ผ่านพ้นไปแล้วกับการจัดงาน “Transformation เปลี่ยนผ่านประเทศไทยผ่านพื้นที่สาธารณะ” โดยภาคีเครือข่ายหลากหลายองค์กร เมื่อช่วงกลางเดือน มิ.ย. 2566 ที่ผ่านมา ณ หอศิลปวัฒนธรรมกรุงเทพมหานคร ซึ่งหนึ่งในกิจกรรมคือวงเสวนา “Green space นโยบายที่ขับเคลื่อนต่อเนื่องและยั่งยืน” มีวิทยากรหลายท่านมาร่วมแลกเปลี่ยนมุมมองในประเด็นนโยบายพื้นที่สาธารณะในประเทศไทย
พงษ์ศักดิ์ ยิ่งชนม์เจริญ นายกเทศมนตรีนครยะลา กล่าวว่า ในมุมมองของตนนั้น “พื้นที่สาธารณะคือพื้นที่โอบอุ้มสังคมไทยมาตั้งแต่อดีต” เช่น เมื่อครั้งตนยังเป็นเด็กก็จะมองหาพื้นที่กว้างๆ ใกล้บ้านเพื่อไปเล่นกับเพื่อน หรือครอบครัวก็หอบลูกจูงหลานไปนั่งพักผ่อน ทำให้เกิดปฏิสัมพันธ์ขึ้นและสังคมมีความเอื้ออาทร แต่เมื่อเมืองมีความเจริญขึ้น เจ้าของที่ดินต้องการทำที่ดินนั้นไปพัฒนา จึงเป็นหน้าที่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ต้องเข้าไปดูแล ขณะที่ใน จ.ยะลา ซึ่งมีสถานการณ์ความไม่สงบ พื้นที่สาธารณะจึงมีความสำคัญมาก
โดยแนวคิดของตนคือการปรับปรุงทางเท้า สร้างพื้นที่สีเขียว นำเก้าอี้มาวาง พยายามหาทางให้คนกล้าออกมาใช้ชีวิตนอกบ้าน เพื่อทำให้เกิดการพูดคุยแลกเปลี่ยนเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกัน ส่วนพื้นที่ใหญ่กว่านั้นคือสวนสาธารณะหรือพื้นที่กิจกรรม ส่วนพื้นที่สีเขียวนั้นตนก็ให้ความสำคัญมาก ที่ จ.ยะลา อยู่ที่ 17 ตารางเมตร/คน สูงกว่าค่าเฉลี่ยขององค์การอนามัยโลก (WHO) แต่เรื่องนี้ตนไม่ได้ทำคนเดียว เป็นการชวนอีก 5 เทศบาลมาทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) เพื่อทำงานร่วมกัน โดยเทศบาลนครยะลาอาจมีพื้นที่ไม่มาก แต่มีคนพร้อมไปสนับสนุนในพื้นที่ใกล้เคียง
“เราเองก็ทำแม้กระทั่งโครงการจัดรูปที่ดินของกรมโยธา (กรมโยธาธิการและผังเมือง) ซึ่งเทศบาลนครยะลาเราทำน่าจะใหญ่ที่สุดในประเทศ 350 ไร่ จัดรูปทีเดียวเลย แล้วมีพื้นที่ที่เขามีส่วนกลางเหลืออีก 8 ปี ปกติจะให้นำไปขายเพื่อมาลงทุนทำโครงสร้างพื้นฐาน ผมทำตั้งแต่ปี 2546 เสร็จ 10 ปีพอดี เมื่อปี 2556 ที่เจ้าของที่ดินราว 97 รายมาร่วมเรื่องการจัดรูปที่ดิน พอเรามีพื้นที่กลางขึ้นผมไม่คิดจะเอาไปขาย ก็ทำเป็นพื้นที่สีเขียวขึ้นมา ซึ่งผมคิดว่าวันนี้ในแง่ของท้องถิ่น ในอนาคตเมื่อคนทำงานจากที่ไหนบนโลกใบนี้ได้ ผมคิดว่าเขาเลือกที่จะอยู่ในสิ่งที่เขามีความรู้สึกว่าเขามีคุณภาพชีวิตที่ดี” นายกเทศมนตรีนครยะลา กล่าว
ศนิวาร บัวบาน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล กล่าวว่า ที่ดินมี 2 ประเภท คือ 1.ที่ดินของรัฐ พรรคก้าวไกลมีนโยบายปฏิรูปกองทัพ ซึ่งรวมถึงการลดขนาดกองทัพ ดังนั้น ที่ดินของกองทัพที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์สามารถดึงกลับมาอยู่ในความดูแลของกรมธนารักษ์ เพื่อนำมาจัดสรรให้ประชาชนใช้ประโยชน์ได้ เช่น เป็นสวนสาธารณะ ตลาด กับ 2.ที่ดินเอกชน ปรับปรุงการจัดเก็บภาษีที่ดินเป็นแบบรวมแปลง คิดเป็นรายบุคคล หากใครมีที่ดินรวมกันเกิน 300 ล้านบาท จะถูกเก็บภาษีในอัตราก้าวหน้า นอกจากนั้นยังมีนโยบายกระจายอำนาจ เพื่อให้ท้องถิ่นสามารถจัดการพื้นที่สาธารณะได้เหมาะสมกับบริบทของตนเอง
“เรามี Incentive (แรงจูงใจ) สำหรับเอกชน ถ้าเกิดคุณมีที่ดินแทนที่คุณจะทำเกษตร ซึ่งต้องบอกว่าเดี๋ยวนี้มันมี Climate Change (อากาศแปรปรวน) โลกร้อน โลกรวนภาวะภัยแล้ง ฝนตก ทำเกษตรผลิตผลก็อาจไม่เป็นไปตามที่คาดหมายไว้ซึ่งคาดการณ์ได้ค่อนข้างยาก ก็นำที่ดินนั้นมาใช้เป็นพื้นที่สาธารณะดีไหม? ให้สาธารณชนได้ใช้ประโยชน์ ซึ่งถ้าเกิดคุณทำตรงนี้คุณก็จะได้ส่วนลดทางภาษีที่ดิน” ศนิวาร กล่าว
ดวงฤทธิ์ บุนนาค กลุ่มแคร์ คิด เคลื่อน ไทย เสนอแนวคิด “การนำที่ดินหรืออาคารรกร้างของรัฐมาสนับสนุนการลงทุนของผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (SME)” ซึ่งเชื่อว่าทุกจังหวัดมีคนรุ่นใหม่ที่มีศักยภาพ สามารถออกแบบได้ว่าพื้นที่นี้ควรทำกิจการอะไร ลักษณะนี้ในภาษาอังกฤษใช้คำว่า Mutual Benefit คือได้ประโยชน์ทั้ง 2 ฝ่าย รัฐนำสินทรัพย์มาลงทุนสร้างพื้นที่ค้าขาย นำไปสู่การขับเคลื่อนเศรษฐกิจของชุมชน สุดท้ายรัฐก็จะได้ผลตอบแทนกลับมาในรูปของภาษี อีกทั้งยังแก้ปัญหาพื้นที่รกร้างด้วย
“การทำแบบนี้ไม่ใช่การให้สวัสดิการ หรือไม่ใช่รัฐลงทุนไปโดยที่ไม่ได้ผลประโยชน์กลับคืนมา อยากให้มองมุมนี้ คำภาษาอังกฤษที่ผมใช้คือ Cultivated Increasing Return คือการลงทุนของภาครัฐมันไปทำให้เศรษฐกิจชุมชนขับเคลื่อนได้เขาก็จะมีกำลังกลับมาจ่ายภาษีให้รัฐ ซึ่งอันนี้มันเป็นวงจรที่จริงๆ แล้วมันกลับมาสนับสนุนให้รัฐเข้มแข็ง” ดวงฤทธิ์ กล่าว
ตวงฤทธิ์ ยังกล่าวอีกว่า SME ทั่วประเทศมีอยู่ประมาณ 3 ล้านกว่าราย ในจำนวนนี้เป็นขนาดกลาง (Medium) เพียง 4 หมื่นราย ที่เหลือเป็นขนาดเล็ก (Small) และหากแยกลงไปในอีก ในกลุ่มธุรกิจขนาดเล็กยังแบ่งเป็นขนาดจิ๋ว (Micro) ถึง 2.6 ล้านราย ซึ่งธุรกิจขนาดจิ๋วนี้หมายถึงมีการจ้างงานไม่เกิน 5 คน แต่ที่ผ่านมาเมื่อพูดถึง SME กลุ่มขนาดจิ๋วนี้ไม่ค่อยถูกให้ความสำคัญ หรือมองว่าเป็นเรื่องของคนจน ทั้งที่คิดเป็นร้อยละ 85 ของผู้ประกอบการทั้งประเทศ หากรัฐให้ความสำคัญย่อมทำให้ SME ในภาพรวมแข็งแรงไปด้วย
ศ.นฤมล นิราทร อาจารย์คณะสังคมสงเคราะห์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า ธุรกิจขนาดจิ๋วมีความสำคัญอย่างยิ่งกับเศรษฐกิจฐานรากที่เชื่อมโยงกับเศรษฐกิจของเมือง เช่น จากเกษตรกรชาวสวนชาวไร่ ผลิตอาหาร จนมาถึงปลายทางที่ร้านค้าหาบเร่แผงลอย อย่างไรก็ตาม หลายคนมองเรื่องนี้แบ่งเป็นขั้ว เช่น มองว่าธุรกิจขนาดเล็กเป็นเรื่องสวัสดิการช่วยคนจน แต่การมองแบบนี้ก็มักไม่มีการพูดถึงภาษีหรือค่าธรรมเนียมที่คนกลุ่มนี้ต้องจ่ายเพื่อใช้ประโยชน์ทางธุรกิจ ขณะเดียวกัน ยังมีมุมมองว่าพื้นที่แบบนี้เป็นการบ่มเพาะผู้ประกอบการ ซึ่งการมองต้องมองแบบผสมผสานกัน ดังนั้นพื้นที่สาธารณะบางพื้นที่จำเป็นต้องกันไว้สำหรับคนชุดหนึ่งที่มีข้อจำกัดทางโอกาส
“ต้องยอมรับว่าเราก้าวเข้าสู่สังคมสูงอายุเต็มรูปแบบแล้ว และผู้สูงอายุของเราจำนวนหนึ่งมีโอกาสจำกัดมากในการประกอบอาชีพ เราพูดถึงดิสรัปชั่น เราพูดถึงการเข้ามาของเทคโนโลยีต่างๆ คิดเหมือนกันว่าเรากำลังคิดใช่ไหมว่าคนเหล่านี้จะถูกผลักเข้าสู่ระบบของรัฐสวัสดิการ คิดว่าคงไม่ได้ คงไม่ใช่เร็วๆ อย่างนั้น ทำอย่างไรให้คนเหล่านี้มีอาชีพ” ศ.ดร.นฤมล กล่าว
ศ.ดร.นฤมล กล่าวต่อไปว่า กรณี ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) มีนโยบาย Hawker Center หรือการจัดพื้นที่สำหรับย้ายผู้ค้าหาบเร่แผงลอยเข้าไปทำการค้า ซึ่งมีต้นแบบอยู่ที่ประเทศสิงคโปร์ แต่ในมุมมองของตน การจัดการพื้นที่อาจไม่ได้มีแต่แบบนี้แบบเดียว โดยอยู่ที่การมองลักษณะเฉพาะของพื้นที่ ขณะที่การจัดการธุรกิจขนาดเล็กต้องมองไปมากกว่าเรื่องพื้นที่ โดยมีทั้งเรื่องธุรกิจ สวัสดิการ ความสัมพันธ์ สิ่งแวดล้อม วัฒนธรรมและสังคม
ซึ่งการมองแบบนี้จะพบว่า การจัดการธุรกิจขนาดเล็กไม่ว่าจะอยู่ในพื้นที่สาธารณะหรือไม่ก็ตาม ไม่ควรอยู่ในมือหน่วยงานใดเพียงหน่วยงานหนึ่ง และวิธีการจัดการจะทำอย่างไร อย่างที่บางขุนเทียน ซอย 69 ที่เมื่อเร็วๆ นี้ผู้ว่าฯ ชัชชาติ ไปเปิดงาน ที่นั่นถูกเรียกว่า Mini Hawker Center และไม่ได้เป็น Hawker Center ในความหมายของสิงคโปร์ แต่เป็นการจัดระเบียบบริเวณทางเท้าให้ค้าขายได้โดยไม่กระทบคนเดินเท้า นี่เป็นนวัตกรรมที่ทำให้เห็นทางเลือกว่า Hawker Center ไม่จำเป็นต้องอยู่ในพื้นที่ปิดเพียงรูปแบบเดียวเท่านั้น
รศ.ดร.อภิวัฒน์ รัตนวราหะ อาจารย์คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า พื้นที่สาธารณะไม่จำกัดว่าจะต้องเป็นที่ดินหรือพื้นที่แบบใดแบบหนึ่ง อาจรวมไปถึงพื้นที่ทางดิจิทัลด้วย โดยพื้นที่สาธารณะซึ่งเรียกว่า “Commons” มี 3 องค์ประกอบ คือ 1.พื้นที่ ซึ่งเป็นได้ทั้งของรัฐและเอกชน 2.ชุมชน ซึ่งประกอบด้วยผู้มีส่วนได้-เสียทุกฝ่าย และ 3.สถาบัน หมายถึงกฎ-กติกาต่างๆ เป็นข้อตกลงการใช้พื้นที่นั้น
ซึ่งทั้ง 3 ข้อนี้ต้องพัฒนาไปด้วยกัน อาทิ ในต่างประเทศกฎ-กติกาไม่ได้เกิดจากภาครัฐไม่ว่าส่วนกลางหรือส่วนท้องถิ่นเป็นผู้กำหนดเพียงฝ่ายเดียว แต่เป็นกฎ-กติกาที่มีคนในชุมชนร่วมพัฒนามาด้วยกันเป็นกระบวนการที่ต้องค่อยๆ ให้คนมาพูดคุยเพื่อตกลงกัน อนึ่ง นอกจากพื้นที่ของรัฐและของเอกชนแล้ว ยังมีอีกรูปแบบหนึ่งคือการจัดตั้งในลักษณะองค์กรไม่แสวงหากำไร ดังที่อังกฤษมี National Trust ซึ่งเป็นกองทุนที่แก้ไขปัญหาที่รัฐไม่มีเงินไปซื้อขณะที่ชุมชนอาจจะทำได้แค่พื้นที่แคบๆ การก่อตั้งแบบนี้ทำให้ทลายข้อจำกัดด้านกฎระเบียบราชการ และไปได้ไกลกว่าท้องถิ่นใดท้องถิ่นหนึ่ง
“National Trust ของอังกฤษมีมานานแล้ว และทำหน้าที่คล้ายๆ กับการระดมทุน ไปขอเงินจากคนรวยบ้างหารายได้จากประเภทต่างๆ บ้าง แล้วก็สร้างเป็นกองทุนขึ้นมาเพื่อที่จะสร้าง Commons ตามเจตนารมณ์ของคนที่มาบริหารจัดการตรงนั้น ซึ่งลักษณะของกองทุนมีตั้งแต่ระดับประเทศในจนถึงในระดับชุมชน ที่เรียกว่ากองทุนที่ดินชุมชน (Community Land Trust) ที่ในหลายๆ ประเทศก็มีอยู่ อันนี้ผมคิดว่าเป็นอีกโมเดลหนึ่งที่อาจจะต้องช่วยกันคิดว่าอาจจะมีโอกาสเกิดขึ้นมาก-น้อยขนาดไหนในประเทศไทย และมีช่องตรงไหนบ้าง” รศ.ดร.อภิวัฒน์ กล่าว
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี