ใจหาย!ขนย้าย‘พระปางห้ามญาติ’ออกจาก‘ถ้ำจอมพล’ ปิดตำนานอันซีนราชบุรี
13 เมษายน 2566 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า โลกโซเชียลใน จ.ราชบุรี กำลังให้ความสนใจในเรื่องประเด็นภาพที่ปรากฏบน “เพจของสำนักงาน เทศบาลตำบลจอมบึง” จ.ราชบุรี เมื่อวันที่ 11 เม.ย.66 ซึ่งเป็นขณะที่เจ้าหน้าที่ของทางเทศบาล และพระสงฆ์ของวัดจอมบึง เข้าไปขนย้าย สิ่งปลูกสร้างต่างๆ สายไฟฟ้า รวมไปถึงพระพุทธรูป กระถาง ธูป เทียน ตู้รับบริจาค และ เสื่อ พรมปูพื้น ออกจากภายในน้ำจอมพล
พร้อมระบุข้อความว่า “เมื่อเวลา 09.00 น. นายสมบูรณ์ เทพสวัสดิ์ นายกเทศมนตรีตำบลจอมบึง พร้อมด้วยพระครูประโชติวิสุทธิธรรม (ชูชาติ โชติกาโร) เจ้าอาวาสวัดจอมบึง , คณะสงฆ์วัดจอมบึง และรองนายกเทศมนตรีตำบลจอมบึง นำทีมพนักงานเทศบาลตำบลจอมบึง เข้ารื้อถอนศาสนสมบัติของวัดจอมบึง และระบบไฟฟ้า พร้อมสิ่งก่อสร้างชำรุดเสียหายที่อยู่ในความรับผิดชอบของเทศบาลตำบลจอมบึง ออกจากบริเวณถ้ำจอมพล เพื่อให้เป็นไปตาม “พระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2562”
สร้างความตื่นตระหนก และกล่าวถึงความเสียใจ และใจหายต่อภาพที่เกิดขึ้นเนื่องจาก ภาพที่เห็นจนคุ้นตาเมื่อมาเที่ยวชมถ้ำจอมพลแห่งนี้ จะเห็น “ลำแสงที่สาดส่องลงมาจากปล่องปากถ้ำ จะเห็นพระพุทธรูปปางห้ามญาติตั้งอยู่บนเนินเขาน้อยภาพในถ้ำ เป็นภาพที่สวยงาม และเป็นแหล่งท่องเที่ยวอันซีนอีกแห่งหนึ่งของจังหวัดราชบุรี และเป็นถ้ำประวัติศาสตร์ของชาติ ซึ่งเป็นสถานที่เดียวในประเทศไทยที่มีรอยจารึกพระปรมาภิไธยย่อของ พระมหากษัตริย์ ถึง 3 พระองค์ที่เคยเสด็จประพาสต้น ได้แก่ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ 9 และ พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 10 ทรงเสร็จเมื่อครั้งดำรงตำแหน่งพระยศ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ สยามมกุฎราชกุมาร
จากกรณีดังกล่าวผู้สื่อข่าวได้ลงพื้นที่ไปตรวจสอบพบว่า ถ้ำจอมพล อยู่ภายในสวนรุกขชาติถ้ำจอมพล กรมอุทยานแห่งชาติแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช ตั้งอยู่ในเขตเทศบาลตำบลจอมบึง อ.จอมบึง จ.ราชบุรี ปัจจุบันถูกปิดตามคำสั่งของ สวนรุกชาติถ้ำจอมพล ที่ถูกปิดเอาไว้ที่บริเวณทางขึ้นของถ้ำ ซึ่งเป็นกระกาศให้ปิดแหล่งท่องเที่ยวสวนรุกชาติถ้ำจอมพล เป็นการชั่วคราว จากสถานการณ์โควิด-19 อาคารจำหน่ายตั๋วถูกปิดตาย แต่บริเวณโดยรอบของถ้ำยังคงเปิดให้ประชาชนได้เข้าไปท่องเที่ยวชมธรรมชาติ พักผ่อน ออกกำลังกายตามปกติ โดยมีเจ้าหน้าที่ของ สวนรุกขชาติถ้ำจอมพล ประจำการเพื่อสอบถามและให้ข้อมูลกับนักท่องเที่ยว และ บริเวณด้านหน้ามี ต้นไม้สำคัญ ประกอบด้วย ต้นสัก ทรงปลูกโดย ในหลวงรัชกาลที่ 9 ต้น กัลปพฤษ์ ทรงปลูกโดย สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง และ ต้นนนทรี ทรงปลูกโดย สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี โดยทั้ง 3 ต้น ทรงปลูกเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2499 หรือ เมื่อ 61 ปีที่ผ่านมา
ส่วนประเด็นที่เกิดขึ้นที่กระทบต่อความรู้สึกของชาวอำเภอจอมบึง และ นักท่องเที่ยว จากกรณีที่มีการขนย้ายพระพุทธรูป และ รื้อถอนศาสนสมบัติของวัดจอมบึง และระบบไฟฟ้า พร้อมสิ่งก่อสร้างชำรุดเสียหายที่อยู่ในความรับผิดชอบของเทศบาลตำบลจอมบึง ออกจากบริเวณถ้ำจอมพลนั้น ผู้สื่อข่าวได้พูดคุยกับ นายสมบูรณ์ เทพสวัสดิ์ นายกเทศมนตรีตำบลจอมบึง ซึ่งเป็นหน่วยที่รับผิดชอบทำการขนย้ายตามที่ปรากฏในภาพดังกล่าว โดยเข้าไป พร้อมด้วยพระครูประโชติวิสุทธิธรรม (ชูชาติ โชติกาโร) เจ้าอาวาสวัดจอมบึง , คณะสงฆ์วัดจอมบึง นำทีมพนักงานเทศบาลตำบลจอมบึง เข้ารื้อถอนศาสนสมบัติของวัดจอมบึง และระบบไฟฟ้า พร้อมสิ่งก่อสร้างชำรุดเสียหายที่อยู่ในความรับผิดชอบของเทศบาลตำบลจอมบึง ออกจากบริเวณถ้ำจอมพล เพื่อให้เป็นไปตาม “พระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2562”
นายสมบูรณ์ เล่าต่อว่า จากก่อนที่เป็นสวนรุกชาติ เปลี่ยนมาเป็นอุทยานแห่งชาติ ได้มีการออกระเบียบกฎหมายมา จากกรมป่าไม้มาเป็นอุทยานแห่งชาติ ซึ่งก่อนหน้านี้ตั้งแต่เริ่มต้น ทางนายอำเภอได้ทำเรื่องถึงผู้ว่าราชการจังหวัด และทำเรื่องถึงกรมป่าไม้ โดยทางกรมป่าไม้ได้อนุญาตให้ทางสุขาภิบาล ซึ่งเป็นสำนักงานเทศบาลในปัจจุบันเข้ามาดูแล จัดระเบียบร้านค้าต่างๆ และมีการปรับภูมิทัศสร้างน้ำตกให้ลิงโดยใช้งบประมาณของทางเทศบาลตำบลจอมบึงไปพอสมควรดูแลตรงนี้อย่างเป็นระเบียบ ต่อมากลายเป็นอุทยานพร้อมทั้ง ยกเลิกให้ทางเทศบาลดูแล ไม่ให้เข้าไปดูแล ซึ่งปกติจะดูแลกัน 3 ฝ่าย มีวัด เทศบาล และ สวนรุกชาติ ช่วยกันดูแล พอมาเป็นอุทยาน ทางอุทยานจะดูแลเอง และให้ทางเทศบาลและวัด ให้ขนย้ายสิ่งของและพระพุทธรูปดังกล่าวออก ตามที่ปรากฏในภาพดังกล่าว สิ่งใดที่เป็นของทางเทศบาลซึ่งได้ขึ้นทะเบียนเอาไว้ทางเทศบาลก็ขนย้ายออกมา ส่วนที่เป็นของวัด ซึ่งมีพระน้อยทางเทศบาลก็เลยให้ทางเจ้าหน้าที่เข้าไปช่วยกันขนย้าย ตามความประสงค์ของวัด
สำหรับพระพุทธรูป ห่างจะถามถึงว่าอยู่มานานแค่ไหน ต้องบอกว่า ตั้งแต่สมัยเจ้าอาวาสวัดจอมบึงขณะนั้น คือ ท่าน พระครูวาปีวรคูณ ชาวบ้านเรียกว่าหลวงพ่อคูณ ท่านเห็นความสำคัญหลักการที่ในถ้ำต้องมี พระประดิษฐาน และด้วยชาวบ้านยังร่วมกัน จัดประเพณีสงกรานต์ที่ถ้ำทุกปี จึงต้องมีพระพุทธสรงน้ำพระ ตามประเพณี ดังนั้นพุทธศักราช 2495 หลวงพ่อคูณซึ่งขณะนั้นท่านเป็น เจ้าอาวาสของวัดจอมบึง รูปที่ 2 และเป็นเจ้าคณะอำเภอในเวลานั้นด้วย จึงดำเนินการจัดสร้าง พระพุทธไสยาสน์องค์ขนาดกลางขึ้นประดิษฐานไว้ชิดกับผนังถ้ำใต้ปล่องอากาศถ้ำ ได้ช่างจากตำบลธรรมเสน อำเภอโพธาราม เป็นผู้สร้าง โดยมีหลวงพ่อคูณเป็นผู้ดำเนินการสร้าง และควบคุมพระลูกวัดจอมบึงช่วยขนทราย ขนหิน น้ำที่ใช้ในการก่อสร้างแบกหามปีนป่ายเข้าถ้าซึ่งลำบากมาก
หลังจากนั้นหลวงพ่อคูณ เจ้าอาวาสวัดจอมบึงได้ดำเนินการจัดงานประจำปีปิดทองพระพุทธไสยาสน์ถ้ำจอมพลในหน้าแล้งทุกปีจัดงานประมาณ 3 วันงานนี้ นับว่าเป็นงานประเพณีทุกปีของชาวชุมชนจอมบึง นอกจากการปิดทองพระพุทธไสยาสน์ยังมีงานมหรสพอย่างหลากหลาย และมีผู้คนที่เลื่อมใสพระพุทธไสยาสน์ เข้าร่วมปิดทองและเข้าชมงาน อย่างมากมาย พระพุทธไสยาสน์ ประดิษฐานในถ้ำจอมพลมีความงดงาม เป็นที่รวมใจ ในความศรัทธาเพื่อสักการบูชาของชาวจอมบึงตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน และนักท่องเที่ยวได้เข้าไปในถ้ำเพื่อกราบ ไหว้ชื่นชมพระพุทธไสยาสน์ในถ้ำ อย่างต่อเนื่องเสมอมา ทางเทศบาลและวัดช่วยกันดูแลปรับปรุงตรงนี้
นายสมบูรณ์ เทพสวัสดิ์ นายกเทศมนตรีตำบลจอมบึง กล่าวว่า หากถามความรู้สึกตรงนี้ เมื่อภาพที่ปรากฏ จากเดิมที่ผ่านมาหลายปีจนเป็นแหล่งท่องเที่ยวของอำเภอจอมบึง ที่หล่อหลอมชาวบ้านในอำเภอจอมบึงที่จัดงานประเพณีสืบสานกันมาทุกปี วันนี้ต้องหายไปโดยปริยาย ต่อไปต้องเป็นหน้าที่ของทางอุทยานแห่งชาติ ว่าจะพัฒนา หรือ เปิดถ้ำในอนาคตหรือไม่ ต้องรอทางอุทยานแห่งชาติเข้ามาดำเนินการปรับปรุง ทั้งระบบไฟฟ้า และ การเดินทางเข้าไปในถ้ำ ซึ่งอำนาจจะไปอยู่ที่กรมอุทยานแห่งชาติแล้ว
ทั้งนี้ทางเทศบาลตำบลจอมบึง จึงอยากเรียนให้กับประชาชนชาวอำเภอจอมบึง หรือ ชาวราชบุรี และ นักท่องเที่ยวที่เห็นการเข้าไปรื้อถอนและขนย้ายออกจากถ้ำนั้น เพราะอุทยานแห่งชาติเขามีกฎหมายบังคับ เพื่อทางอุทยานแห่งชาติจะเข้าไปดูแล ทำให้ทางเทศบาล และวัด ไม่มีสิทธิเข้าไปดูแลได้แล้ว ทางเทศบาลและวัดจำเป็นที่จะต้องเข้าไปรื้อออกตามอำนาจหน้าที่ของทางอุทยานแห่งชาติ ตนในฐานะผู้ที่คุ้นเคยและอยู่กับถ้ำจอมพลนี้มาตลอดต้องบอกว่ารู้สึกเสียดายและเสียใจ เมื่อวานนักท่องเที่ยวก็เดินทางมาแต่ก็เข้าไปเที่ยวไม่ได้ ต้องรอระยะหนึ่งว่ากรมอุทยานว่าจะปรับปรุงได้มากน้อยแค่ไหน
สำหรับพระพุทธรูปทั้งหมด โดยเฉพาะพระปางห้ามญาติ ตอนนี้ทางวัดจอมบึงได้นำกลับไปตั้งยังที่วัด ถ้าประชาชนชาวอำเภอจอมบึง ยังเคารพและนับถืออยู่ก็ไปเคารพและกราบไหว้ที่วัดจอมบึงได้
สำหรับ ถ้ำจอมพล ชื่อเดิมว่า “ถ้ำมุจลินท์” จากข้อมูล นายสุรินทร์ เหลือลมัย และ อาจารย์อัมพร อาศน์สุวรรณ ได้เขียนข้อมูลหลักฐานไว้เมื่อ เดือนมีนาคม 2547 ระบุว่า “การที่ชุมชนชาวจอมบึง ได้เรียกถ้ำมุจลินท์ก่อนที่จะเรียกถ้ำจอมพล อันไปเกี่ยวข้องกับเรื่องราวของพุทธประวัติ เรื่องพญานาค และสระน้ำ ชุมชนเข้าใจว่าเดิมนั้น มีสระน้ำมีพญานาคใต้บาดาล จึงตั้งชื่อว่า ถ้ำมุจลินท์
ต่อมา พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 6 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชรัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชสยามกุฏราชกุมารทรงเสด็จประพาส ซึ่งหนังสือสมุดราชบุรี ได้บันทึกข้อมูล เรื่อง พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 เสด็จประพาสถ้ำเขากลางเมือง ณ ตำบลที่ตั้งกิ่งอำเภอจอมบึง ไว้ ดังนี้
ระยะทางห่างประมาณ 800 เส้น มีบึงใหญ่บึงหนึ่งนามว่าจอมบึง ณ ริมขอบบึงนี้มีเขาลูก 1 สูง 185 เมตร เดิมเรียกกันว่า เขากลางเมือง ครั้นต่อมาเมื่อ ร.ศ.114 พระบาทสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 5 พระพุทธเจ้าหลวง พร้อมด้วยสมเด็จพระพันปีหลวง ได้เสด็จประพาสถ้ำที่เขานี้ เป็นที่ทรงโปรดปรานจึงได้พระราชทานนามถ้ำ แห่งใหม่ว่า “ถ้ำจอมพล” และ ถูกใช้เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน......-005
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี