แฉอดีตรองนายกฯยุค‘ยิ่งลักษณ์’
เล่นชู้เมียชาวบ้าน
อักษรย่อ‘ย.’/ทนายตั้มเปิดชื่อ9ม.ค.นี้
เผยสามีฟ้องหย่าเมีย-ชู้เป็นคดีแล้ว
ถูกนักการเมืองใหญ่ตามข่มขู่ตลอด
‘สุชาติ’ไขก๊อกพ้นสส.ชลบุรีแล้ว
เปิดชื่อ30สส.จ่อไหลเข้า‘รทสช.’
“ทนายตั้ม”แย้มอักษร“ย.”แอบเป็นชู้กับเมียชาวบ้าน ถึงขั้นข่มขู่คุกคามตัวสามีฝ่ายหญิง“โจ้”เช็คลิสต์อดีตรองนายกฯยุ่งกกเมียชาวบ้าน วาง 8 กรอบซักฟอก คาดต้นเดือนกุมภาพันธ์เปิดเวที มั่นใจรัฐบาลไม่ชิงยุบสภาหนี ด้าน“ชลน่าน” ชี้หากอดีตรองนายกฯ เล่นชู้เป็นคนพท.ต้องตั้งทีมสอบแจงไม่มีหลังไมค์ “ทนายตั้ม”“เสี่ยเฮ้ง” ไขก๊อกสส.ชลบุรี จ่อลาออกพปชร.เช้า 9 มกราคม ก่อนนำทีมแจมเปิดตัว “ประยุทธ์” ร่วม“รทสช.”
ทันทีช่วงเย็น คาดมวลชนร่วมงานไม่ต่ำกว่าหมื่นคน ‘เพื่อไทย’เสียววาบ‘เรืองไกร’ร้อง‘กกต.‘สอบปมติดรูป‘หัวหน้าอุ๊งอิ๊ง’บนป้ายชู8นโยบาย ไร้เงา‘ชลน่าน’เข้าข่ายฝืนพรป.พรรคการเมืองหรือไม่ ซุเปออร์โพลเปิดผลสำรวจคะแนนนิยม เลือกพท.23%/ภท.21%/ปชป.9.9%
หลังจากกรณีที่ นายษิทรา เบี้ยบังเกิด เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชนฯ หรือ “ทนายตั้ม” ได้โพสต์เฟซบุ๊ก เล่าเรื่องราวที่ผู้เสียหายขอคำปรึกษาทางกฎหมายในการฟ้องชู้ หลังพบภรรยาไปถ่ายภาพเปลือยคู่อดีตรองนายกรัฐมนตรี จนเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์อย่างดุเดือดกันอยู่ในโลกออนไลน์อยู่ในขณะนี้นั้น
เมื่อวันที่ 8มกราคม “ทนายตั้ม”ออกมาเผยถึงเรื่องราวที่มาของการเปิดหน้าชนอดีตรัฐมนตรี โดยได้เผยแชตที่มีการอ้างว่า เป็นฝ่ายภรรยาของผู้เสียหายและอดีตรองนายกรัฐมนตรี ซึ่งมีการใช้สรรพนามแทนตัวกันว่า“ผัว-เมีย”อย่างสุดหวาน ต่อมา ทนายตั้ม เผยคำใบ้ลงในไอจีสตอรี่ เป็นคำใบ้ตัวอักษร ย.ทำให้มีการเชื่อมโยงตัวอักษรย่อนี้ จะเกี่ยวข้องกับเรื่องราวที่ทนายตั้มเปิดเผยมาก่อนหรือไม่ เพราะเวลาที่โพสต์ตัวอักษร ย.เป็นการโพสต์หลังจากเปิดเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างอดีตรองนายกรัฐมนตรี กับหญิงสาวออกมา
เปิดแชทอดีตรองนายกฯกับเมียชาวบ้าน
นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ“ทนายตั้ม”ยังโพสต์ในเพจ“ษิทรา เบี้ยบังเกิด เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชนฯ”เป็นภาพแชทไลน์ ซึ่งเป็นกรณีต่อเนื่องเกี่ยวกับการที่มีสามีเข้ามาปรึกษาหลังพบภาพภรรยาเป็นชู้กับอดีตรองนายกรัฐมนตรี พร้อมระบุข้อความว่า“คดีนี้มาปรึกษาผมตั้งแต่ปีที่แล้ว ผมก็ทำเรื่องฟ้องหย่าภรรยา ฟ้องชู้ที่เป็นอดีตรองนายกรัฐมนตรีไปแล้ว แต่ปรากฏว่าได้มีการข่มขู่ คุกคามคุณ ก.มาตลอด คุณ ก.เลยอยากจะให้เรื่องนี้ออกสู่สาธารณะ เพื่อป้องกันตัวหากเป็นอะไร และอยากให้ประชาชนได้รู้พฤติกรรมของนักการเมืองใหญ่คนนี้ จึงขอให้ผมช่วยดำเนินการให้ เรื่องนี้ค่อนข้างจะเสี่ยงกับผม จึงไม่อาจทำอะไรให้ถูกใจทุกคนได้ ผมเลยต้องทำทุกอย่างด้วยความระมัดระวัง และพยายามให้กระทบกับพรรคการเมืองที่เกี่ยวข้องให้น้อยที่สุด แต่ทุกคนจะได้รู้แน่นอนครับ #ถ้าเปิดไลน์คนที่เรารักแล้วเจอแชทแบบนี้เป็นคุณจะรู้สึกอย่างไรครับ’
‘โจ้’ไม่รู้รองนายกฯเป็นชู้เมียชาวบ้าน
นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวว่า กรณี นายษิทรา เบี้ยบังเกิด ทนายความชื่อดังออกมาตั้งประเด็นกล่าวอ้างมีอดีตรองนายกรัฐมนตรี อาจเป็นชู้กับภรรยาคนอื่น ว่า ตอนเช้าวันเดียวกันได้โทรศัพท์คุยกับ นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ อดีตรองนายกฯ สมัยรัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร สอบถามว่า ใช่รูปท่านหรือไม่ ท่านปฏิเสธ ไม่ใช่พี่แน่นอน ขณะที่เมื่อย้อนไปดูรายชื่ออดีตนายกฯในยุคก่อนๆหน้า นายทักษิณ เคยเป็นรองนายกฯ ตอนนี้อายุ 73ปี อยู่ต่างประเทศ ก็ไม่น่าใช่ , พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ มีภรรยาใหม่แล้ว คงไม่น่าใช่ ขณะที่รองนายกฯคนอื่นที่ในยุครัฐบาลก่อนหน้านี้ส่วนใหญ่ก็อายุมากกว่า 70ปี ดูท่าทางจะไม่ไหว
อย่างไรก็ดี มีนักข่าวกระซิบบอกว่า บุคคลดังกล่าวที่ถูกอ้างว่า เป็นรองนายกฯ ใส่เสื้อสีแดง ที่อาจจะใกล้ชิดกับพรรค พท.เรื่องนี้คงต้องรอทนายตั้มออกมาเปิดเผย ส่วนตัวติดต่อไปยัง เจ๊ช่อ ที่ได้ติดต่อกับทนายตั้ม เขาบอกผ่านมาว่าเป็นรองนายกฯสมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ เรื่องคงต้องฝากสื่อไปช่วยดู มีใครบ้าง
นายยุทธพงศ์ กล่าวอีกว่า เมื่อไปดูรองนายกฯยุคนั้นมี ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง, นายปลอดประสพ สุรัสวดี,นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา , นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง ส่วน นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล เสียชีวิตไปแล้ว, นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ ปฏิเสธเสียงแข็งบอก พี่ไม่ไหวแล้ว พี่อายุ80แล้ว ไม่ใช่พี่แน่นอน รองนายกฯสมัยนั้น ยังมีโควตาจากพรรคการเมืองอื่น นายยุคล ลิ้มแหลมทอง เคยเป็นรองนายกฯควบรมว.เกษตรฯ ดังนั้นนักข่าวก็ต้องไปตามดูหรือรอให้ทนายตั้ม แถลงวันที่ 9ม.ค.แต่เท่าที่ตนดูในรูปเบื้องต้นบุคคลดังกล่าวยังไม่แก่เท่าไร คงต้องเดาต่อไปว่าเป็นใคร เนื่องจาก ไม่มีคลิป ไม่มีรูป
จี้’บิ๊กตู่’จัดการ-ขู่นิ่งเฉยซักฟอกแน่
“คิดว่าสื่อน่าจะพอรู้ ถ้าผมพูดตรงๆกลัวจะโดนฟ้องหมิ่นประมาท เพราะตอนนี้ก็โดน 4คดี เรื่องนี้เอาไว้ไม่ได้ นักการเมืองต้องมีจริยธรรมและเรื่องไม่ได้เข้าข้างพรรคเพื่อไทย ขอเรียกร้องไปยัง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้ารัฐบาล ต้องกล้าจัดการ อย่านิ่งเฉย อย่าจัดการเฉพาะฝ่ายตรงข้าม เพราะมีรัฐมนตรีในรัฐบาลประยุทธ์บางคน ที่ขอใช้คำว่า ดอกทอง2เมีย นายกฯต้องจัดการ หากไม่จัดการ จะจัดการเองผ่านการอภิปรายตามรัฐธรรมนูญมาตรา152 ก่อนหน้าที่เคยอภิปราย คนอภิปรายมันมือใหม่หัดขับ พูดไปก็สั่นไป เรื่องอย่างนี้ผมต้องอภิปรายเอง ถ้า พล.อ.ประยุทธ์ ไม่จัดการ จะไปฟ้องอาจารย์น้องให้จัดการ พล.อ.ประยุทธ์ เลยและเรื่องนี้จะร้องให้ นพ.ชลน่าน ตรวจสอบจริยธรรมด้วย เพราะพรรคมีคณะกรรมการจริยธรรม บุคคลดังกล่าวใส่เสื้อสีแดง อายุไม่น่าเยอะ ผู้หญิงผมทอง อายุก็ไม่น่าเยอะ แต่ประเด็นสำคัญ ไปยุ่งกับเมียชาวบ้านทำไม” นายยุทธพงศ์ กล่าว
เชื่อไม่ยุบสภาหนี-เปิดถล่มต้นกพ.
นายยุทธพงศ์ กล่าวถึงการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลรัฐบาลโดยไม่ลงมติ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา152 ว่า ตนได้พบและสอบถาม นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ถึงช่วงวันการอภิปราย นายอนุชา ยืนยันพรรคฝ่ายค้านได้อภิปรายแน่นอน รัฐบาลไม่มียุบสภาฯหนี และน่าจะมีการอภิปรายช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ ตนได้ถามเหตุผลต่อ ทำไมเป็นช่วงเวลานั้น นายอนุชา บอกว่า วันที่ 22 ม.ค.มีเทศกาลตรุษจีน ผู้คนไปเที่ยวไปพักผ่อน อาจทำให้ขาดสีสัน เลยอยากให้เป็นหลังตรุษจีน คือ ต้นเดือนกุมภาพันธ์
แจงงัด8ประเด็นซักฟอกรบ.ประยุทธ์
ด้าน นายจิรพงษ์ ทรงวัชราภรณ์ ส.ส.นนทบุรี พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า การอภิปรายตามรัฐธรรมนูญมาตรา152 แบ่งเป็น 8หัวข้อหลัก ครอบคลุมทั้ง การเมือง สังคม เศรษฐกิจ ประเด็นทุจริต การไม่ทำตามนโยบายรัฐบาลที่แถลงต่อสภาฯ เป็นต้น เรามีการติวเข้มการอภิปราย ในการติวเข้มก็มีทีมแคนดิเดตฯนายกฯเพื่อไทย ที่เป็นผู้ชาย มาร่วมติวด้วย โดยแคนดิเดตฯคนดังกล่าว จะเปิดตัวช่วงเดือนกุมภาพันธ์หรือยุบสภาไปแล้ว ส่วนกระแสข่าวบางพรรคจะจับมือกับพรรคเพื่อไทย ไม่ต้องมาโหนกระแสพรรคเพื่อไทย การตั้งรัฐบาลไม่มีใครมาสั่งว่าจะให้พรรคเพื่อไทยจับมือกับใคร คนที่สั่งได้มีคนเดียวคือประชาชน ส่วนเงินเยียวยาน้ำท่วมตั้งแต่ปี 2564 ชาวนนทบุรี ยังไม่ได้รับเงินเยียวยา แม้ในเวลาต่อมาครม.อนุมัติเงินเยียวยา แต่มีหลักเกณฑ์ หากน้ำท่วมไม่เกิน 30วัน ได้รับ 5,000บาท หากน้ำท่วม 30-60วัน ได้รับเงินเยียวยา 7,000 บาท ถ้าเกิน 60 วันได้รับ 9,000 บาท ทั้งที่ความจริง น้ำท่วมบ้านเรือนประชาชนไม่เกิน 3 วัน บ้านก็พังแล้ว ซึ่งการเยียวยารัฐบาลชุดนี้ เทียบไม่ได้กับยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์เลย
‘ชลน่าน’ชี้ถ้าเป็น’พท.’ต้องตั้งทีมสอบ
นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่านและหัวหน้าพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวถึงกระแสข่าวที่ปรากฏในโซเชียล กรณีอดีตรองนายกฯมีสัมพันธ์ชู้สาวกับภรรยาคนอื่น โดยโยงว่า เป็นรองนายกรัฐมนตรีสมัย น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีว่า เพิ่งทราบเรื่อง เพราะเท่าที่ติดตามข่าวก็ยังไม่ได้มีการระบุว่าเป็นใคร สมัยไหน แต่หากเกี่ยวข้องกับพรรค พรรคคงต้องมาดูรายละเอียดว่า เกิดขึ้นสมัยนั้นจริงหรือไม่ เขาเป็นใคร และพฤติกรรมเกี่ยวเนื่องมาถึงปัจจุบันหรือไม่ อย่างไร เพราะเป็นภาพที่สังคมไม่ยอมรับและพรรค พท.ก็ไม่สนับสนุนส่งเสริม เห็นว่าเรื่องนี้เราไม่ยอมรับกันอยู่แล้ว ก็ขอให้ว่ากันไปตามตัวบทกฎหมาย สังคมจะใช้มาตรการทางสังคมอย่างไรก็ต้องว่ากันไป
อดีตอาจสอบไม่ได้-ทำให้ชัดเจนได้
เมื่อถามว่า หากพรุ่งนี้ (9 มกราคม) นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม มีการเปิดเผยชื่อแล้ว มีการโยงมาเป็นคนของพรรค พท.จริง ในฐานะหัวหน้าพรรคจะมีการตั้งคณะกรรมการมาสอบหรือไม่ นพ.ชลน่านกล่าวว่า ต้องมีการดำเนินการว่าเกี่ยวข้องกับพรรคเราในมุมไหน อย่างไร หากเปิดออกมาแล้วไม่เกี่ยวข้องกับพรรคเราในปัจจุบัน เป็นเรื่องเมื่อ10ปีก่อนก็ต้องไปดูข้อเท็จจริงว่าจะต้องมีการสอบหรือไม่อำนาจหน้าที่ในการสอบขณะนี้ก็ต้องว่า ไปตามข้อบังคับที่เรามี กฎหมายฉบับนี้ กรรมการบริหารชุดนี้ สมาชิกที่มีอยู่ หากมีความเกี่ยวเนื่องในส่วนนั้นก็จะมีอำนาจในการตั้งคณะกรรมการไปสอบได้ แต่หากไม่ได้เป็นสมาชิกในขณะนี้ เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต ก็ไม่มีอำนาจจะไปสอบ แต่ก็เป็นเรื่องที่ต้องทำให้ชัดเจน เพื่อชี้แจงให้ประชาชนได้รับรู้ ทั้งนี้ ในส่วนที่นายษิทราแย้มตัวย่อมาเป็น ย. พรรค พท.ในสมัย น.ส.ยิ่งลักษณ์ มีชื่อย่อนี้หรือไม่นั้น ยังไม่ได้มีการตรวจสอบ ขอไปดูในรายละเอียดก่อน
เรื่องถึงชั้นศาล-แต่มีการข่มขู่สามี
เมื่อถามว่า การมาเปิดเรื่องนี้ในช่วงนี้ มองว่าเป็นการดิสเครดิตของพรรคการเมือง ตัวบุคคลหรือไม่ นพ.ชลน่านกล่าวว่า ก็คิดได้ เพราะเท่าที่ดูข้อเท็จจริงที่ปรากฏตามสื่อ ก็เห็นว่าเรื่องนี้เป็นมาเป็นปีแล้ว และเคยมีการเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม เพื่อให้บุคคลที่เกี่ยวข้องรับผิดชอบแล้ว แต่อ้างว่ามีการข่มขู่คุกคามบุคคลที่เป็นสามี จึงนำเรื่องมาเปิด ซึ่งดูเหตุและผลแล้วก็คิดได้ว่า เกี่ยวข้องกับประเด็นทางการเมืองหรือไม่ อย่างไร แต่ถามว่าจะเกี่ยวข้องกับพรรค พท.หรือไม่ ก็อาจจะมองได้เช่นกันว่า นายษิทรา ก็เป็นสมาชิกพรรค พท.เขาอาจจะออกมาในมุมปกป้องพรรคก็ได้
ลั่นไม่มีหลังไมคืกับทนาย’ษิทรา’
ถามต่อว่า นายษิทรา เป็นสมาชิกพรรค พท.ในฐานะหัวหน้าพรรคได้มีการหลังไมค์ไปคุยอะไรหรือไม่ นพ.ชลน่าน กล่าวว่า ไม่ เรื่องนี้ต้องทำให้เป็นที่ประจักษ์ชัดเจน เรามีรูปแบบคณะกรรมการ เขาเปิดมาขนาดนี้ถ้าจะหลังไมค์ไปบอกว่า หากเป็นพรรค พท.อย่าเปิดนะ ทั้ง พท.และนายษิทรา ตายด้วยกันหมด ไม่เป็นที่ยอมรับของสังคมแน่นอน เราไม่ได้ห่วง หากเปิดเพื่อปกป้องพรรค เราก็ต้องขอบคุณนายษิทราด้วย
หากอดีตสมาชิกพรรคเราไปมีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม หากเรามองในมุมบวกก็เป็นการเอาสิ่งที่ไม่ชอบออกไป แต่ถ้าทำแล้วเป็นการไปลบล้างสิ่งดีๆ ที่พรรคกำลังทำอยู่ก็สามารถตีความได้ว่าเป็นการทำลาย ต้องสืบดูว่านายษิทราในฐานะสมาชิกพรรคต้องการทำลายพรรคหรือไม่ หากมีเจตนาจะทำร้ายพรรคก็ต้องมีการตรวจสอบเช่นกัน โทษคือขับออกจากสมาชิกพรรค
‘ยงยุทธ’ยันไม่ใช่คนเป็นข่าว-อายุ80แล้ว
นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส.มหาสารคามและรองหัวหน้าพรรค พท.กล่าวถึงกระแสข่าวที่ปรากฏในโซเชียลกรณีอดีตรองนายกฯ มีสัมพันธ์ชู้สาวกับภรรยาคนอื่นว่า จากที่ได้ติดตามอดีตรองนายกฯ ที่ยังมีชีวิตอยู่พบว่ามีจำนวนมาก ซึ่งตนให้คนใกล้ชิดพยายามติดต่อทนายตั้ม ษิทรา เบี้ยบังเกิด ซึ่งทนายตั้มได้บอกใบ้ว่าเป็นรองนายกฯ ในสมัยรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ ซึ่งมีทั้งคนในพรรคและพรรคร่วมรัฐบาล “เมื่อเช้าที่ผ่านมา นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ อดีตรองนายกฯ โทรมาหาและปฏิเสธไม่ใช่ตัวเองแน่นอน เพราะอายุ 80ปีแล้ว แต่ดูจากรูปและผิวพรรณยังไม่แก่เท่าไร โดยต้องเดาว่าเป็นใคร ส่วนตัวไม่มีคลิปและรูป แต่ติดต่อหาทนายตั้ม ก่อนทราบข้อมูลมาอยู่ในรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ โดยในวันที่ 9มกราคม ก็ต้องติดตามทนายตั้มแถลง” นายยุทธพงศ์ กล่าว
‘เสี่ยเฮ้ง’ไขก๊อกสส.พปชร.ซบ’รทสช.’
ผู้สื่อข่าวรายงานความเคลื่อนไหวของ นายสุชาติ ชมกลิ่น รมวแรงงาน ว่า ได้ทำหนังสือลาออกจากการเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จ.ชลบุรี เขต 1 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยมีผลตั้งแต่เมื่อวันที่ 6มกราคมที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม ช่วงเช้าวันที่ 9มกราคม นายสุชาติ จะดำเนินการลาออกจากสมาชิกพรรค พปชร.ต่อไป เพื่อเตรียมร่วมงานกับพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) และจะนำทีมงานและผู้สมัคร ส.ส.ไปร่วมกิจกรรมเปิดตัวของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กับพรรครวมไทยสร้างชาติในช่วงเย็นวันเดียวกัน ที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ คาดว่าจะมีมวลชนผู้สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ รวมถึงนายสุชาติและแกนนำพรรคในแต่ละพื้นที่มาร่วมงานไม่ต่ำกว่าหมื่นคน ทั้งนี้ นายสุชาติได้รับการวางบทบาทให้เป็นแม่ทัพคุมพื้นที่ภาคตะวันออกและพื้นที่ภาคกลางในการเลือกตั้งครั้งต่อไป โดยในส่วนของ จ.ชลบุรี ฉะเชิงเทรา และเพชรบุรี ขณะนี้วางตัวผู้สมัคร ส.ส.ครบหมดแล้ว
‘จุรินทร์’ออกเยี่ยมชาวบางคอแหลม
เวลา 14.00น.ที่ชุมชนหลังตลาดเก่า วัดพระยาไกร เขตบางคอแหลม กทม.นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พาณิชย์ ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ พร้อมด้วย นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรค และประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ กทม.ศ.ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ ประธานคณะทำงานนโยบาย กทม.พรรคประชาธิปัตย์ นางดรุณวรรณ ชาญพิพัฒนชัย รองโฆษกพรรค พร้อมด้วยสมาชิกพรรค ลงพื้นที่ “จุรินทร์ ออนทัวร์” เดินทางไปพบปะเยี่ยมเยียนพี่น้องประชาชน โดยมีนายอภิมุข ฉันทวานิช เป็นผู้ประสานงาน ลงพื้นที่กรุงเทพมหานคร
มั่นใจปชป.ได้สส.ในกทม.แน่นอน
นายจุรินทร์ กล่าวตอนหนึ่งว่า ในการเลือกตั้งครั้งหน้า ตนก็หวังและมั่นใจว่าพี่น้องจะให้โอกาสประชาธิปัตย์ได้ปักธงผู้แทนราษฎรในพื้นที่นี้ พร้อมกับแนะนำทายาททางการเมืองของนายสมเกียรติ ฉันทวานิช อดีตส.ส. ประชาธิปัตย์ คือนายอภิมุข ฉันทวานิช อดีตสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร (ส.ก.) 3 สมัย มีพื้นฐานการศึกษาดี พร้อมที่จะเข้าไปทำหน้าที่เป็น สส.ได้หากพี่น้องช่วยกันสนับสนุน
“ผมมั่นใจว่าเที่ยวหน้าประชาธิปัตย์ได้ปักธงในกรุงเทพฯ แน่นอน และเราก็มีโอกาสที่จะได้ในหลายพื้นที่ เพียงแต่ขอยังไม่บอกว่ากี่นั่ง แต่มั่นใจว่าเราปักธงในกรุงเทพฯ ได้เที่ยวหน้า จากคราวที่แล้วไม่มีเลยแม้แต่คนเดียว และในพื้นที่นี้เราก็ถือว่าเป็นพื้นที่เป้าหมายอีกพื้นที่หนึ่ง คือเราส่งคุณอภิมุข ฉันทวานิช ซึ่งเป็น ส.ก.มา 3สมัยและเป็นลูกท่านสมเกียรติ ฉันทวานิช ที่เป็น สส.ประชาธิปัตย์มาอย่างยาวนาน4สมัย และไม่เคยเปลี่ยนพรรค ฉะนั้นถือว่าคุณอภิมุข เป็นคนหนุ่มที่มีประสบการณ์การทำงานท้องถิ่นในฐานะสก. และจบปริญญาตรี ปริญญาโทจากสหรัฐฯมีศักยภาพ ทำพื้นที่ต่อเนื่องและสัมพันธ์กับพี่น้องในพื้นที่มาอย่างดีตลอดระยะเวลา ที่นี่จึงเป็นอีก 1 เขต ที่เรามั่นใจว่าเราปักธงได้” หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าว
อย่าสนับสนุนธนกิจการเมืองจ้องทุจริต
นายจุรินทร์ กล่าวด้วยว่า ส่งนที่มีพี่น้องประชาชนถามเรื่องคอร์รัปชันนั้น จากผลสำรวจที่เพิ่งออกมาอีกเรื่อง คือเป็นห่วงที่สุดเรื่องหนึ่งคือการทุจริต คอร์รัปชั่น เรื่องนี้เป็นภารกิจหลักที่ทุกฝ่ายต้องช่วยกัน รวมทั้งฝ่ายการเมืองและพี่น้องประชาชนด้วย ต้องไม่สนับสนุน ธนกิจการเมือง หรือธุรกิจการเมือง เพราะมันจะเป็นต้นตอของการนำมาซึ่งการถอนทุนคืนและการทุจริต คอร์รัปชั่นต่อไป เพราะฉะนั้นใครขายตัว ใครลงทุนด้วยการซื้อตัว ดูดผู้แทนหัวหนึ่งมหาศาล ก็อาจจะต้องคะเนได้ว่า สุดท้ายมันก็ไปจบที่ถอนทุนคืน คือการทุจริต คอร์รัปชั่นต่อไป ถือว่าเป็นภัยร้ายของประเทศ ของประชาธิปไตย ทุกคนต้องช่วยกันในเรื่องนี้ พรรคประชาธิปัตย์ถือว่าการต่อต้านการทุจริต คอร์รัปชั่น การเดินหน้าประชาธิปไตยสุจริต เป็นแนวทางและนโยบายสำคัญของพรรคประชาธิปัตย์อีกเรื่องหนึ่ง” นายจุรินทร์ กล่าว
ทั้งนี้บรรยากาศการลงพื้นที่“จุรินทร์ออนทัวร์ บางคอแหลม” เป็นไปอย่างใกล้ชิดสนิทสนม มีพี่น้องประชาชนมาขอถ่ายรูปกับนายจุรินทร์เป็นจำนวนมาก มีช่วงหนึ่งนายจุรินทร์ถูกสาวใหญ่ขอกอด พร้อมกับได้รับเสียงเชียร์ให้เป็นนายกคนใหม่
หัวหน้าพรรคต้องพร้อมเป็นนายกฯ
หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงความพร้อมในการเป็นนายกรัฐมนตรีว่า เรื่องนี้ตนเคยพูดไปแล้ว คนเป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ต้องพร้อมที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีทุกคน ไม่อย่างนั้นสมาชิกพรรคไม่เลือก และตอนที่สมาชิกพรรคตัดสินใจเลือก ก็มาจาก 2เหตุผล 1.เลือกให้มาทำหน้าที่หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ได้ 2.ถ้ามีโอกาสเป็นแกนตั้งรัฐบาล ก็พร้อมจะเป็นนายกรัฐมนตรีได้ ส่วนจะส่งรายชื่อแคนดิเดต 3คนหรือไม่นั้น ขอให้เป็นเรื่องที่กรรมการบริหารพรรคจะเป็นผู้พิจารณา แต่ถ้าเป็นการส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งนั้น พรรคประชาธิปัตย์ส่งครบทั้ง 400เขต ขอนับหนึ่งจากการเปิดนโยบายก่อน ขณะนี้ได้เริ่มเปิดกรอบนโยบายแล้ว คือ สร้างเงิน สร้างคน สร้างชาติ ถัดจากนี้ก็จะเปิดนโยบายเชิงลึก ซึ่งจะได้กำหนดวันต่อไป ตอนนี้กำลังเตรียมการอยู่
‘บิ๊กตู่’เปิดตัว9มค.หมดความเป็นกลาง
เมื่อถามว่ามองเรื่องที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จะไปเปิดตัวกับพรรครวมไทยสร้างชาติ ในวันที่9ม.ค.ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ อย่างไร นายจุรินทร์ กล่าวว่า ตนไม่ขอให้ความเห็น แต่ถ้าพล.อ.ประยุทธ์ ไปสมัครเป็นสมาชิกพรรคใดพรรคหนึ่งจริง ก็แปลว่าต่อไปนี้พล.อ.ประยุทธ์ ก็สังกัดพรรคการเมืองที่มีความชัดเจนแล้ว ไม่ใช่เป็นแค่คนกลางๆ ที่ได้รับการเสนอชื่อจากพรรคการเมือง หรือพรรคร่วมรัฐบาล แต่ลงลึกไปถึงเป็นสมาชิกพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่งแล้ว
“ก็คงมีสถานภาพเหมือนๆกันกับรัฐมนตรี หรือรองนายกฯหลายท่านในคณะรัฐมนตรี ที่เป็นสมาชิกพรรคการเมือง หรือเป็นหัวหน้าพรรคการเมือง หรือดำรงตำแหน่งกรรมการบริหารพรรค หรือเป็นสมาชิกพรรค” นายจุรินทร์ กล่าว เมื่อถามว่าหากภาพคนกลางๆหายไป จะส่งผลต่อเสถียรภาพของรัฐบาลหรือไม่อย่างไร หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ตนตอบล่วงหน้าอะไรไม่ได้ อยู่ที่นายกฯด้วยว่าจะบริหารจัดการกับรัฐบาลผสมในรูปแบบไหนอย่างไรและมีทีท่าอย่างไร อันนั้นก็ต้องนับหนึ่งที่ตัวท่านด้วย
เมื่อถามว่าจากการที่มีหลายพรรคการเมืองขณะนี้เริ่มลงพื้นที่หาเสียงกันมากขึ้น รวมไปถึงผู้มีตำแหน่งทางการเมืองด้วย จะมีหลักการในการลงพื้นที่อย่างไร หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ถ้าลงพื้นที่ในฐานะสมาชิกพรรคการเมือง ก็ปฏิบัติภารกิจในทางการเมือง ถ้าปฏิบัติราชการก็แยกเป็นเรื่องการปฏิบัติราชการ มันมีหลักของมันอยู่แล้ว ทุกคนต้องต้องปฏิบัติหลักเดียวกัน เพราะอยู่ภายใต้กติกาเดียวกัน
‘เรืองไกร’ร้อง‘กกต.‘สอบหัวหน้าอุ๊งอิ๊ง
นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ อดีตสมาชิกพรรคพลังประชารัฐ(พปชร.) เปิดเผยว่า หลังพบเห็นป้ายพรรคเพื่อไทย ติดตามท้องถนน ซึ่งมีรูป น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย โดยไม่มีรูป นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย อยู่เลย ทำให้รู้สึกสะดุดตา และเมื่อเปรียบเทียบกับป้ายพรรคการเมืองอื่น ก็มักจะมีรูปหัวหน้าพรรคกันทั้งนั้น ซึ่งเรื่องนี้ ทำให้ตนต้องหาข่าวต่าง ๆ มาตรวจสอบ จนเจอข่าวในเว็บไซต์วันที่ 29ธ.ค.2565 หัวข้อ“อุ๊งอิ๊ง’สั่งเพื่อไทยขึ้นป้ายหาเสียงทั่วประเทศ ปีใหม่นายกฯ คนใหม่”
นายเรืองไกร กล่าวต่อว่า ตามรูปในป้ายทั้ง 8ภาพ เพื่อชูนโยบาย 8 ด้าน ที่ปรากฏในข่าวข้างต้นนั้น จะมีเฉพาะรูป น.ส. แพรทองธาร โดยไม่มีรูปหัวหน้าพรรคเพื่อไทยแต่อย่างใด กรณีจึงมีประเด็นที่ควรตรวจสอบว่า การติดป้ายทั้ง 8ภาพ เพื่อชูนโยบาย 8 ด้าน ซึ่งปัจจุบันปรากฏโดยทั่วไปตามสถานที่ต่าง ๆ แล้วนั้น เป็นไปตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พรป.) ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560 มาตราต่าง ๆ หรือไม่ ดังต่อไปนี้ กรณีที่มีการระบุในป้ายว่า “แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย” นั้น ตำแหน่ง หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย อยู่ในโครงสร้างการบริหารของพรรคเพื่อไทย หรือไม่ และถือเป็นตำแหน่งใดในพรรคเพื่อไทย ตามความในมาตรา 15 (5) หรือไม่ และตำแหน่งหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย มีวาระการดำรงตำแหน่งตามที่กำหนดในข้อบังคับแต่ต้องไม่เกินคราวละสี่ปีตามความในมาตรา 16 หรือไม่
ส่อเข้าข่ายผิดพรป.พรรคการเมือง
นายเรืองไกร กล่าวว่า นอกจากนี้ตามหัวข้อข่าวที่ระบุว่า“อุ๊งอิ๊ง’สั่งเพื่อไทยขึ้นป้ายหาเสียงทั่วประเทศ ปีใหม่นายกฯคนใหม่”นั้น พฤติการณ์ณ์ดังกล่าวเข้าข่ายหลีกเลี่ยงการดำเนินกิจกรรมของพรรคการเมืองในนามคณะกรรมการบริหารพรรคการเมือง ตามความในมาตรา 21 วรรคหนึ่ง หรือไม่ และป้ายทั้ง 8 ภาพ ไม่มีรูปหรือชื่อหัวหน้าพรรคเพื่อไทย อยู่ด้วยเลย จะเข้าข่ายฝ่าฝืนมาตรา 21 วรรคสี่ ที่ระบุส่วนหนึ่งว่า “ให้หัวหน้าพรรคการเมืองเป็นผู้แทนของพรรคการเมืองในกิจการอันเกี่ยวกับบุคคลภายนอก” หรือไม่ และหากมีการสั่งตามข่าวจริง กรณีดังกล่าวจะเข้าข่ายเป็นการปล่อยให้สมาชิกคนใดคนหนึ่งควบคุมคณะกรรมการบริหารพรรคการเมืองและกรรมการบริหารพรรคการเมือง หรือไม่ และเป็นการขัดหรือแย้งกับความในมาตรา 22 หรือไม่ และการติดป้ายดังกล่าว มีการเปิดเผยค่าใช้จ่ายในการโฆษณาหรือประชาสัมพันธ์การดำเนินกิจกรรม ของพรรคการเมืองไม่ว่าในรูปแบบใด ให้สมาชิกและประชาชนทราบเป็นการทั่วไป ตามความในมาตรา 87 วรรคสอง หรือไม่ ตนจึงส่งไปรษณีย์EMS ถึง กกต.เพื่อขอให้ตรวจสอบว่า การติดป้าย 8ภาพ ชูนโยบาย 8ด้าน ซึ่งมีแต่ภาพ น.ส.แพทองธาร โดยไม่มีรูปหัวหน้าพรรคเพื่อไทย จะเข้าข่ายเป็นการฝ่าฝืน พรป.ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560 มาตราต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง หรือไม่
ซูเปอร์โพลสำรวจนิยมพรรคการเมือง
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.นพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการสำนักวิจัยซูเปอร์โพล (SUPER POLL) เสนอผลสำรวจ เรื่อง ถ้าเลือกตั้งวันนี้ พรรคใดชนะ กรณีศึกษาประชาชนทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศ ดำเนินโครงการทั้งการวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) และการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) ผ่านกระบวนการวิจัยเชิงทดลอง (Experimental Survey) เพื่อลดความคลาดเคลื่อนแก้ปัญหาแหล่งความคลาดเคลื่อนจากผู้ถามผู้ตอบและเครื่องมือวัด 1,114 ตัวอย่าง ระหว่างวันที่ 2-7มกราคม2566 โดยมีค่าความคลาดเคลื่อนจากการกำหนดขนาดตัวอย่างบวกลบร้อยละ 5 ในช่วงความเชื่อมั่นร้อยละ 95 พบว่า
เลือกพท.23%/ภท.21%/ปชป.9.9%
เมื่อถามว่า ถ้าวันนี้เลือกตั้งจะเลือกพรรคใด พบว่า พรรคการเมืองอันดับแรก ได้แก่ พรรคเพื่อไทย ร้อยละ23.4 แต่พรรคที่จี้ติดมาอันดับสองแทบไม่แตกต่างกันคือ พรรคภูมิใจไทย ร้อยละ21.9 ในขณะที่ อันดับสามได้แก่ พรรคประชาธิปัตย์ ร้อยละ 9.9 พลังประชารัฐได้ร้อยละ 8.0 ก้าวไกลร้อยละ 5.8 รวมไทยสร้างชาติร้อยละ 4.8 ชาติไทยพัฒนา ร้อยละ 4.3 ไทยสร้างไทยร้อยละ 3.9 ชาติพัฒนากล้า ร้อยละ 3.9 สร้างอนาคตไทยร้อยละ 3.5 และอื่น ๆ อาทิ เสรีรวมไทย ไทยภักดี ไม่เลือกใครเลย เป็นต้น ร้อยละ 10.6
เพื่อไทยแต้มลดลง-ภท.คะแนนเพิ่มขึ้น
ที่น่าพิจารณาคือ แนวโน้มความนิยมของประชาชนต่อพรรคการเมือง ถ้าวันนี้เป็นวันเลือกตั้ง พบว่า ในเดือนกรกฎาคม ปี 2565 เมื่อปีที่แล้ว พรรคเพื่อไทยได้ร้อยละ 26.9 ลดลงมาอยู่ที่ร้อยละ 23.4 ในเดือนมกราคม ปี 2566 ในขณะที่ พรรคภูมิใจไทย เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 14.2 ในเดือนกรกฎาคมปีที่แล้ว มาอยู่ที่ ร้อยละ 21.9 ในเดือนมกราคมปีนี้ นอกจากนี้ พรรคประชาธิปัตย์ เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 6.8 ในเดือนกรกฎาคม ปีที่แล้ว มาอยู่ที่ ร้อยละ 9.9 ในเดือนมกราคมปีนี้ อย่างไรก็ตาม พรรคพลังประชารัฐ ลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติจากร้อยละ 22.3 ซึ่งเคยเป็นพรรคอันดับสองลงมาอยู่ที่ร้อยละ 8.0 ในอันดับที่สี่ของการสำรวจครั้งนี้ และพรรคก้าวไกล ลดลงเช่นกันจากร้อยละ 6.9 ลงมาอยู่ที่ร้อยละ 5.8
ที่น่าจับตามองคือ กลุ่มพรรค “สวิงโหวต” ที่เป็นพรรคเล็กและพรรคเกิดใหม่ เช่น พรรครวมไทยสร้างชาติ เพิ่มขึ้นจากร้อยละ0.4 ขึ้นมาอยู่ที่ร้อยละ4.8 แต่ถ้ามองว่า พรรครวมไทยสร้างชาติ แยกมาจากพรรคพลังประชารัฐที่เคยได้ร้อยละ22.3 ในการสำรวจเดือนกรกฎาคมปีที่แล้ว จะพบว่า คะแนนรวมของทั้งสองพรรคในการสำรวจครั้งนี้เหลือเพียงร้อยละ12.8 จึงน่าติดตามว่าคะแนนนิยมลดลงและกระจายออกไปที่พรรคการเมืองใดบ้าง โดยในการสำรวจครั้งนี้ พรรคไทยสร้างไทยเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 1.9 มาอยู่ที่ร้อยละ 3.9 พรรคชาติพัฒนา กล้า เพิ่มขึ้นจากร้อยละ2.3 มาอยู่ที่ร้อยละ 3.9 พรรคชาติไทยพัฒนา เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 2.3 มาอยู่ที่ร้อยละ 4.3 พรรคสร้างอนาคตไทยเพิ่มขึ้นเช่นกัน จากร้อยละ1.6 มาอยู่ที่ร้อยละ 3.5
พลังประชารัฐคะแนนดิ่งลงเรื่อยๆ
ผอ.ซูเปอร์โพล กล่าวว่า ผลโพล ถ้าวันนี้เลือกตั้ง พรรคใดชนะ ชี้ให้เห็นว่า พรรคที่เติบโตขึ้นมาเป็นอันดับสองได้แก่พรรคภูมิใจไทยจี้ติดพรรคเพื่อไทยที่ยังคงรักษาอันดับหนึ่งไว้อยู่ แต่ไม่ได้แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ขณะที่พรรคการเมืองอันดับสามได้แก่ ประชาธิปัตย์ โดยที่น่าพิจารณาคือ พรรคพลังประชารัฐ ตกลงไปอยู่อันดับที่สี่และแม้คะแนนนิยมรวมกับพรรครวมไทยสร้างชาติแล้วคะแนนนิยมโดยรวมก็ลดลงจากเดิมอย่างมาก แต่พรรคที่น่าจับตามองคือพรรค“สวิงโหวต”โดยสมมติฐานเป็นกลุ่มที่อาจเปลี่ยนใจได้จำนวนมากมาจากกลุ่มที่อยู่กลาง ๆ ส่วนหนึ่งปันใจไปให้พรรคเกิดใหม่ เช่น พรรคไทยสร้างไทย พรรคสร้างอนาคตไทย พรรคชาติพัฒนา กล้า ที่รวมตัวกัน และอื่น ๆ ตามลำดับ ถ้าพรรคการเมืองใหม่ รวมตัวกันได้ก็จะมีอำนาจต่อรองการเมืองสูงไม่น้อยและถ้าเสนอนโยบายที่โดนใจประชาชนย่อมจะเพิ่มแต้มต่อได้มากยิ่งขึ้น
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี