้าตั้งแผงเป็นระเบียบไม่กีดขวางทางเดิน แต่ก็ต้องรื้อย้ายแม้จะเห็นใจก็ตาม เพราะเจ้าหน้าที่รัฐเองก็ต้องทำตามที่กฎหมายกำหนดไว้ หากไม่ทำก็จะมีความผิด ทั้งนี้มีหลายจุดใน กทม. ที่มีความพร้อมในการเปิดให้ค้าขายได้ แต่ยังติดข้อจำกัดที่กฎระเบียบดังกล่าว
เรวัตร กล่าวต่อไปว่า อีกทั้งพื้นที่ค้าขายใน กทม. และในแต่ละเขตมีบริบทไม่เหมือนกัน จึงอยากให้ผู้บริหาร กทม. ลงมาดูพื้นที่จริง อย่าดูแต่เรื่องร้องเรียนบนแอปพลิเคชั่นทราฟฟี่ฟองดูว์ (Traffy Fondue) เพราะคนร้องเรียนก็มีทั้งคนที่ชอบและไม่ชอบหาบเร่แผงลอย ส่วนประเด็นการจัดหาพื้นที่อื่นทดแทนทางเท้า ที่มีแนวคิดมาจากฮอว์คเกอร์ เซ็นเตอร์ (Hawker Center) ในประเทศสิงคโปร์ ซึ่งย้ายผู้ค้าเข้าไปในอาคาร ในทางปฏิบัติก็ไม่สามารถนำมาใช้กับบริบทของประเทศไทยได้ เรื่องนี้พูดกันมาตั้งแต่รัฐบาล คสช. แต่จนปัจจุบันก็ยังทำไม่สำเร็จ
“อย่างพื้นที่สุขุมวิท คุณจะเอาพื้นที่ตรงไหนเข้าไป เขาก็หาไม่ได้เหมือนกันเพราะค่าเช่ามันแพง พื้นที่มันแพงเพราะเป็นของเอกชนที่ไม่สามารถคุมได้เลย เอกชนเขาขึ้นค่าเช่าตามที่เขาต้องการได้ แล้วผลกระทบจากโควิดมันทำให้คนต้องหนีตายกันหมดเลย คนอยู่ไม่ได้ไง ค่าเช่ามันแพง อย่างหลายๆ พื้นที่ ถ้าเราออกไปในบางพื้นที่มันอาจจะมีอยู่แล้วที่เหมือนคล้ายๆ กับฮอว์คเกอร์ คือเขาทำตลาดอยู่แล้ว มันก็จะมีบางพื้นที่อยู่ แต่ถ้าที่เขาขายอยู่ด้านนอกที่มันล้นอยู่แต่เดิมจะให้เขาไปอยู่ตรงไหนพื้นที่มันไม่พอ” นายเรวัตร กล่าว
ด้านนักวิชาการที่ศึกษาความเป็นไปของหาบเร่แผงลอยมาอย่างยาวนาน ศ.ดร.นฤมล นิราทร อาจารย์ คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ฝาก 3 ข้อถึง3 ระดับ ประกอบด้วย 1.กรุงเทพมหานคร ต้องกำหนดให้ชัดเจนว่าตามนโยบายที่ได้ประกาศไว้จะทำอะไรก่อน-หลัง และภายในระยะเวลาเท่าใด เพื่อที่จะทำให้เห็นภาพว่าพื้นที่ใดสามารถอนุญาตให้ค้าขายได้-ไม่ได้ และพื้นที่ที่ไม่สามารถอนุญาตให้ขายได้ กทม. จะทำอย่างไรกับผู้ที่ยังทำการค้าอยู่ อย่างน้อยต้องมีตารางการทำงานที่มองเห็นภาพว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอีก 1-2 ปีข้างหน้า
“ในแต่ละเขตมันไม่เหมือนกัน ในบางเขตอาจจะทำการสำรวจผู้ค้าได้ ในบางเขตอาจจะพูดถึงการหาพื้นที่ให้เขาขายได้ แต่บางเขตยังทำไม่ได้ เพราะฉะนั้นมันก็หมายความว่าไทม์ไลน์เหล่านี้อาจจะไม่ได้เป็นไปทุกเขต แต่หมายความว่าคุณชัชชาติจะต้องกำหนดให้ชัดเจนว่าจะต้องทำแบบนี้ๆ ในภาพใหญ่โดยหลักการจะต้องเอาอย่างนี้มาให้ได้ แล้วแต่ละเขตจะไปทำอะไรก็แล้วแต่ ภายในเวลาทุกๆ 6 เดือนจะต้องมารายงานผลว่า
ทำไปถึงขนาดไหน ทำได้-ไม่ได้เพราะอะไร” อาจารย์นฤมล กล่าว
2.สำนักงานเขต เมื่อรับนโยบายจาก กทม. แล้ว แต่ละเขตก็ต้องวางแนวทางดำเนินการที่กำหนดเงื่อนเวลาไว้ชัดเจน เช่น ในอีก 2 ปีข้างหน้าจะตอบโจทย์อะไรประชาชนบ้าง ซึ่งแนวทางของแต่ละเขตจะแตกต่างกันไปตามบริบทของพื้นที่ เช่น มีชุมชนแออัดหรือการจัดหาพื้นที่ค้าขาย บางจุดอาจเป็นพื้นที่สำนักงาน พื้นที่ตลาดนัด ฯลฯ และ 3.ผู้ค้า จะทำอย่างไร เช่น ในบางเขตที่มีการฟื้นฟูจุดผ่อนผันที่เคยถูกยกเลิกไป ก็มีข้อพิพาทระหว่างผู้ค้ารายเดิมที่มองว่าต้องได้สิทธิ์ก่อนเพราะต่อสู้เรียกร้องมาตั้งแต่ต้น กับรายใหม่ที่มองว่าหากกำหนดเช่นนั้นก็เท่ากับลิดรอนสิทธิ์
ส่วนประเด็นแนวคิดการทำฮอว์คเกอร์ เซ็นเตอร์ ก็ต้องดูบริบทของแต่ละพื้นที่ซึ่งแตกต่างกัน เช่น ในย่านบางรัก หรือย่านเอกมัย-สุขุมวิท มีบางพื้นที่ของเอกชนที่สามารถทำได้ อย่างไรก็ตาม ฮอว์คเกอร์ เซ็นเตอร์ ซึ่งก็คือ “ศูนย์อาหาร” นั้นสามารถตีความได้หลายแบบ โดยในแบบสิงคโปร์ที่สร้างเป็นอาคารก็เป็นรูปแบบหนึ่ง แต่พื้นที่สาธารณะที่ขายอาหารก็เป็นอีกรูปแบบหนึ่ง เช่น ถนนในย่านบางลำพู เพียงแต่เป็นการขายแบบซื้อไปรับประทานที่อื่น ไม่ใช่นั่งรับประทานที่ร้าน
ทั้งนี้ ประเทศสิงคโปร์มีพื้นที่เล็กและประชากรน้อยกว่าเมืองอย่าง กทม. การบริหารจัดการจึงง่ายกว่า แต่การวางรูปแบบพื้นที่นั้น กทม. มีทางเลือกมากกว่าสิงคโปร์ แต่ต้องพูดคุยกันให้ได้ข้อสรุปว่าจุดใดตั้งแผงลอยได้-ไม่ได้ หรือหากจุดไหนตั้งได้จะจำกัดจำนวนกี่แผง โดยไม่จำเป็นต้องมีรูปแบบเดียวทุกพื้นที่ แต่สิ่งสำคัญคือต้องรักษาความสะอาด ไม่ทำให้ชาวบ้านทั่วไปเดือดร้อน มีโครงสร้างพื้นฐานที่สอดคล้องกับการค้าขาย เช่น ระบบน้ำประปา-ไฟฟ้า
“เขาต้องเลิกคิดว่าร่มต้องสีเดียวกัน รถเข็นต้องแบบเดียวกัน คนนั้นขายก๋วยเตี๋ยว คนนี้ขายขนมต้ม จะเป็นรถเข็นแบบเดียวกันได้อย่างไร” อาจารย์นฤมล ฝากทิ้งท้าย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี