“เด็กไทย” ถูกใช้ความรุนแรงเป็นอันดับ 2 รองจากประเทศญี่ปุ่น ซึ่งความรุนแรงเล็กๆ นำไปสู่การกราดยิง โดยมีสาเหตุมาจากเกม สุรา ยาเสพติด และ อาวุธปืน โดยทุกประเทศทั่วโลกมีการนำเงินกว่า 11% ของจีดีพีประเทศมาใช้เพื่อแก้ปัญหาความรุนแรงในเยาวชนขณะที่ไทยใช้เงินสูงถึง 4% ของจีดีพี เพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว โดยพบว่าเด็กที่ได้รับความรุนแรง 4 ครั้งขึ้นไป จะกลายเป็นผู้ใหญ่ที่ใช้ความรุนแรงถึง 7 เท่าจากที่ได้รับในวัยเด็ก” นี่คือข้อมูลบางส่วนที่ รศ.ดร.สุมนทิพย์ จิตสว่าง อาจารย์ประจำจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผยผ่านเวทีเสวนา “ร่วมสร้างสังคมไทยปลอดภัยจากความรุนแรง ด้วยวิจัยและนวัตกรรม” ซึ่งจัดโดย ”สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.)” กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เมื่อต้นเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา โดยเป็นการเสวนาในรูปแบบออนไลน์ (VDO Conferrence) ผ่านโปรแกรมซูม (ZOOM) และ เฟสบุ๊ค ไลฟ์ (Facebook Live) ของ วช.
เช่นเดียวกับ “รศ.นพ.สุริยเดว ทรีปาตี” ผู้อำนวยการศูนย์คุณธรรม (องค์การมหาชน) กล่าวถึงประเด็นลดความรุนแรงในสังคมไทย โดยใช้พลังบวก ว่า ปัจจุบันศูนย์คุณธรรมได้ดำเนินโครงการ “ทุนชีวิต” และ ร่วมกับมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร.) ในการจัดทำดัชนีชี้วัดคุณธรรม และ ทุนชีวิตพลังบวกในโอกาสวันวิสาขบูชา รวมทั้งมีการจัดทำระบบพี่เลี้ยงในโครงการทุนชีวิตเพื่อสร้างฐานสังคมให้แข็งแกร่ง ภายใต้วิธีคิดในเรื่อง “ไมโครซิสเต็ม” (Micro System) รวมทั้งบูรณาการระบบดิจิทัลที่เข้มแข็ง โดยในส่วนไมโครซิสเต็มประกอบด้วย 2 แบบ ได้แก่ แบบแรก สำหรับเด็กมีองค์ประกอบ คือ บ้าน, ชุมชน และ โรงเรียน ส่วนแบบที่สอง สำหรับผู้ใหญ่มีองค์ประกอบ ได้แก่ บ้าน ชุมชน และ ที่ทำงาน
ขณะที่ “รศ.ดร.สุณีย์ กัลยะจิตร” นักวิจัย และอาจารย์ประจำมหาวิทยาลัยมหิดล บรรยายในหัวข้อ “นวัตกรรม...รู้ไว้ป้องกันภัยความรุนแรง” โดยเปิดเผยข้อมูลไว้อย่างน่าสนใจ ได้แก่ ในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ผ่านมา ได้มีการทำการวิจัยข้อมูลใน 2,480 ครอบครัว โดยร่วมกับมหาวิทยาลัยราชภัฎสวนดุสิต และ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช ซึ่งมีประเด็นที่มาจากเด็กและคุณครู ซึ่งสะท้อนให้เห็นสาเหตุความรุนแรงในสังคม และโอกาสการลดความรุนแรง เช่น การใช้โซเชียล มีเดีย ที่เกินความจำเป็น , พื้นฐานของครอบครัวมีส่วนสำคัญในการทำให้เกิดทัศนคติที่ดี และเพศศึกษาได้อย่างถูกต้อง นอกจากนี้ยังพบว่า พื้นที่เสี่ยงในชุมชน และ โรงเรียนซึ่งได้จากการสำรวจดังกล่าวมีส่วนสำคัญที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงในการใช้ความรุนแรง ได้แก่ ห้องน้ำ, ห้องเรียนที่เงียบสงบ รวมทั้งชุมชนที่มีพื้นที่เหมาะแก่การมั่วสุม ทั้งอยู่ในจุดอับ ,จุดทึบ และ มีความสกปรก
“ในส่วนนี้เราได้มีผลผลิตต่อยอดจากการวิจัย โดยคิดค้นแอพพลิเคชั่น บี เบรฟ (Be Brave) ซึ่งโซลูชั่นที่แทนระบบเอสโอเอส เพื่อขอความช่วยเหลือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เมื่อตกไปอยู่ในพื้นที่เสี่ยง สามารถกดปุ่มเซฟตี้ แมฟ และ เรียกตำรวจในท้องที่ได้ทันที โดยแอพพลิเคชั่นจะโชว์จุดที่กำลังตกอยู่ในโอกาสที่จะตกเป็นเหยื่อความรุนแรง” ดร.สุณีย์ กล่าว
ส่วน “รศ.ดร.พนิดา จงสุขสมสกุล” นักวิจัยและอาจารย์ประจำมหาวิทยาลัยนเรศวร กล่าวถึงประเด็นสื่อสร้างสรรค์ รังสรรค์สังคมปลอดภัย ว่า การสร้างสรรค์สื่อสำหรับเด็กนั้นจะต้องให้ความสำคัญตั้งแต่เริ่มต้นการผลิต เพราะที่ผ่านมาทุกฝ่ายมองว่า สื่อเป็นเพียงปลายทาง แต่ในความเป็นจริงกระบวนการผลิตสื่อตั้งแต่เริ่มต้น (Input) สำคัญอย่างมาก และ จำเป็นต้องใช้ความคิดเชิงบวกและความิดสร้างสรรค์เข้าไปในการผลิตสื่อแต่ละชิ้น นอกจากนี้ยังพบว่า ที่ผ่านมา เยาวชนอายุ 14 ปี กล้าที่จะอยู่กลางเวทีกลางเมือง และ มีเฟคนิวส์ (Fake news) จำนวนมากออกมา
ที่ผ่านมาจะเห็นว่า เยาวชนไทยมีข่าวการใช้ความรุนแรงในโรงเรียนถี่ขึ้น โดยล่าสุดที่เพิ่งเกิดขึ้นที่ อ.ศรีรัตนะ จ.ศรีษะเกษ เด็กนักเรียนชั้นมัธยมปีที่ 2 ตัดสินใจแทงเพื่อนร่วมชั้นเรียนเสียชีวิตที่ระเบียงห้องเรียน สะท้อนให้เห็นว่า ผลวิจัยของคณะวิจัยที่ชี้ชัดว่าเยาวไทยมีการใช้ความรุนแรงติดอันดับ 2 รองจากญี่ปุ่น นับเป็นภัยเงียบที่ซุกอยู่ใต้พรมของสังคมไทยมานาน ซึ่งหากนักวิจัยไม่เปิดเผยข้อมูลดังกล่าว ความรุนแรงในเยาวชนอาจเป็นภัยเงียบที่ยังคงรอวันปะทุต่อไป โดยไม่ได้รับการแก้ไขอย่างจริงจัง
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี