'พอล ภัทรพล' ยกเคสประสบการณ์ตรง ปม 'ผู้จัดการมรดก' ฟันธง 'พิธา' รอดคดีถือหุ้นสื่อแน่นอน ลั่นแต่มี 1 คนที่ไม่ควรรอด
'พอล ภัทรพล' อดีตนักแสดงชื่อดังที่ผันตัวไปทำธุรกิจและมักจะทำคลิปให้ความรู้เรื่องการเงิน ผ่านทางช่องติ๊กต็อก paulpattarapon ล่าสุด 'พอล ภัทรพล' โพสต์คลิปอธิบายถึงกรณี นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ปมถือหุ้น ITV ที่มีความยาว 09.44 น. โดยเจ้าตัวระบุข้อความไว้ว่า " คุณพิธารอดคดีหุ้นITV แน่นอน! แต่ มี 1 คนที่ไม่ควรรอด! "
โดยในคลิป พอล กล่าวว่า " ทำไมคุณพิธา ถึงจะรอดคดีหุ้นสื่อ ITV แน่นอน แต่มันจะมีอยู่คนนึงครับที่ไม่ควรรอด คือใคร? ก่อนอื่นเนี่ย ต้องขอออกตัวก่อนว่า ที่ทำคลิปนี้ ไม่ใช่เพราะเชียร์คุณพิธา ผมเชียร์ความถูกต้อง ความยุติธรรม ผมเชียร์ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข หมายความว่า ถ้าคนอื่นที่ไม่ใช่คุณพิธา จะเป็นใครก็ตามเจอแบบนี้เหมือนกัน ผมก็ยังทำคลิปนี้อยู่ดี ผมเคยผลิตรายการให้กับไอทีวีครับ และที่บ้านผมก็มีประสบการณ์ตรงด้วยกับเรื่อง "ผู้จัดการมรดก" และทั้งคลิปนี้ยึดตามหลักกฎหมายทั้งสิ้นครับ สามารเช็คได้
เราเริ่มจากกฎหมายก่อนว่า ทำไมเขาไม่อยากให้นักการเมืองหรือว่า ส.ส. ถือหุ้นสื่อ กลัวว่านักการเมืองหรือว่า ส.ส. จะไปมีอิทธิพลต่อสื่อ เช่น เขียนข่าวเชียร์ หรือว่าพูดเชียร์ ซึ่งจะทำให้ได้เปรียบกว่าผู้อื่น ในระยะหลัง มีคดีคล้ายๆ กันที่ศาลตัดสินไปแล้วเมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2566 เป็นคดีของ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ที่ถือหุ้น AIS 200 หุ้น ซึ่ง AIS มีบริษัทลูกที่ทำสื่อ แต่ศาลตัดสินว่าไม่ผิด ด้วยเหตุผลว่า ถือหุ้นสื่อน้อยไป น้อยจนไม่มีอำนาจไปสั่งการใดๆ ซึ่งก็เหมือนคุณพิธา ที่ถือหุ้น ITV เพียงแค่ 42,000 หุ้น ซึ่งคิดเป็น 0.0035% เท่านั้นเอง
จริงๆ แค่เนี่ยควรจะจบแล้ว แต่ยังมีมากกว่านี้ มีพีคกว่านี้ มีเคส ส.ส. พลังประชารัฐ ถือหุ้นสื่อและบริษัทนี้จดวัตถุประสงค์ด้วยนะ ว่าเขาเป็นสื่อ แต่ศาลท่าน ไม่ได้ดูแค่นี้ ดูลึกลงไปกว่านี้ และค้นพบว่า บริษัทนี้ไม่ได้มีรายได้จากสื่อ แต่มีรายได้จากการฝึกอบรม ศาลจึงตัดสินว่าไม่ผิด มีอีกเคสพรรคภูมิใจไทย ที่ถือหุ้นสื่อ และตัวแทนบริษัทจดวัตถุประสงค์ด้วยว่าตัวเองเป็นสื่อ แต่พอดูงบการเงินรายได้จากบริษัทนี้ ไม่ได้มาจากสื่อ แต่รายได้มาจากการจัดแข่งขันกีฬา ศาลก็เลยวินิจฉัยว่าไม่ผิด ซึ่งก็ไม่ต่างจากเคสของคุณพิธาเลย ทุกวันนี้รายได้ของ ITV มาจากการลงทุนเท่านั้น ไม่ได้มาจากสื่อ นี่ยังไม่รวมว่ารายได้เพียงแค่ 20 ล้านบาท แต่เป็นหนี้ถึง 1,600 ล้าน ซึ่งจริงๆแค่เนี่ย ก็จบได้แล้ว แต่ยังไม่ใช่เรื่องพีค!
แต่เรื่องที่พีคคือผู้จัดการมรดก เนื่องจากที่บ้าน มีประสบการณ์ตรงเรื่องนี้เช่นกัน ซึ่งตนมองว่าเรื่องนี้ไร้สาระมาก มันไม่ควรเป็นเรื่องเลยด้วยซ้ำ เพราะว่าผู้จัดการมรดกนั้น ไม่ใช่เจ้าของมรดก ไม่เชื่อไปดูนิยามกัน นี่คือเว็บไซต์กระทรวงยุติธรรม ระบุว่า ผู้จัดการมรดก มีหน้าที่รวบรวม ทำบัญชี และแบ่งปันทรัพย์สิน ซึ่งเป็นมรดกของผู้ตายให้กับทายาทผู้มีสิทธิรับมรดกของผู้ตาย และที่สำคัญ ผู้จัดการมรดก ต้องเป็นบุคคลซึ่งศาลมีคำสั่งตั้งให้เป็นผู้จัดการมรดก ผมแนะนำทุกท่าน ลองอ่านเอง ซึ่งไม่มีประโยคไหนเลยที่บอกว่า ผู้จัดการมรดกเป็นเจ้าของมรดก เพราะถ้าเป็น เขาจะเขียนไว้เลยว่า ผู้จัดการมรดกนั้นเป็นเจ้าของมรดก สรุปแบบภาษาเข้าใจง่าย ผู้จัดการมรดกคือมีหน้าที่ไปรวบรวมทรัพย์สิน รวมถึงหนี้สินด้วย
ยกตัวอย่างเคสบ้านผม ตอนนั้น คุณพ่อผมเสีย เราก็เลยเหลือกัน 5 คน มีคุณแม่ พี่สาว 3 คนแล้วก็ผม ทีนี้ตามกฎหมายเราก็ต้องเลือกผู็จัดการมรดก ซึ่งต้องบอกเลยว่า การเป็นผู้จัดการมรดกนั้น หน้าที่นั้นเหนื่อยมากๆนะครับ คือต้องเสียสละมากๆ ตอนนั้นในบ้านผมก็ต้องเลือกว่าใคร ตัดคุณแม่ออกก่อนเลย เพราะคุณแม่อายุมากแล้ว จะให้คนอายุ 70 เนี่ยวิ่งไปธนาคาร วิ่งไปกรมที่ดิน คงไม่เหมาะ ก็เลยเหลือพี่น้อง 4 คน ซึ่งทุกคนมีงานทำทุกคน แล้วก็ยุ่งทุกคน สุดท้ายได้ข้อสรุปว่า พี่สาวคนที่ 2 เป็นผู้จัดการมรดก ซึ่งทั้งบ้านโคตรเห็นใจเพราะงานมันยากและยุ่ง ยังไม่รวมว่าไม่มีค่าจ้างอะไรด้วย ยกตัวอย่างเช่น ถ้าพ่อผมมีเงินฝากอยู่ 5 ธนาคาร พี่สาวผมก็ต้องไป 5 ธนาคาร ถ้าพ่อผมมีที่ดิน ก็ต้องไปกรมที่ดิน ถ้ามีที่ดินอยู่จังหวัดอื่น ก็ต้องไปกรมที่ดินจังหวัดนั้นด้วย ถ้าพ่อผมมีหนี้สินสัก 3 แบงก์ พี่สาวผมก็ต้องไปคุยกับธนาคารทั้ง 3 ธนาคาร ซึ่งตอนนั้นพี่สาวผมทำงานประจำ แต่คำถามคือ แล้วพี่สาวผมถือว่าเป็นเจ้าของมรดกไหม คำตอบคือไม่ใช่......"
พอล ยังกล่าวทิ้งท้ายอีกว่า " แต่มีคนหนึ่งที่ผิดเต็มๆ คือ คสช. เพราะการทำปฏิวัติรัฐประหารนั้น ผิดกฎหมายอาญามาตรา 113 อยู่ภายใต้หมวดสองว่าด้วยความมั่นคงของรัฐ ทุกคนสามารถหาข้อมูลได้ ซึ่งกฎหมายนี้มีมานานหลายทศวรรษแล้ว เขียนไว้ชัดเจนว่า ล้มล้างหรือเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญ ผู้นั้นกระทำความผิดฐานเป็นกบฏ ต้องระวางโทษประหารชีวิต หรือจำคุกตลอดชีวิต (ต้องบอกก่อนว่าผมไม่อยากเห็นใครถูกประหารชีวิตนะครับ) ล้มล้างอำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร หรืออำนาจตุลาการแห่งรัฐธรรมนูญ หรือให้ใช้อำนาจดังกล่าวแล้วไม่ได้ หรือ แบ่งแยกราชอาณาจักรหรือยึดอำนาจปกครองในส่วนหนึ่งส่วนใดแห่งราชอาณาจักร..."