กำลังเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันอย่างหนัก สำหรับเนื้อหาบางช่วงในหนังสือแบบเรียนกลุ่มสาระภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่พูดถึงอาหารมื้อหนึ่งในเรื่อง ให้เด็ก (ในสถานสงเคราะห์) กินข้าวกับไข่ต้มครึ่งซีกเหยาะน้ำปลา ผัดผักบุ้ง และวุ้นกะทิ
ดร.ณัฐพงษ์ ลาภบุญทรัพย์ นักการศึกษา โพสต์เฟซบุ๊กของเขาว่า
“เมื่อเช้านี้มีคนแชร์ภาพจากหน้าหนังสือเรียนวิชาภาษาไทย ชื่อ ภาษาพาที ป.๕ ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับเด็กผู้หญิงชื่อข้าวปุ้น ล้อมวงกินข้าวกับตัวละครอื่นๆ โดยได้กินข้าวไข่ต้มเหยาะน้ำปลา วุ้นกะทิ และข้าวคลุกน้ำราดผัดผักบุ้ง และมีการอ้างว่า นี่คือชีวิตที่พอเพียง
ล่าสุดมีคนอ้างว่าตนเองเป็นฝ่ายประชาธิปไตยคนหนึ่ง แชร์คอนเทนต์นี้ไปวิพากษ์วิจารณ์เป็นการใหญ่ และแน่นอนว่าในคอมเมนต์ก็ตามมาด้วยคนมาแซะเรื่องความพอเพียง
เรื่องนี้มีสองประเด็น คือ
(๑) หนังสือเรียนเขียนแบบนี้สมควรหรือไม่
(๒) เราอ่านหนังสือที่เขาตัดมาเพียงหน้าเดียวแล้วตัดสินได้เลยหรือ
ก่อนอื่นต้องอธิบายก่อนว่า เรื่องที่เป็นแบบฝึกอ่านนี้ มีเรื่องราวเต็มๆ กล่าวถึงเด็กผู้หญิงชื่อข้าวปุ้นซึ่งเติบโตขึ้นมาในสถานสงเคราะห์ แต่เป็นเด็กมีสุขภาพจิตดีน่าชื่นชม
วันหนึ่งข้าวปุ้นพบว่าเพื่อนคนหนึ่งชื่อใยบัว เป็นคนมีฐานะ แต่ทุกข์ใจเพราะอยากได้โทรศัพท์มือถือใหม่ แต่ไม่ได้ และรู้สึกอยากตาย ข้าวปุ้นจึงอยากให้เพื่อนได้คิดว่า อันที่จริงความสุขในชีวิตไม่ได้จำเป็นต้องขึ้นกับวัตถุเสมอไป เธอจึงได้ชวนใยบัวให้มาที่บ้านสถานสงเคราะห์ของเธอ
(๑) ประเด็นแรกคือ คนเขียนหนังสือเรียนไม่ได้เจตนาร้าย แต่คนเขียนใช้คำว่าพอเพียงไม่สมกับบริบท เพราะแม้ข้าวปุ้นจะเป็นเด็กในสถานสงเคราะห์ผู้ดูแลก็ควรที่จะจัดอาหารที่มีคุณภาพและมีเครื่องอำนวยความสะดวกให้มากกว่านี้ แต่หากพิจารณาเรื่องโดยรวมแล้วก็พอเข้าใจประเด็นที่จะสื่อ แต่คนเขียนไม่เข้าใจเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงอย่างแท้จริง การเขียนแบบนี้เป็นโทษ เพราะเป็นการกระจายความเข้าใจผิดให้แก่สังคม และทำให้คนที่ไม่เข้าใจเศรษฐกิจพอเพียงปฏิเสธแนวคิดนี้ ทั้งๆ ที่เป็นปรัชญาซึ่งได้รับการยอมรับในระดับสากล เช่น องค์การสหประชาชาติ
ประเทศไทยมีความร่วมมือภายใต้แนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงกับนานาชาติในการสร้างความมั่นคงทางอาหารให้แก่ประเทศที่ต้องการความช่วยเหลือ อาทิ ติมอร์เลสเต และซูดานใต้ เพราะฉะนั้น การกินข้าวไข่ต้มหรือข้าวราดน้ำผัดผักบุ้ง ไม่ใช่ความพอเพียงแน่นอน แต่เป็นความขาดแคลน
เรียกว่าคนเขียนเรื่องนี้ขาดความรู้ เศรษฐศาสตร์ก็ไม่รู้ โภชนาการก็ไม่รู้ และที่สำคัญ บทอ่านที่ว่านี้ก็มีสำนวนภาษาธรรมดาๆ ชวนให้ตั้งคำถามว่า ตกลงแล้วหนังสือเล่มนี้ใช้ผู้เชี่ยวชาญจัดทำหรือไม่ หรือคุณภาพหนังสือเรียนเป็นเช่นนี้เอง จึงทำให้คุณภาพการเรียนการสอนวิชาภาษาไทยตกต่ำ ผมเองสอนนักเรียนมัธยมเป็นหลัก ไม่ได้เปิดหนังสือเรียนประถมเลย เจอเรื่องแบบนี้ก็ช็อกเหมือนกัน
เราสามารถเขียนเรื่องที่มีแก่นเกี่ยวกับการมีความสุขอย่างเรียบง่ายได้ โดยไม่ต้อง romanticise ความขาดแคลน
(๒) คนที่เอารูปหนังสือหน้าเดียวมา และแปะลิงก์ YouTube ที่มีเนื้อหาเต็มๆ ของเนื้อเรื่อง แต่จะเห็นว่าในบทวิพากษ์ที่คนคนนี้เขียน ไม่ได้กล่าวถึงภาพรวมของแก่นเรื่องเลย มุ่งโจมตีเฉพาะรายละเอียดปลีกย่อยที่ตัดมา ชวนให้ตั้งคำถามว่า ตกลงแล้ว เจตนาที่สื่อสารคือ ต้องการวิพากษ์หนังสือเรียน หรือตั้งเป้าโจมตีแนวคิดเรื่องความพอเพียง และแสวงหาประโยชน์ทางการเมืองจากความไร้คุณภาพของผู้เขียนหนังสือเรียนกันแน่
เพราะสังเกตดูแล้ว คนที่มาคอมเมนต์โดยมาก ก็ดูเหมือนจะไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่าเศรษฐกิจพอเพียงหมายถึงอะไร ยังเข้าใจว่าเป็นการกดคนให้ยอมจำนนต่อการไม่พัฒนา ซึ่งผิดมหันต์ เพราะเศรษฐกิจพอเพียงส่งเสริมการพัฒนาอย่างยั่งยืนและสนับสนุนความก้าวหน้า แทนที่ผู้สื่อสารจะ “educate” ผู้ติดตามว่า ความพอเพียงที่ถูกต้องหมายถึงอะไร กลับพูดย้ำความแต่เรื่องการสอนให้เด็กยอมจำนนต่อโชคชะตา ซึ่งไม่ใช่แก่นเรื่องของบทฝึกอ่านนี้
หรือว่าต้องการโจมตีคนอื่นเพียงเพื่อให้ตัวเองดูดีและแสวงหาความนิยมทางการเมือง
อยากให้ผู้เขียนหนังสือเรียนมาเห็นถึงผลกระทบอันเลวร้ายของการสักแต่ใช้คำพูดเรื่อยเจื้อยโดยปราศจากความเข้าใจของคุณ การวางเนื้อเรื่องที่สะท้อนถึงการขาดความรู้อย่างรุนแรงไม่รู้แม้กระทั่งเรื่องที่ตนเองกำลังเขียน คุณกำลังทำให้แก่นปรัชญาเพื่อการพัฒนาที่ได้รับการยอมรับในระดับสากลโดนบิดเบือนเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ทางการเมือง
ส่วนคนที่มาแสดงความคิดเห็นก็สะท้อนตนเองว่าไม่รู้จักหาข้อมูลเช่นกัน คิดเองเออเอง แล้วก็วิพากษ์วิจารณ์ไปตามความคิดของตน ข้อเท็จจริงก็ไม่รู้ หลักการก็ไม่สนใจ ดีครับ ได้เห็นเลยว่าคนประเภทเดียวก็มักจะไปกองอยู่รวมกัน หลอกง่าย ปั่นหัวง่าย นักการเมืองชอบครับ
คนโง่ที่ขยันทำอะไรโง่ๆ จะเป็นโอกาสของคนชั่วที่จ้องจะหาผลประโยชน์เข้าตัวครับ
สังคมจะเป็นแบบไหน เลือกกันเอง
คนโง่และคนชั่ว ไม่ควรมีที่ยืนครับ
ถ้าไม่มีใครดีๆ จะเขียนหนังสือเรียน จะไปช่วยเขียนให้นะครับ ไม่เอาเงินครับ สงสารสังคม
ด้าน นายอัมพร พินะสา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) ได้กล่าวถึงกรณีดังกล่าวว่า หนังสือเล่มนี้จัดทำขึ้นสำหรับนักเรียนเพื่อฝึกทักษะและทำให้เกิดการรักการอ่าน เน้นทักษะการอ่าน เขียน ฟัง ดู ผสานกับความเข้าใจลักษณะภาษาไทย เพื่อนำไปสู่การเรียนด้วยตัวเอง กระตุ้นความสนใจ ความสามารถ พัฒนาทักษะทางภาษา เหมาะแก่วัยชั้นปี และเต็มตามศักยภาพ เป็นพื้นที่การเชื่อมโยงการเรียนรู้ ปลูกฝังวัฒนธรรมทางภาษา ความเป็นไทย ความเป็นคนดีของสังคม
กรณีที่เป็นประเด็นดราม่า การตั้งคำถามถึงประเด็นโภชนาการที่ไม่เพียงพอของเด็ก เช่น การกินไข่ต้มครึ่งซีกกับข้าวคลุกน้ำปลา ผัดผักบุ้ง และขนมวุ้นกะทิ อาจไม่เพียงพอต่อปริมาณสารอาหารนั้น เป็นการตีความที่คลาดเคลื่อนของผู้โพสต์ ลักษณะใช้ตรรกะวิบัติ เอาเรื่องชีวิตประจำวันมาวิพากษ์วิจารณ์เรื่องที่แต่งขึ้น ทำให้เกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อน ถูกชักจูงจากการอ้างการสื่อสาร ทำให้เกิดความเข้าใจผิด สร้างความเสียหายต่อความน่าเชื่อถือของหนังสือเรียน ซึ่งมีลิขสิทธิ์และนำมาใช้กับนักเรียนด้วยเจตนาที่บริสุทธิ์ แต่เกิดกรณีแบบนี้เป็นการด้อยค่า ดูหมิ่นเกลียดชัง ทำให้เกิดความเข้าใจผิดต่อแบบเรียน และคุณภาพด้านวิชาการของเจ้าของลิขสิทธิ์เป็นวงกว้างได้
ขณะที่ นางเกศทิพย์ ศุภวานิช รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) รับทราบถึงเสียงสะท้อนจากคนในสังคมแล้ว และได้สั่งตรวจสอบเนื้อหาในตำราเรียน ภาษาพาที ป.5 และสั่งการให้คณะกรรมการ สำนักวิชาการ หารือกับผู้เขียน แก้ไขเพิ่มเติมเนื้อหาเพื่อการสื่อสารทำความเข้าใจให้ชัดเจนเรื่องโภชนาการอาหารใหม่ ในประเด็นที่ถูกวิจารณ์ว่าให้เด็กกินข้าวไข่ต้มครึ่งซีกคลุกน้ำปลาเป็นอาหารที่ไม่ครบ 5 หมู่ โดยจะมีการเติมข้อความย้ำว่าเป็นเพียงการยกตัวอย่างเท่านั้น
เมื่อประมวลเรื่องราวทั้งหมดแล้ว มีสิ่งที่จะต้อง “เคลียร์” กัน ดังต่อไปนี้
แท้จริงแล้ว กำลังถกเถียงกันเรื่องอะไร
1.1. เรื่องโภชนาการ
1.2. เรื่องหลักเศรษฐกิจพอเพียง
เรื่องโภชนาการนั้น แน่นอนว่า ดูแล้วไม่ครบหมู่หรือเพียงพอต่อหลัก “โภชนาการที่ถูกต้อง” แน่นอน แต่-เราตัดสินโภชนาการต่อวันหรือต่อมื้อ?, บริบทในเรื่องคือ “สถานสงเคราะห์” แม้ไม่อาจใช้เป็นข้ออ้างที่จะไม่จัดการอาหารและโภชนาการให้ครบคุณค่า แต่ถามจริงๆ เถิดว่า มีสถานสงเคราะห์กี่แห่งในประเทศนี้ ที่จัดได้อย่างถูกต้องจริงๆ แม้แต่ในบ้านทุกบ้านก็เถอะ จัดอาหารให้เด็กถูกต้องจริงหรือ?
ดังนั้น ประโยชน์ของเรื่องนี้ไม่ได้อยู่ที่หาว่าใครผิด ใครโง่ แต่ควรใช้เป็นจุดตั้งต้นคุยกันและให้ความรู้แก่คนทั่วไปเรื่องโภชนาการสำหรับเด็ก
ส่วนเรื่อง “ความพอเพียง” นั้น สื่อสารวิบัติอย่างเห็นๆ คนสมัยนี้แยกไม่ออกระหว่าง “พอ-พอดี-พอใจ-พอเพียง” เอะอะก็เหมาเป็น “พอเพียง” มั่วไปหมด แล้วก็จะมีประชากรสายพันธุ์หนึ่งที่พยายามด้อยค่า “หลักเศรษฐกิจพอเพียง” อยุ่ตลอดเวลา ทั้งๆ ที่ตัวเองก็ไมได้เข้าใจ เพราะอคติปิดกั้นการทำความเข้าใจ เมื่อไรสบช่อง ก็เป็นต้อง “โจมตี” หลักการนี้ทันที จึงเป็นโอกาสอันดีเช่นกัน ที่จะต้องสื่อสารให้สังคมเข้าใจหลัก “ความพอเพียง” ในแต่ละบริบท
ที่จริงเรื่องนี้ ไม่ควร “ยัดเยียด” ประเด็น “พอเพียง” ลงไป แค่ทำให้ตัวละครเข้าใจว่า สิ่งที่เธอมีหรือได้รับนั้น มันมากจนน่าพอใจแล้ว เมื่อเทียบกับอีกหลายคนที่ขาดแคลนหรือไม่มี เฉกเช่นเด็กที่สถานสงเคราะห์แห่งนี้
ดังนั้น จงพอใจในสิ่งที่มี และหาโอกาสเอื้อเฟื้อแบ่งปันให้แก่ผู้ที่มีน้อยกว่า หรือแทบไม่มีอะไรเลยด้วยกันเถอะ
จบ!!
พิฆาต ไพรี
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี