การซื้อสัตว์ไปปล่อยเพื่อเป็นการแก้กรรมสามารถทำให้กรรมที่ก่อขึ้นหมดสิ้นหายไปได้จริงหรือ! แล้วบาปกรรมที่ทำไว้ของบุคคลนั้น มีปริมาณ มากน้อยไม่เท่ากัน พฤติกรรมต่างกันไป ตั้งแต่พูดจาโกหกหลอกลวง ต้มตุ๋น ทำแท้ง ข่มขืน ฆ่าคนตายทำร้ายคนอื่นบาดเจ็บ ด่าทอว่าร้าย ลักเล็กขโมยน้อยปล้นชิง ผิดลูกผิดเมียผิดผัวเขา คอรัปชั่น หรืออื่นๆ อีกมากมายต้องแก้กรรมกันสักเท่าไรจึงจะหมดสิ้นไป และเมื่อไปทำบุญปล่อยนกปล่อยปลาปล่อยเต่าแล้วแก้กรรมนั้นได้จริงหรือ? หรือแม้แต่คนที่มีอุปสรรคในชีวิต เช่นเรื่องความรัก หน้าที่การงาน ฐานะการเงิน หากได้ไปปล่อยสัตว์ จะทำให้ชีวิตดีขึ้น อย่างมากมายทันตาหรือและจะเกิดบุญขึ้นทันทีแล้วไปลบล้างบาปที่เป็นความผิดมหันต์ได้จริงหรือ!!
การปล่อยสัตว์เพื่อเป็นการไถ่บาป-เอาบุญนั้นเป็นความเชื่อของคนไทย ไม่ทราบว่าเกิดขึ้นมาแต่เมื่อใด แต่ดูจะอยู่คู่กับการนับถือศาสนาพุทธ แต่ขณะเดียวกันก็ยังเจือความเชื่อ เรื่องไสยศาสตร์ การเข้าเจ้าเข้าทรง การนับถือผี การนับถือเทพเจ้า ตามคติศาสนาพราหมณ์-ฮินดูของอินเดีย การกราบไหว้เจ้าพ่อเจ้าแม่ตามความเชื่อของจีน ปนเปรวมกันอย่างแยกไม่ออกมานานแล้ว ดังปรากฏในการพิธีทั้งงานมงคล อวมงคล เรียกว่ามีพิธีกรรมชนิดรวมมิตรศาสนาและลัทธิความเชื่อกันเลยทีเดียวผูกพันคนในสังคมไทยมายาวนาน
กระแสความเชื่อการปล่อยสัตว์เพื่อไถ่บาปแก้กรรม ถูกแบ่งเป็นหลายฝ่ายหลายความเชื่อความคิดมาตลอด ฝ่ายแรกมองว่าดี เป็นการทำบุญไถ่ชีวิตให้สัตว์ที่กำลังจะตายกำลังจะถูกฆ่าให้ได้รับอิสรภาพ อีกฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยและคัดค้าน ก็เพราะเห็นว่าเป็นการทรมานสัตว์ ขณะที่ผู้ทรงความรู้ ศึกษาธรรมะ ก็บอกว่านี่ไม่ใช่หลักพระพุทธศาสนา เพราะบาปกรรม-บุญกุศล เอามาลบล้างกันไม่ได้
แต่ก็ยังมีฝ่ายประนีประนอมมองว่า การปล่อยสัตว์ไปก็ไม่เสียหายอะไรอย่าคิดมากซื้อปลาไปปล่อยลงแม่น้ำลงคลองไปก็ยังดีกว่าปล่อยให้ลงหม้อต้มยำทำแกง ปล่อยแล้วสบายใจได้บุญ(และอาจล้างบาปกรรมไปในตัว) ส่วนเมื่อปล่อยสัตว์ไปแล้ว เช่น ปลา จะแหวกว่ายไปไหนต่อก็เป็นเรื่องของปลา ว่าจะรอดไหม นกเมื่อปล่อยบินไปแล้ว จะถูกจับอีกหรือเปล่า ก็ไม่น่าจะเกี่ยวกับคนที่นำไปปล่อย บาปก็ไม่น่าจะติดตามไปเพราะถือว่าได้ทำบุญไปแล้ว
ต่างคนต่างจิตต่างใจเรียกว่า "หลายคนยลตามช่อง" แต่หากมองตามเจตนาของทุกฝ่ายดังกล่าว ก็พอจะเข้าใจว่าเจตนา อยากปล่อยให้สัตว์ ได้รับอิสรภาพรอดพ้นจากความตาย เหมือนๆกัน
ปัจจุบันสัตว์ที่คนทำบุญนิยมปล่อยมากที่สุด เรียงตามลำดับ คือ 1.ปลาไหล 2.หอยขม 3.นก 4.เต่า 5.ปลาหมอ และสัตว์อื่นๆ
การปล่อยชีวิตสัตว์ในสมัยก่อน ส่วนใหญ่แล้ว มักจะไปที่โรงฆ่าสัตว์เพื่อไถ่ชีวิตซื้อสัตว์ที่กำลังจะถูกฆ่าเป็นอาหารนำไปปล่อยให้รอดไปหรือนำไปเลี้ยง แต่ทุกวันนี้ การเชือดสัตว์ดังกล่าวไม่ว่าจะเป็น หมู วัว ควาย มักจะอยู่ตามโรงงานอุตสาหกรรม แหล่งเชือดใหญ่ๆ ที่แปรรูปสัตว์เป็นอาหาร ส่วนตามหัวเมืองใหญ่ หรือตามต่างจังหวัด ก็ยากที่จะเข้าไปซื้อ
ขณะเดียวกัน เราก็มักจะเห็นคนไถ่ชีวิตให้ โค-กระบือ หรือ วัว-ควาย มากกว่า สุกรหรือหมู ซึ่งไม่ค่อยเห็นไปไถ่ชีวิตกันสักเท่าไร (เป็นไปได้ว่าปล่อยหมูไปแล้วจะเอาไปไหนต่อ) ซึ่งหากมองในแง่ของการมีชีวิต หมู วัว ควาย ก็มีชีวิตเหมือนกันไม่ได้ต่างกันตรงไหนจึงมักจะกลายเป็นข้อแย้งกันอยู่เสมอว่าแล้วหมูมันไม่มีชีวิตหรืออย่างไร(เหมือนคนไม่กินเนื้อแต่กินหมู ส่วนความเชื่อของบางศาสนาก็เป็นอีกเรื่อง) แต่คนมักจะมองว่า วัว ควาย เป็นสัตว์ใหญ่มีบุญคุณกับคนช่วยทำไร่ไถนาเป็นพาหนะในอดีต ซึ่งหากพิจารณาตรงนี้ ก็เท่ากับเป็นการแบ่งชั้น แบ่งชนิดสัตว์ ตีค่าราคาของชีวิตที่ไม่เท่าเทียมกันอีก
เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไปและความเชื่อเข้ามาประกอบ อีกทั้งความสะดวก รวมถึงค่าใช้จ่ายในการ "โปรดสัตว์" ซึ่งแน่นอน โปรดสัตว์ใหญ่ก็ต้องจ่ายแพง สัตว์เล็กก็สบายกระเป๋าหน่อย
การทำบุญปล่อยสัตว์เราจึงมักจะพบเห็น ประเภท ปลา เต่า นก กบ หอย ที่เป็นสัตว์เล็ก ได้ทั่วไป เพราะสามารถหาซื้อได้ง่ายตามตลาดสด หรือมีบริการตามบริเวณวัดต่างๆอยู่เกลื่อนกลาด อำนวยความสะดวกผู้มาทำบุญ ตักบาตรถวายสังฆทานปล่อยนกปล่อยปลา ไม่ต้องเตรียมอะไรไป ขอเพียงมีเงินพอ ทางวัดและพ่อค้าแม่ขายมีให้พร้อมแบบครบวงจร
กระแสที่มองการปล่อยสัตว์แต่ได้บาปนั้น ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการติดตามข่าวสาร ในโซเชียลมีเดีย โลกแห่งการสื่อสารไร้พรมแดน การเข้าถึงข้อมูลทุกอย่างไม่ได้ถูกจำกัดอยู่ในวงแคบอีกต่อไป
มีรายงานและข้อมูลเผยแพร่ออกมาอยู่เสมอทั้งภาพและข่าวถึงความทุกข์ทรมานของสัตว์ ที่ถูกนำไปปล่อยเอาบุญเป็นที่น่าสังเวชใจยิ่งนัก เช่น "เต่า" ซึ่งเป็นสัตว์เลื้อยคลาน ไม่ใช่สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำอย่างที่เข้าใจกัน อย่าง เต่าน้ำจืด แม้โดยธรรมชาติ จะพบเห็นมันได้ตามห้วยหนองคลองบึงหรือแม่น้ำ แต่จริงๆแล้วเต่าน้ำจืด ชอบขึ้นมานอนผึ่งแดดฝังตัวอยู่ในโคลนตมเสียเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้น หากปล่อยเต่าลงแหล่งน้ำใหญ่ๆจึงมีโอกาสรอดชีวิตน้อยมากเพราะธรรมชาติมันจะอยู่ริมฝั่งหรือบนบกมากกว่านั่นเองต่างจากเต่าทะเล
ส่วน "เต่าบก" ในประเทศไทย เช่น เต่าหก เต่าเขาสูบ เต่าเหลือง ก็ล้วนอยู่ตามป่า ภูเขาสูง หากถูกปล่อยลงน้ำจะจมน้ำตายเพราะว่ายน้ำไม่เป็นต่างจากตะพาบน้ำที่มักถูกจับมาทำเป็นอาหารอยู่บ่อยๆ
"ปลาไหล" ในประเทศไทยปัจจุบัน ตามธรรมชาติพบได้น้อยมากส่วนใหญ่ถูกนำเข้ามาจากประเทศเพื่อนบ้าน ผ่านการขนส่งอันยาวไกลหลายทอดกว่าจะมาถึงมือผู้ใจบุญ ธรรมชาติอาศัยอยู่ในน้ำแฉะ มีดินโคลนให้มุดหากไปปล่อยในน้ำลึกไหลเชี่ยวก็ไม่สามารถมีชีวิตรอดได้
"หอยขม" ก็เช่นกัน ธรรมชาติอยู่ในดินโคลน ถูกปล่อยลงแม่น้ำก็จมน้ำตาย
ส่วน "นก" ที่ถูกนำมาปล่อยส่วนใหญ่เป็นนกชนิดเล็กเช่น "นกกระติ๊ด" ซึ่งต้องอยู่ในกรงเล็กๆเมื่อถูกจับมาเพื่อส่งขาย บางตัวต้องตายบอบช้ำ พิการ บางตัวที่ถูกซื้อปล่อยไปก็ไม่มีแหล่งหากินต้องอดตายในเมือง เพราะไม่มีแหล่งอาหาร
โดย พระเท้าเปล่า
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี