“เราเล่าเรื่องที่เราถูกล่วงละเมิดทางเพศกับครูประจำชั้นตั้งแต่เราอายุ 11 ญาติที่บ้านรับทราบเรื่องเงียบ เราไปโรงพยาบาล ฉุกเฉินต้องล้างท้อง สุดท้ายชีวิตก็กลับมาเหมือนเดิมไม่มีการเยี่ยมบ้าน ไม่มีการติดตาม อันนี้เป็นปัญหา อายุ 14 ปี พบครูแนะแนว ไปโรงพยาบาล แจ้งผู้ใหญ่อีกรอบ แจ้งผู้ดูแลทุน เราได้ทุนตั้งแต่อายุ 11 พอโตมาได้ออกสื่อได้ความรู้มากขึ้นก็จริงแต่ก็ยังไม่มีหน่วยงานของรัฐเข้ามาช่วยเหลือ”
เรื่องเล่าของ จอมเทียน จันสมรักผู้เคยมีประสบการณ์กับโรคซึมเศร้าที่เปิดเผยในวงเสวนา “ทางออกสุขภาพจิต พิชิตปัญหาวัยรุ่น” ที่งานสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 15 เมื่อเร็วๆ นี้ ถึงชีวิตที่ผ่านวิกฤตมาตั้งแต่เด็ก ตั้งแต่ต้องใช้ชีวิตกับแม่ที่มีอาการหวาดระแวง เคยถูกแม่พาไปลาออกจากโรงเรียนอนุบาลซึ่งกว่าจะได้กลับเข้าระบบการศึกษาต้องรอถึงอายุ 9 ปี เคยอยู่แบบลำบากอดมื้อกินมื้อต้องพึ่งพาอาหารจากญาติข้างบ้าน เคยถูกล่วงละเมิดทางเพศจากลูกพี่ลูกน้องแต่ตอนนั้นยังเด็กจึงไม่รู้ว่าคืออะไร เคยทำร้ายตนเองด้วยการกินยาพาราเซตามอลเกินขนาด
แต่ทั้งหมดนี้ไม่เคยมีหน่วยงานของรัฐเข้ามาช่วยเหลือ ไม่เคยมีการประสานส่งต่อทั้งที่โรงเรียนและโรงพยาบาลรับรู้กระทั่งจุดเปลี่ยนในชีวิตคือได้เข้าเรียนที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่นั่นมีคณะจิตวิทยาและนิสิตสามารถพบนักจิตวิทยาได้และได้อยู่หอพักโดยไม่ต้องอยู่กับแม่ จึงเริ่มดูแลตนเองพร้อมกับดูแลแม่ กระทั่งเมื่อไม่นานนี้เพิ่งได้เห็นนักสังคมสงเคราะห์ พยาบาลจิตเวช และอาสาสมัครสาธารณสุขหมู่บ้าน (อสม.)ลงพื้นที่เยี่ยมบ้าน ทำให้คิดว่า หากระบบนี้มีมาถึงตั้งแต่ตนเองยังเป็นเด็กก็อาจไม่ต้องเผชิญกับความรุนแรงต่างๆ เลยก็เป็นได้
ปราชญา ศิริ์มหาอาริยะโพธิ์ญาตัวแทนเยาวชนที่ผลักดันให้เกิดการแก้ไข พ.ร.บ.สุขภาพจิต เล่าถึงสาเหตุของการแก้ไขกฎหมายให้ผู้มีอายุต่ำกว่า 18 ปี พบจิตแพทย์ได้โดยไม่ต้องมีผู้ปกครองยินยอม ว่า ในหลายกรณีปัญหาสุขภาพจิตของเด็กและเยาวชนมาจากครอบครัว จึงต้องการผลักดันให้แก้ไขกฎหมายดังกล่าว ทั้งนี้นับตั้งแต่การเริ่มทำงานกับสภาเด็กและเยาวชนเมื่ออายุได้ 12 ปี แผนงานส่วนใหญ่จะเป็นการแก้ปัญหาสุขภาพกาย แต่เมื่อได้เข้าไปเก็บข้อมูลจริงๆ แล้ว ปัญหาสุขภาพจิตก็รุนแรงไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน ซึ่งหลายครั้งหมายถึงความพยายามฆ่าตัวตาย
แต่การผลักดันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายโดยเฉพาะการที่เด็กเพิ่งเรียนชั้นมัธยมต้องไปชี้แจงกับรัฐมนตรีและผู้เชี่ยวชาญของกระทรวงสาธารณสุขที่วัยวุฒิและคุณวุฒิสูงกว่ามาก ทีมงานจึงต้องพยายามรวบรวมข้อมูลหลักฐานให้ได้มากที่สุดเพื่อให้ข้อเรียกร้องมีน้ำหนัก เช่น สถานการณ์สุขภาพจิตในต่างประเทศ ซึ่งพบว่าประเทศที่ให้ผู้มีอายุต่ำกว่า 18 ปี พบจิตแพทย์ได้เองปัญหาเรื่องนี้ของเด็กและเยาวชนจะน้อยกว่าประเทศที่ต้องให้ผู้ปกครองยินยอม ใช้เวลากันถึง 3 ปี กว่าที่กระทรวงฯ จะยอมรับมีแนวปฏิบัติกับบุคลากรทางการแพทย์ออกมา
“บางคนอาจจะรู้สึกว่าการพบจิตแพทย์คือเหมือนกับเด็กได้เจอจิตแพทย์คนเดียว แต่เรามองว่ามันไม่ใช่ คือการที่ถ้าเขาได้เข้าถึงบริการแล้ว เขาได้เจอจิตแพทย์ นักจิตวิทยา นักสังคมสงเคราะห์ เด็กที่เดินเข้าไปพบจิตแพทย์ด้วยตัวเองจะแบ่งได้เป็น 2 ประเภทหลักๆ 1.บอกไม่ได้จริงๆ บอกแล้วครอบครัวจะมีปัญหา บอกแล้วครอบครัวจะใช้ความรุนแรง คือไม่สามารถจะสื่อสารกับครอบครัวได้ รวมถึงเคสเหล่านี้ก็จะมีบางส่วนที่ครอบครัวมีปัญหาทางจิตเวชด้วย
กับ 2.ตัวเขาไม่มีข้อมูล ไม่มีชุดความรู้ ไม่มีชุดคำพูดที่จะพูดกับพ่อแม่ อยากให้คุณหมอ อยากให้นักสังคมสงเคราะห์ช่วยบอกแทนเขาหน่อย การเปิดประตูบานแรกมันก็จะช่วยทั้ง 2 เคส เคสแรกเขาก็จะได้เข้าถึงการรักษาและสามารถเยียวยาเขาได้ เคสที่สองคือนักสังคมสงเคราะห์จะสามารถพูดคุยกับครอบครัวช่วยเยียวยา อารมณ์เหมือนช่วยรักษารอยร้าวในครอบครัว ให้สามารถช่วยเหลือเขาได้” ปราชญา กล่าว
พญ.วิรัลพัชร กิตติธะระพันธุ์ จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น โรงพยาบาลยุวประสาทไวทโยปถัมภ์ กล่าวว่า โรคหรือภาวะซึมเศร้าคือความผิดปกติทางร่างกาย เพราะคนทุกคนมียีนที่เสี่ยงกับภาวะซึมเศร้าอยู่แล้ว และความเครียดหรือความเสียใจคือปัจจัยกระตุ้นให้เกิดอาการ อย่างไรก็ตาม วัยรุ่นที่ซึมเศร้าอาจมีอาการต่างจากผู้ใหญ่ โดยในขณะที่ผู้ใหญ่อาจร้องไห้หรือมีความคิดอยากฆ่าตัวตาย แต่วัยรุ่นคืออาจพบเห็นว่ามีอารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป หงุดหงิดง่ายขึ้น มีความคิดไม่อยากมีชีวิตอยู่ อยากหายไปจากโลกนี้
ประสิทธิภาพในการเรียนแย่ลง จากที่เคยไปเรียนก็ไม่อยากเรียน มีพฤติกรรมเก็บตัว หรืออาจมีอาการทางกายร่วมด้วย เช่น ปวดศีรษะ ปวดท้อง คลื่นไส้อาเจียน น้ำหนักลดเนื่องจากเบื่ออาหาร ส่วน “ความแตกต่างระหว่างโรคซึมเศร้ากับภาวะซึมเศร้า” คือภาวะซึมเศร้าเป็นสิ่งที่เกิดได้กับทุกคนเมื่อประสบกับเหตุการณ์ที่ทำให้เกิดความเครียดหรือเสียใจ นำไปสู่ความรู้สึกเศร้าหรือเบื่อหน่าย แต่อาการนี้จะไม่คงอยู่ไปตลอด แต่เมื่อใดที่อาการเหล่านั้นเริ่มส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวัน เช่น ไม่อยากไปเรียน-ไม่อยากไปทำงาน นั่นคือสัญญาณว่ากำลังป่วยเป็นโรคซึมเศร้าแล้ว
“วัยรุ่นแบบไหนที่เราต้องสงสัยว่าจะเป็นโรคซึมเศร้า? ก็คือวัยรุ่นที่มีความเจ็บป่วยทางจิตเวชมาก่อนหน้าที่แล้ว อย่างเช่นเด็กหลายๆ คนเรามาเจอว่าเขาเป็นสมาธิสั้นในวัยเด็ก หรือมีภาวะออทิสติกปรับตัวยาก มีภาวะการเข้าสู่สังคมที่ผิดปกติ ถูกเพื่อนแกล้งหรือโดน Bully (ล้อเลียน-เหยียดหยาม) มาโดยตลอด หรือแม้แต่ครอบครัวที่มีปัญหาสุขภาพจิต อย่างเช่น พ่อแม่ติดการพนัน ติดสารเสพติด หรือแม้กระทั่งติดเหล้านี่เราเจอบ่อยที่สุดเลย ว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้เด็กถูกทารุณกรรมและเกิดภาวะซึมเศร้าได้
เด็กที่มีปัญหาการเรียน โดดเรียนบ่อย เข้าห้องฝ่ายปกครองบ่อยๆ ชอบชกต่อย ชอบใช้สารเสพติด หรือติดพนัน ติดเกมพวกนี้ให้สงสัยว่าถึงจุดหนึ่งเขาอาจจะมีภาวะซึมเศร้าที่เขาต้องใช้ปัจจัยพวกนี้เป็นตัวกระตุ้นให้เขาเกิดความสุขขึ้นมาแทนที่ แต่มีเด็กอีกกลุ่มที่เราแทบจะไม่น่าเชื่อเลยว่าเขาจะมีภาวะซึมเศร้า ก็คือเด็กที่เราเรียกว่าเด็กดีเกินไป คุณครูคุณพ่อคุณแม่เคยเจอไหม?ไม่กล้าที่จะปฏิเสธ อ่อนไหวต่อคำวิพากษ์วิจารณ์ รู้สึกแย่มากกับการไมได้คะแนนเต็ม หรือไม่ได้ 4.00 หรือไม่ได้เป็นที่ 1 ของห้องเด็กพวกนี้เขาน่าสงสารมากเพราะเขามีความเปราะบางทางจิตใจ เพราะฉะนั้นเวลามีผลกระทบอะไรก็ตาม เขาแตกสลายได้ง่าย” พญ.วิรัลพัชร ระบุ
ทั้งนี้ “ครอบครัวก็เป็นปัจจัยสำคัญที่กระตุ้นให้คนเป็นโรคซึมเศร้า” เช่น พ่อแม่ผู้ปกครองที่ไม่เปิดโอกาสให้บุตรหลานได้แสดงออกหรือได้เป็นตัวของตัวเอง พอบุตรหลานจะแสดงความคิดเห็นก็ตำหนิว่าก้าวร้าวชอบโต้เถียง หรือการเกิดมาเป็นผู้ชายแล้วต้องแบกรับค่านิยมว่าเพศชายต้องแสดงท่าทีเข้มแข็งตลอดเวลา เหล่านี้เป็นจุดที่สังคมไทยต้องฝ่าวงล้อมออกไปให้ได้ และโดยสรุปแล้ว “โรคซึมเศร้าเกิดได้กับทุกคน รักษาให้หายได้และเป็นซ้ำได้”ดังนั้นจึงต้องให้ความรู้กับสังคในเรื่องของการที่ผู้ป่วยได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม
โดยเฉพาะ “ต้องมีพื้นที่ปลอดภัย (Safe Zone)”ให้ได้แสดงตัวตนความคิดโดยไม่ต้องถูกตัดสินผิด-ถูก!!!
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี