ก้าวต่อไปของวงการสุขภาพ และ ธุรกิจเพื่อสุขภาพจะไม่ได้จำกัดอยู่ที่การแข่งขันด้านการให้บริการ และ การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพเท่านั้น แต่นับจากทศวรรษนี้ไปจะก้าวสู่การแข่งขันกันคิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆทางการแพทย์เพื่อรับมือกับโรคอุบัติใหม่ และ โรคเก่าๆที่รักษายาก เพื่อเป็นเครื่องมือสำคัญให้แต่ละประเทศเกิดความมั่นคง และ การเติบโตทางเศรษฐกิจ รวมทั้งโรงพยาบาลเอกชนในไทยยังมีการปรับทิศทาง เพื่อผลักดันให้ไทยเป็น “เมดิคอล ฮับ” ที่ต่อยอดไปถึงนวัตกรรมใหม่ๆ
ร.พ.วิมุตชี้เทรนด์รักสุขภาพ ดันไทยเป็น “เมดิคอล ฮับ”
โรงพยาบาลวิมุตเป็นหนึ่งในธุรกิจของเครือ “พฤกษา” ซึ่งอยู่ในธุรกิจอสังหาริมทรัยพ์ที่ติด 1 ใน 5 ของไทย รวมทั้งโรงพยาบาลวิมุตยังเข้าซื้อกิจการของโรงพยาบาลเทพธารินทร์มาไว้ในเครือ ทำให้ล่าสุดมีการเปิดเผยผลประกอบการเป็นไปในทางบวก โดยทั้งโรงพยาบาลวิมุตและโรงพยาบาลเทพธารินทร์มีการเติบโต 70-90% ส่วนผลประกอบการของโรงพยาบาลวิมุต ซึ่งจัดอยู่ในประเภทโรงพยาบาลตติยภูมิ มีจำนวน เตียงให้บริการ 236 เตียง บนอาคารสูง 18 ชั้น และครบรอบการดำเนินงาน 2 ปี เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ.2566 มีผลการดำเนินงานในทิศทางที่เป็นบวก โดยผู้ป่วยที่ไม่ใช่กลุ่มโควิด (non covid) มีผู้มาใช้บริการเพิ่มขึ้น 80-90% มีผู้ป่วยนอกเพิ่มขึ้นกว่า 30% และ เป็นคนไข้ชาวต่างประเทศเพิ่มขึ้น 6-7% ส่งผลให้ผลประกอบการในไตรมาสแรกของปี 2566 ในส่วนของโรงพยาบาลวิมุตมีผลประกอบการ 412 ล้านบาท ส่วนโรงพยาบาลเทพธารินทร์ 226 ล้านบาท
นายแพทย์สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทโรงพยาบาลวิมุต โฮลดิ้ง จำกัด กล่าวว่า ขณะนี้ทางโรงพยาบาลกำลังขยายไปสู่การเป็นศูนย์การทางการแพทย์ (Medical Hub) โดยเริ่มทำที่มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ จังหวัดสงขลา ซึ่งพอสถานการณ์โควิดเริ่มคลี่คลาย จึงมองว่าการให้บริการทางการแพทย์อย่างครบวงจรเพื่อก้าวสู่การเป็นเมดิคอล ฮับ นั้น เป็นโอกาสของเป้าหมายของโรงพยาบาลวิมุตในปี 2566 เป็นต้นไป ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายภาพรวมของประเทศไทย โดยปัจจุบันธุรกิจสุขภาพของไทยมีมูลค่าการตลาด 300,000-400,000 ล้านบาท ซึ่งมีคู่แข่งคือ ประเทศสิงคโปร์ ซึ่งพบว่าประเทศการให้บริการทางการแพทย์ของสิงคโปร์ยังมีราคาแพงกว่าในไทยมาก
เทรนด์สุขภาพปี’66วัยรุ่นเน้นดูแลความสวยงาม ราคาแพงไม่เกี่ยง
การเดินหน้าเข้าสู่ความเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์ หรือ เมดิคอล ฮับ (Medical Hub) นั้น ปัจจุบันพบว่า ไม่ได้เป็นเพียงการให้การรักษาทางการแพทย์เท่านั้นที่ทำให้ธุรกิจโรงพยาบาลเติบโต แต่พบว่ากระแสของกลุ่มวัยรุ่นที่นิยมดูแลความงามด้านผิวพรรณ ยอมที่จะจ่ายเงินดูแลตัวเอง ซึ่งนายแพทย์สมศักดิ์ระบุว่า เคยส่งทีมวิจัยลงพื้นที่เพื่อศึกษาพฤติกรรมการดูแลสุขภาพพบว่า ผู้หญิงที่อายุน้อย หรือ ไวท์ คลอร่า เคยไปดริปวิตามินเพื่อให้ผิวพรรณดูดี โดยเฉพาะกลุ่ม Gen Z ยอมเสียเงินครั้งละ 2,000-3,000 บาท เพื่อดริปวิตามิน ส่วนในกลุ่มอายุ 60 ปีขึ้นไป จะเน้นการดูแลสุขภาพที่เรียกว่า เฮลท์ตี้ เอจจิ้ง (Healthy Aging)
“คนรุ่นใหม่ให้ความสนใจไม่เหมือนคนอายุ 60 ปีขึ้นไป ซึ่งตามหลักการแพทย์ยังต้องเน้นการให้ความสำคัญเรื่อง 3 อ. คือ ออกกำลังกาย , อาหาร และ อารมณ์ แต่ก็พบว่าในระยะหลังมานี้คนรุ่นใหม่ๆยินดีจ่ายเงินเพื่อดูแลความงาม โดยเฉพาะกลุ่มที่ทำงานออฟฟิส ทำให้โรงพยาบาลวิมุตมองโอกาสที่จะทำอะไรใหม่ๆร่วมกับธุรกิจสุขภาพเชิงป้องกัน หรือ เวลล์เนส (Wellness) และ การดูโพรไบโอติกส์ของลำไส้ รวมไปถึงการให้ความสำคัญในนวัตกรรมใหม่ๆ ในการรักษา เช่น กรณีของแองเจลีน่า โจลี่ ที่มีการตรวจพบยีนส์ที่จะทำให้เกิดเซลล์มะเร็งเต้านมจึงตัดเต้านมออก เพื่อไม่ให้เกิดมะเร็งขึ้นในอนาคต เพราะฉะนั้นเทรนด์สุขภาพในปี 2566 จึงเป็นในลักษณะตอบสนองผู้ใช้บริการในแต่ละ Gen ซึ่งปัจจุบันมีผู้ใช้บริการผ่าน ViMUT Application ถึง 46,000 รายแล้ว ก็จะเป็นฐานข้อมูลสำคัญของโรงพยาบาล” นายแพทย์สมศักดิ์กล่าวถึงแนวโน้มกระแสรักสุขภาพในปี 2566
โรครักษายาก ความท้าทายใหม่ด้านการแพทย์
ท่ามกลางกระแสรักสุขภาพที่เติบโตอย่างรวดเร็ว และ มีแนวโน้มที่ดี แต่ปรากฏว่าการคิดค้นวิทยาการใหม่ๆ และ การนำนวัตกรรมใหม่ๆ มาเพื่อรักษาผู้ป่วยในกลุ่มโรคที่รักษายาก กลายเป็นความท้าทายใหม่ของวงการการแพทย์ที่ยังต้องรักษาผู้ป่วยที่เป็นโรครักษายากให้สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ต่อไป หรือยืดอายุผู้ป่วยออกไปได้ นี่คือความท้าทายที่วงการการแพทย์ไทยยังให้ความสำคัญ
ส่วนนายแพทย์สมบูรณ์ ทศบวร ผู้อำนวยการ โรงพยาบาลวิมุต กล่าวว่า โรงพเยาบาลวิมุตยังเน้นการดูแลรักษาผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัวที่รักษายาก อาทิ หัวใจ , เบาหวาน , มะเร็ง และ กลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรังอื่นๆ ซึ่งมีสาเหตุส่วนใหญ่มาจากพันธุกรรม, อาชีพที่อยู่ในความเสี่ยง เช่น โรงงานที่มีสารเคมี และ สิ่งแวดล้อมในการประกอบอาชีพ เช่น ในโรงงานอุตสาหกรรม รวมทั้งเน้นการตรวจหาสาเหตุที่แท้จริงว่าโรคที่รักษายากนั้นเกิดจากอะไร ซึ่งพบว่าปัจจุบันผู้ป่วยโรครักษายากมีความซับซ้อนมากขึ้นในการหาสาเหตุของโรค
เทรนด์สุขภาพโลกอีก 2 ปีข้างหน้าต่อยอดสู่การคิดค้น “นวัตกรรมใหม่”
การก้าวสู่ “เมดิคอล ฮับ” ของธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนน้องใหม่อย่างโรงพยาบาลวิมุต แม้จะก้าวสู่ขวบปีที่ 2 แต่ก็มีรายได้เติบโตอย่างก้าวกระโดด นี่แสดงให้เห็นว่าเทรนด์การดูแลสุขภาพของคนยุคนี้ยังมีแนวโน้มการเติบโตในทิศทางบวก ขณะที่การมุ่งเน้นการรักษาโรคที่หายยากและมีความซับซ้อนกลายเป็นเป้าหมายที่ท้าทายสำหรับวงการแพทย์
การก้าวสู่เมดิคอล ฮับ ของไทยนั้น ที่ผ่านมา มีการมุ่งเน้นไปที่การให้บริการเป็นหลัก และ จัดอยู่ในกลุ่มท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ซึ่งไทยก็เป็นส่วนหนึ่งในเม็ดเงินนั้น โดยพบว่า Global Wellness Institute (GWI) ได้มีการคาดการณ์ว่า ในอีก 2 ปีข้างหน้า หรือ ปี 2568 เศรษฐกิจเพื่อสุขภาพทั่วโลก (Global Wellness Economy) จะมีมูลค่าประมาณ 7 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 230 ล้านล้านบาท ในสัดส่วนดังกล่าวมีมูลค่าจากการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ 4.36 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 14 ล้านล้านบาท และ ธุรกิจสปา 6.8 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 2.2 ล้านล้านบาท นอกจากนี้ GWI ยังคาดการณ์ด้วยว่า ตั้งแต่ปี 2563-2568 ธุรกิจสปาจะมีการเติบโตเฉลี่ยต่อปี อยู่ที่อัตรา 17.2% ส่วนการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ จะเติบโตเฉลี่ยที่อัตรา 20.9%
แต่ในก้าวต่อไป นับจากปี 2566 ความท้าทายที่ทั่วโลกเผชิญกับโรคระบาดโควิด-19 มาร่วมกันนั้น กลายเป็นประเด็นต่อยอดให้แต่ละประเทศพยายามคิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆทางการแพทย์ ทั้งรับมือกับโรคระบาดใหม่ และ การรักษาโรคเก่าๆที่รักษาได้ยากและมีความซับซ้อนด้านสาเหตุการเกิดของโรค เพื่อนวัตกรรมเหล่านี้จะต่อยอดทั้งในเชิงความมั่นคงของประเทศนั้นๆ , การต่อยอดเชิงเศรษฐกิจที่เชื่อมโยงกับทุกมิติ และ การก้าวสู่ความเป็นผู้นำทางด้านการคิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆทางการแพทย์ โดยไม่ได้มองเพียงแค่ปลายทาง คือ การให้บริการเท่านั้น
ขอบคุณข้อมูล:- https://w9wellness.com/wellness-trends-2023/
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี