“12,519,926 คน” เป็นจำนวน “ผู้สูงอายุในประเทศไทย” ตามข้อมูล ณ วันที่ 31 ธ.ค. 2565 ที่เผยแพร่โดย กรมกิจการผู้สูงอายุ ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 18.94 ของประชากรทั้งประเทศในช่วงเวลาเดียวกันคือ 66,090,475 คน เข้าใกล้นิยามความเป็น “สังคมสูงวัยสมบูรณ์” ที่ประชากรอายุ 60 ปี
ขึ้นไปมีสัดส่วนร้อยละ 20 ของประชากรทั้งประเทศ แต่อีกด้านหนึ่งก็เป็นที่รับรู้กันว่า “สังคมไทยแก่ก่อนรวย” เพราะประเทศอื่นๆ ที่เข้าสู่ภาวะสังคมสูงวัยล้วนเป็นประเทศพัฒนาแล้ว ซึ่งมีการเตรียมระบบออมเงินรวมถึงจัดสรรทรัพยากรมาจัดทำระบบบำนาญ
ปัจจุบันประเทศไทยมีการจ่ายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุกับผู้มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป แบบขั้นบันไดตามช่วงอายุที่ 600-1,000 บาท/เดือน ซึ่งในความเป็นจริงไม่เพียงพอกับค่าครองชีพจึงเป็นที่มาของข้อเรียกร้อง “บำนาญถ้วนหน้า” จากภาคประชาชนอย่างต่อเนื่อง ต้องการให้รัฐไทยเพิ่มการจ่ายเป็น 3,000 บาท/เดือน ล่าสุดเมื่อเร็วๆ นี้ มีการแถลงข่าว“ร่วมผลักดันบำนาญถ้วนหน้า สู่นโยบายสำคัญพรรคการเมือง” โดยสภาองค์กรของผู้บริโภค
สารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการสภาองค์กรของผู้บริโภค กล่าวว่า บำนาญถ้วนหน้า เป็นแนวคิดที่มีการพูดคุยกันในภาคประชาชน แต่การจะขับเคลื่อนไปให้สำเร็จต้องมีหลายส่วน ทั้งการเคลื่อนไหวของภาคประชาชน ดังที่หลายกลุ่มทำอยู่ เช่น สลัม 4 ภาค เครือข่ายรัฐสวัสดิการ วีแฟร์ (WeFair) แต่ทางภาควิชาการเองก็ยังไม่ตกผลึก ยังมีความกังวลว่าทำแล้วจะสร้างภาระให้ประเทศหรือไม่? มีงบประมาณเพียงพอหรือเปล่า?
“ดูเหมือนภาควิชาการจะยังไม่ชัดเจน เพราะภาคประชาชนเราชัดเจนว่าเงินมีแน่นอน ทำได้ แล้วก็เหมือนจะรีๆ รอๆ กับภาคการเมืองอยู่อีกส่วนหนึ่งว่าการเมืองจะเอาไหม? แน่นอนเราคิดว่าสิ่งเหล่านี้มันต้องทดลองปฏิบัติการแล้วก็ทำเลย เพราะฉะนั้นมันก็ต้องการเจตจำนงจากหลายส่วนที่จะมาช่วยทำให้เกิดความสำเร็จ แล้วก็ข้อมูลต่างๆ ที่ประชาชนจะผลักดันจะใช้ ย่อมมีความสำคัญที่ทำให้เห็นว่าขณะนี้เรื่องงบประมาณเราไม่ต้องกังวลอย่างไร? หรือถ้ามีแล้วจะทำให้เกิดประโยชน์อย่างไร? สิ่งเหล่านี้อาจจะต้องทำให้ชัดเจนมากขึ้น” สารี กล่าว
นิมิตร์ เทียนอุดม เครือข่ายประชาชนเพื่อรัฐสวัสดิการ กล่าวว่า ในขณะที่นักวิชาการบอกว่าบำนาญถ้วนหน้าสามารถทำได้ และภาคประชาชนซึ่งเผชิญกับปัญหาก็บอกว่าควรทำเพราะสัดส่วนประชากรร้อยละ 20 ของประเทศเข้าสู่วัยสูงอายุแล้วแต่ยังยากจนและไม่มีเงินออม ด้วยเงื่อนไขข้างต้นนั้นสุกงอมพอที่จะทำ แต่ที่ยังทำไม่ได้เพราะติดอยู่ที่วิธีคิดของผู้มีอำนาจที่ไม่พร้อมกระจายทรัพยากรอย่างเป็นธรรม
“ดูจากการเสนอผลการศึกษาของคณะกรรมาธิการสวัสดิการสังคม ที่ไปดูแนวทางการแก้กฎหมาย พ.ร.บ.ผู้สูงอายุ ที่จะเปลี่ยนจากเบี้ยยังชีพเป็นบำนาญ 3,000 บาท การนำเสนอในสภามีคนต่อคิวอภิปรายทุกพรรค 30 กว่าคน ไม่มีพรรคไหนค้านเลย สภาลงมติเป็นเอกฉันท์ว่าควรจะต้องแก้ควรจะต้องแก้กฎหมาย พ.ร.บ.ผู้สูงอายุ เปลี่ยนเบี้ยยังชีพเป็นบำนาญ แก้มาตรา 9 ใช้คำนี้เลย บำนาญแห่งชาติแก้มาตรา 11 แก้เรื่องเงินว่าจะต้องใช้เงินกี่เปอร์เซ็นต์ สภาลงมติกันเป็นเอกฉันท์เลย ไปถึง ครม. (คณะรัฐมนตรี) ครม. ไม่พิจารณาเสียอย่าง..จบ!” นิมิตร์ กล่าว
หนูเกณ อินทจันทร์ ตัวแทนผู้สูงอายุ เครือข่ายสลัมสี่ภาค กล่าวว่า สังคมปัจจุบันผู้สูงอายุมักอาศัยอยู่เพียงลำพัง มีรายได้จากเบี้ยยังชีพ หรือบางรายยังได้บัตรคนจน (บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ)สำหรับนำไปแลกอาหารแห้งมาเก็บไว้กินแบบเดือนชนเดือนค่าน้ำ-ไฟฟ้าก็ประหยัดกันแบบสุดๆ และหลายคนยังต้องทำงานแม้สุขภาพไม่ค่อยดีเพื่อให้พอมีรายได้เพิ่มขึ้นมาบ้าง
“เราตัวคนเดียว สามีก็เสียไปสิบกว่าปีที่แล้ว มีลูกแต่ลูกเขาก็มีรายได้ไม่มั่นคงเพราะเขาอาชีพอิสระ แล้วลูกครอบครัวเขาก็ไม่สมบูรณ์นะ เราก็ต้องมารับผิดชอบดูภาระ ส่งหลานเรียน เราก็ต้องขายของ ตื่นตั้งแต่ตี 3 พอขายของเสร็จตอนเช้าเราก็ต้องออกไปทำงานข้างนอก ไปทำความสะอาดซึ่งได้เดือนละ 2,500 บาท ไม่ได้ไปทำทุกวัน แล้วงานส่วนอื่นเราก็ไปทำงานสังคม ลงชุมชน ทำเรื่องบำนาญ ไปพูดคุยกับพี่น้องที่อยู่ในชุมชน ให้เห็นว่าทำไมถึงอยากให้เกิด เราก็ยกตัวอย่างตัวเรา 600 มันไม่พอ” หนูเกณ กล่าว
นพ.ประทีป ธนกิจเจริญ เลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) กล่าวว่า หลักประกันรายได้หรือบำนาญถ้วนหน้าถือเป็นเรื่องใหญ่และซับซ้อน ซึ่งจะมีปัญหาว่าประเทศไทยจะหาเงินจากที่ไหนมาใช้ในส่วนนี้ โดยเฉพาะช่วง 3 ปีล่าสุดยังเจอการระบาดของไวรัสโควิด-19 ส่งผลให้เกิดความจนถ้วนหน้า แม้กระทั่งรัฐบาลก็จนลงด้วย อย่างไรก็ตามเรื่องนี้ดูจะคล้ายกับการเกิดขึ้นของหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าที่กว่ากฎหมายจะออกมาในปี 2545 ก็ต้องเผชิญกับข้อกังวลเดียวกัน และเวลานั้นไทยก็เพิ่งเจอกับวิกฤตเศรษฐกิจ “ต้มยำกุ้ง” ปี 2540 มาหมาดๆ
“พอมองจริงๆ ช่วงเวลาก่อนหน้านั้นเมื่อปี 2545 รัฐบาลก็มีเงินไปใช้จ่ายเรื่องการรักษาพยาบาล เรื่องการสงเคราะห์เต็มไปหมดแล้ว พอเราเอาวิชาการมาดู ถ้าเราเริ่มต้นเฉพาะเจาะจงคน 45 ล้านคน ที่ยังไม่มีหลักประกัน เพราะตอนนั้นข้าราชการก็มี ประกันสังคมก็มี คน 45 ล้านคนที่ยังไม่มี มีแต่การสงเคราะห์ ก็เพิ่มเงินอีกไม่มากตอนนั้นตัวเลขดูเหมือนว่าเริ่มต้นเรามีการจ่าย ต้องนึกถึงว่าเมื่อ 20 ปีที่แล้ว สงเคราะห์อยู่ประมาณ 2 หมื่นล้านบาท ถ้าทำถ้วนหน้าเข้ามาครอบคลุมคน เพิ่มอีกแค่ประมาณ 2 หมื่นล้านบาทก็ทำได้แล้ว”นพ.ประทีป กล่าว
ดร.ทีปกร จิร์ฐิติกุลชัย อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า ในภาควิชาการมีไม่น้อยที่เห็นด้วยกับการมีระบบบำนาญถ้วนหน้า แม้จะมีความกังวลในประเด็นการจัดหางบประมาณให้เพียงพอ แต่ก็มีนักเศรษฐศาสตร์หลายท่านได้เสนอแนวทางว่าจะหาจากที่ไหนได้บ้าง ขณะที่ในภาคการเมือง ตั้งแต่เดือน พ.ค. 2565 เป็นต้นมาที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ได้เห็นชอบรายงานการศึกษา เรื่องแนวทางการเสนอกฎหมายบำนาญพื้นฐานแห่งชาติ และขั้นตอนต่อไปคือการนำเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี
“ภาคประชาชน ภาควิชาการและภาคการเมืองมีเสียงสนับสนุน แล้วถ้าทำโหวตผมก็เชื่อว่าทั่วประเทศมันน่าจะมีเสียงที่สนับสนุนมากกว่า เพราะมันสมเหตุสมผล มันคุ้มครองความยากจน มันคือชีวิตของคนที่มันเดือดร้อนจริงๆ ในทางเศรษฐศาสตร์มหภาคมันมีประโยชน์ตรงที่ช่วยเป็น Economic Stabilizer (ตัวปรับเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ) ก็คือเป็นเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงระดับเศรษฐกิจมหภาคด้วย คือถ้ามีEconomic Shock (เหตุการณ์ช็อกทางเศรษฐกิจ) เข้ามา มันสามารถที่จะรักษาระดับการบริโภคได้” ดร.ทีปกร กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี