ยิ่งใหญ่อลังการ ขบวนแห่ต้นกัลปพฤกษ์กลางน้ำโขง พุทธศาสนิกชนชาวนครพนม รวมใจทอดถวายสักการะรอยพระพุทธบาทเวินปลาอันศักดิ์สิทธิ์ ที่เป็นโขดหินกลางแม่น้ำโขง อยู่ท่าน้ำหน้าวัดพระบาทเวินปลา
วันที่ 14 เม.ย.66 เมื่อเวลา 07.30 น.ที่บริเวณริมแม่น้ำโขงท่าเทียบเรือท่องเที่ยว หน้าตลาดอินโดจีน ถนนสุนทรวิจิตร เขตเทศบาลเมืองนครพนม นายวันชัย จันทร์พร ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม นางสงวน จันทร์พร นายกเหล่ากาชาดจังหวัดนครพนม คณะหัวหน้าส่วนราชการ เจ้าหน้าที่ หน่วยงานต่าง ๆ และประชาชนในพื้นที่ ได้พร้อมใจสร้างต้นกัลปพฤกษ์จำลองเพื่อขึ้นเรือท่องเที่ยวพาราไดซ์ครูซ นำไปทอดถวายวัดพระบาทเวินปลา (วัดโพธิ์ชัย) หมู่ 1 ต.เวินพระบาท อ.ท่าอุเทน จ.นครพนม เป็นการร่วมกันสร้างบุญกุศลให้กับตัวเอง บุคคลในครอบครัวและอุทิศส่วนกุศลให้แก่ผู้ล่วงลับไปแล้วในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ประจำปี 2566 โดยล่องเรือสำราญทวนแม่น้ำโขงจากบริเวณทางขึ้น-ลงจากบริเวณดังกล่าวไปสักการะรอยพระพุทธบาทเวินปลาอันศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นโขดหินกลางแม่น้ำโขง อยู่ท่าน้ำหน้าวัดพระบาทเวินปลา รวมระยะทาง 13 กิโลเมตร
ทั้งนี้ พระเทพวรมุนี ที่ปรึกษาเจ้าคณะภาค 10 เจ้าอาวาสวัดพระธาตุพนมวรมหาวิหาร เมตตาเป็นประธานนำคณะสงฆ์และพุทธศาสนิกชนชาวจังหวัดนครพนมและนักท่องเที่ยว ซึ่งประกอบไปด้วย พระอาจารย์สุริยันต์ โฆสปัญโญ วัดป่าวังน้ำเย็น จ.มหาสารคาม พระอาจารย์สมัย รักขิตธัมโม เจ้าอาวาสวัดธาตุมหาชัย อ.ปลาปาก จ.นครพนม ร่วมเดินทางไปกับเรือสำราญด้วย
เมื่อเรือเทียบท่าหน้าวัดพระบาทเวินปลา จึงได้ร่วมกันตั้งขบวนแห่ไปรอบต้นศรีมหาโพธิ์ที่อยู่ภายในวัด 3 รอบ ก่อนที่จะนำไปทอดถวายเพื่อให้คณะสงฆ์ของวัดพระบาทเวินปลาได้ใช้ในการพัฒนา ให้มีความเจริญและคงอยู่คู่กับชุมชน เพื่อทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา และเป็นการสืบสาน รักษาขนบธรรมเนียมประเพณีอันดีงานให้คงอยู่สืบไป
การแห่ต้นกัลปพฤกษ์ทางน้ำ หรืออีกนัยหนึ่งว่าผ้าป่ากลางน้ำนี้ อาจจะเป็นแห่งแรกใน 20 จังหวัดภาคอีสาน มูลเหตุเกิดจากปี พ.ศ.2538 หลวงปู่คำพันธ์ โฆสปัญโญ พระเถราจารย์ชื่อดัง อดีตเจ้าอาวาสวัดธาตุมหาชัย อ.ปลาปาก จ.นครพนม ต้องการจะนำผ้าป่าสามัคคีไปทอดถวายยังวัดพระบาทเวินปลา โดยมีเจตนาใช้เส้นทางแม่น้ำโขง เนื่องจากหลวงปู่ศรีหมอก หรือพระครูพิมลชัยคุณ เจ้าอาวาสวัดพระบาทเวินปลา(ในขณะนั้น)เป็นสหธรรมิกกัน โดยปีดังกล่าวมีนายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช เป็นผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม (คนที่ 29) และ พลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ ดำรงตำแหน่งเป็นหัวหน้าพรรคความหวังใหม่ ได้มีหารือกันจึงเห็นพ้องจัดผ้าป่าสามัคคีทางน้ำ โดยใช้เรือบั๊กที่ใช้สำหรับบรรทุกรถยนต์ข้ามฟากไปยังฝั่งประเทศลาว เพราะขณะนั้นยังไม่มีสะพานมิตรภาพไทย-ลาวแห่งที่ 3 (นครพนม-คำม่วน) ต่อมาหลวงปู่คำพันธ์ละสังขารก็ไม่มีผู้ใดคิดจะสืบสานประเพณีดังกล่าวนี้
กระทั่งนายคมสิน ศรีมานะศักดิ์ อดีตผู้อำนวยการโรงเรียนปิยะมหาราชาลัย หลังเกษียณอายุราชการมาเป็นประธานสภาวัฒนธรรมจังหวัดนครพนม จึงหารือกับปราชญ์ชาวบ้านและผู้อยู่ในเหตุการณ์ครั้งนั้น จึงเป็นที่มาของพิธีทอดผ้าป่าสามัคคีทางน้ำ โดยกำหนดวันที่ 14 เมษายนของทุกปี ซึ่งตรงกับเทศกาลสงกรานต์ปีใหม่ไทยเป็นวันทอดผ้าป่าทางน้ำ ซึ่งปี 2566 เป็นปีที่สองหลังฟื้นฟูประเพณีดังกล่าวกลับขึ้นมาอีกครั้ง
ทั้งนี้ ต้นกัลปพฤกษ์เป็นต้นไม้ที่ชาวไทยโบราณ มีความเชื่อว่าเป็นต้นไม้ที่เป็นสิริมงคล นอกจากนี้ต้นกัลปพฤกษ์ยังปรากฏอยู่ในเรื่องราวของพระพุทธเจ้าโดยพระพุทธองค์ทรงตรัสพระธรรมเทศนาไว้ว่า ผู้ใดมีใจศรัทธามาก่อสร้างกัปปรุกขัง ยังต้นกัลปพฤกษ์ถวายบูชาคุณพระรัตนตรัยทั้งสามประการแล้วจะเป็นผู้มีอานิสงส์มาถึง 16 กัลป์และบุคคลผู้กระทำนั้น ครั้งสิ้นชีพไปแล้วจะได้ไปเกิดบนสวรรค์ ครั้งจุติจากสวรรค์แล้วก็จะมาเกิดในโลกมนุษย์นี้ ก็จะครองสมบัติพระจักรพรรดิราชในบ้านน้อยเมืองใหญ่ถึง 28 ชาติ
สำหรับประวัติรอยพระพุทธบาทเวินปลา เกิดขึ้นเมื่อครั้งพระพุทธเจ้าเสด็จผ่านพระธาตุอิงฮัง ประเทศลาว พอเสด็จผ่านบริเวณนี้พระองค์ได้แย้มพระโอฐ พระอานนท์เห็นจึงสงสัย จึงได้ตรัสถาม พระองค์จึงตอบว่ามีพญาปลาปากคำตัวหนึ่ง สมัยก่อนเคยเป็นพระภิกษุ และอยากจะได้ของที่ระลึก พระองค์จึงประทับรอยพระพุทธบาทไว้เป็นที่ระลึกกราบไหว้ของเหล่าพุทธบริษัทมาตราบจนถึงทุกวันนี้
โดยบริเวณรอยพระพุทธบาทเวินปลาเป็นน้ำวน ชาวไทยอีสานเรียกว่า "เวิน" ซึ่งหมายถึงตั้งอยู่ในวังน้ำวน และเชื่อกันว่าเป็นที่อยู่ของพญาปลาปากคำ (ปลาตะเพียนทอง) จึงเรียกว่า "เวินปลา" ทั้งนี้ รอยพระพุทธบาทเวินปลาอยู่ห่างจากฝั่งประมาณ 100 เมตร ห่างจากวัด 200 เมตรทุกปีช่วงเทศกาลสงกรานต์ จะมีงานนมัสการรอยพระพุทธบาท รวมถึงมีการสรงน้ำรอยพระพุทธบาทจำลอง และประเพณีรดน้ำดำหัว โดยมีสะพานเหล็กเดินข้ามไปจนถึงรอยพระพุทธบาท ที่เป็นโขดหินอยู่กลางแม่น้ำโขง
นอกจากนี้ยังมี "รองเท้ามาร" สันนิษฐานว่าเป็นชื่อที่ชาวบ้านเรียกเพื่อให้สัมพันธ์กับรอยพระพุทธบาท รอยนี้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ลักษณะเป็นรอยบุ๋มลงในหินคล้ายรอยเท้ามนุษย์ และใต้โขดหินนี้มีเศษอิฐกระจายเกลื่อน สันนิษฐานว่าเป็นซากอาคารเก่าที่ถูกน้ำกัดเซาะพังลง และยังเชื่อว่าในน้ำมีพระพุทธรูป 1 องค์ที่อยู่ใต้ผืนทรายลึก มีร่องรอยซากเจดีย์ก่อด้วยอิฐ 1 องค์ ปัจจุบันเหลือแต่ฐาน บริเวณนี้ยังมีเศษภาชนะดินเผาบรรจุกระดูกคนในสมัยโบราณ และที่สำคัญได้ค้นพบเศียรพระพุทธรูปสำริด 1 เศียร ขนาดกว้าง 3.8 เซนติเมตร สูง 5.6 เซนติเมตร ลักษณะมีพระเกศาขมวดขนาดเล็ก พระกรรณเป็นขมวดม้วนและมีรอยขีดยาวลงมาช่วงติ่งพระกรรณ เศียรพระมีร่องรอยการลงรักปิดทอง ด้านอายุนั้นนักวิชาการบางท่านเสนอความเห็นว่า น่าจะอยู่ในช่วงสมัยทวารวดี เป็นต้น - 003
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี