พระมงคลมิ่งเมือง ประดิษฐานอยู่ภายใน พุทธอุทยาน ตั้งอยู่ถนนชยางกูร ต.บุ่ง อ.เมืองอำนาจเจริญ ห่างจากตัวเมืองอำนาจเจริญ 3 กิโลเมตร ด้านทิศเหนือ ถนนชยางกูร สายหลัก อำนาจเจริญ –มุกดาหาร ซึ่งพุทธอุทยานมีเนื้อที่กว่า 144 ไร่ ท่ามกลางป่าไม้นานาชนิด ปกคลุม ทำให้บรรยากาศ ร่มรื่น เย็นสบาย และเพลิดเพลินกับนกกาจิ้งหรีดเรไรร้องเป็นเสียงเพลิงขับกล่อมตลอดเวลา จึงเหมาะสำหรับผู้ที่รักธรรมชาติเข้าไปพักผ่อนหย่อนใจ ปฎิบัติธรรม นั่งสมาธิเป็นอย่างยิ่ง
พระมงคลมิ่งเมือง มีพุทธลักษณะตามอิทธิพลด้านศิลปะอินเดียเหนือแคว้นปาละ ได้แผ่อิทธิพลมายังภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย เมื่อราวพุทธศตวรรษที่ 13 - 16 เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย หน้าตักกว้าง 11 เมตร ส่วนสูง วัดจากพื้นดินระดับต่ำสุดถึงยอดเปลว 20 เมตร โครงสร้างเป็นคอนกรีตเสริมเหล็กโดยตลอด ผิวนอกฉาบปูนด้วยกระเบื้องโมเสกสีทอง ก่อสร้างแล้วเสร็จสมบูรณ์เมื่อวันที่ 31 มีนาคม พ.ศ.2508
นอกจากนี้ ด้านทิศเหนือ ขององค์พระมงคลมิ่งเมือง จะเป็นที่ตั้งของ ครกหิน ลูกนิมิต จำนวนหนึ่ง ซึ่งขุดขึ้นมาจากหนองน้ำด้านทิศใต้ของพุทธอุทยาน เนื่องจาก เมื่อครั้งหลวงปู่แสง ยังมีชีวิตอยู่ ที่วัดพระมงคลมิ่งเมือง อยู่ติดพุทธอุทยาน นิมิตเห็นครกหิน,ลูกนิมิตฝังอยู่ใต้หนองน้ำ โดยมีเทวาอารักษ์รักษามาหลายพันปี จึงอยากให้นำขึ้นมาให้ประชาชนได้สักการบูชา ปกป้องรักษาชาวอำนาจเจริญ จึงได้ปรึกษา นายศักดิ์ชัย ตั้งตระกูลวงศ์ นายกเทศมนตรีเมืองอำนาจเจริญ (ตำแหน่งขณะนั้น) ต่อมา จึงได้อัญเชิญขึ้นมาจากหนองน้ำ โดยทำพิธีทางพราหมณ์และทางศาสนาอยู่ 3 วัน จึงสามารถนำขึ้นมาได้และนำไปตั้งไว้ที่พุทธอุทยานอย่างที่เห็นในปัจจุบัน
ส่วน ด้านหลังองค์พระมงคลมิ่งเมือง เป็นที่ประดิษฐาน องค์พระละฮาย 2 องค์ สลักด้วยหินทรายสีแดง ยังสลักไม่เสร็จ พุทธลักษณะตรงกับสมัยทวาราวพุทธศตวรรษที่ 10 - 12 ซึ่งขุดได้จากการก่อสร้างอ่างเก็บน้ำห้วยปลาแดกหรืออ่างเก็บน้ำพุทธอุทยาน เพื่อใช้ในการเกษตรและผลิตน้ำประปาหล่อเลี้ยงชาวเมืองอำนาจเจริญ ซึ่งอยู่ตรงข้าม พุทธอุทยาน
สำหรับทิศตะวันตก พื้นที่เป็นเขาหินดานตามธรรมชาติ สูงจากระดับพื้นดินเป็นดอนๆและเป็นที่ตั้งพุทธสถานสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาช้านาน เนื่องจาก พบหลักฐานสำคัญ คือ ยังมีรอยพระพุทธบาทจารึกและห่างไปก็จะเป็นป่ารกชัฏ มีถ้ำหลายถ้ำ
ก่อนเดินทางกลับ ญาติโยม พุทธศาสนิกชน จะแวะกราบขอพร ฟังพระธรรมเทศนา กับ พระสงฆ์ ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ สายวัดป่า ธรรมยุติ ที่ศาลากุฎิด้านทิศตะวันตก ซึ่งดูแลพุทธอุทยานมาหลายสิบปี เทศนาตอนหนึ่งว่า ญาติโยม ที่เดินทางมาหา จะมีความทุกข์แตกต่างกัน บางคน ทุกข์ เรื่อง ลูก คือลูกเกเร ไม่เรียนหนังสือ และมีจำนวนไม่น้อย ที่ทุกข์ เรื่องสามี เพราะสามีไปมีเมียน้อย จึงแนะนำให้มีสติ ค่อยๆ แก้ไขปัญหา หนทางมีทางออกเสมอ หากมีสติ และให้นั่งสมาธิ ปัญหาก็จะเบาบางลงหรือหมดไป
สำหรับ สมาธิมีอยู่ 3 ประการ คือขณิสมาธิ,อุปสารสมาธิและอัปปนาสมาธิ ซึ่งขณิสมาธิ คือ สมาธิในขั้นปริกรรม เช่น เรากำหนด พองหนอ ยุบหนอ การกำหนดอย่างนี้ เรียกว่า เป็นสมาธิในขั้น บริกรรมสมาธิ
ส่วน อุปจารสมาธิ เป็นสมาธิที่เฉียดญาณเข้าไป จวนๆ จะถึงญาณ แต่ยังไม่ถึงญาณ เราจะสังเกตเวลาเรานั่งสมาธิ เรานั่งไปๆ จิตของเราจะละเอียดเข้าๆแล้วก็ถอยออกมา แทบจะขาดความรู้สึก ยังไม่ขาด คืนไป มันไหลเข้าไปๆ ความรู้สึกของเรามันก็น้อยเข้าไปๆแล้วก็ถอยออก ถอยกลับมาคล้ายๆ เราเข้าญาณ คล้ายๆเราเข้าปฐมญาณ ทุติยญาณ คติยญาณ จตุตถญาณ ไปแล้วก็คอยกลับมา แล้วก็เข้าไปอีก แล้วก็ถอยกลับมา ตั้งอยู่ในลักษณะอย่างนี้ เรียกว่า เป็นสมาธิที่เฉียดญาณเข้าไป ใกล้ญาณเข้าไป จวนๆ จะถึงญาณ จะดับแต่ยังไม่ดับ อันนี้ เรียกว่า อุปจารสมาธิ
สำหรับ อัปปนาสมาธิ คือ สมาธิถึงจุดอันแน่นั่ง จิตสงบ อยู่ในอารมณ์อันเดียว เช่น เรากำหนดยุบหนอ พองหนอ จิตของเราก็อยู่กับอาการพอง อาการยุบ ไม่คิดไปเรื่องอดีต อนาคต ข้างหน้า ข้างหลัง ไม่วิ่งไปหารูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสธรรมารมณ์ใดๆหรืออารมณ์ใดๆ ทั้งสิ้น แต่จิตของเราหยุดนิ่งอยู่กับอารมณ์พระกัมมัฏฐาน เช่น เรากำหนดยุบหนอ พองหนอ จิตของเราอยู่กับอารมณ์พระกัมมัฏฐานนั้นๆ เรียกว่า อัปปนาสมาธิ
และเทศนาทิ้งท้ายว่า เมื่อฟังธรรมเทศนาในวันนี้เสร็จแล้ว ควรนำไปปฏิบัติ ให้เกิดประโยชน์แก่ตนเอง หากทำไม่ได้ทั้ง 3 ประการ ขอให้ตั้งใจทำ ตั้งใจปฏิบัติ ได้ข้อเดียวยังดี ถือว่า คลายทุกข์ระดับหนึ่ง...
- 006
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี