“คลื่นความร้อน (Heat Wave)” หมายถึงปรากฏการณ์อากาศร้อนจัด ที่สะสมอยู่ในพื้นที่บริเวณหนึ่ง ซึ่งตามคำอธิบายของ กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ 1.แบบสะสมความร้อน ซึ่งเกิดในพื้นที่ที่สะสมความร้อนเป็นเวลานาน อากาศแห้ง ลมนิ่ง ทำให้ความร้อนจากแสงอาทิตย์ไม่เคลื่อนที่ เมื่ออุณหภูมิร้อนสะสมหลายวันจะเกิดคลื่นความร้อนมากขึ้น เช่น หากพื้นที่ไหนมีอุณหภูมิ 38-41 องศาเซลเซียส แล้วไม่มีลมพัดต่อเนื่อง 3-6 วัน ไอร้อนจะสะสมจนกลายเป็นคลื่นความร้อน
คลื่นความร้อนประเภทสะสมความร้อนมักเกิดในประเทศอินเดีย แอฟริกา ออสเตรเลีย อเมริกาเหนือ ฯลฯ กับ 2.แบบพัดพาความร้อน คลื่นความร้อนชนิดนี้เกิดจาก ลมแรงหอบความร้อนจากทะเลทรายขึ้นไปในเขตหนาว มักเกิดขึ้นแถวทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ในยุโรป แคนาดาตอนใต้
ฯลฯ “พิษภัยจากคลื่นความร้อน” เช่น ทำให้เสี่ยงเป็นโรคลมแดด (Heatstroke) หรือโรคเพลียแดด (Heat Exhaustion) อากาศร้อนนั้น สามารถบั่นทอนระบบเมตาบอลิซึมในร่างกาย โดยเฉพาะร่างกายของผู้สูงอายุ หรือผู้ป่วยที่มีอาการความดันโลหิตสูง ให้ล้มเหลวได้
ในปี 2566 คลื่นความร้อนก่อผลกระทบไปทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นช่วงเดือน เม.ย. 2566 ซึ่งประเทศไทยอยู่ในช่วงฤดูร้อน สื่อหลายสำนักได้กล่าวถึง “Monster Asian Heat Wave” เปรียบเทียบคลื่นความร้อนครั้งนี้ราวกับปีศาจ ทำให้หลายชาติในทวีปเอเชียเผชิญอากาศร้อนจัด อาทิ ในวันที่ 19 เม.ย. 2566 ทั้งอินเดีย เมียนมา บังกลาเทศ ไทย ลาว เวียดนาม และจีน ล้วนวัดอุณหภูมิได้สูงกว่า 40 องศาเซลเซียส โดยเฉพาะที่อินเดีย อากาศร้อนได้คร่าชีวิตประชากรไป 13 ศพ แม้กระทั่งญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ อุณหภูมิก็ยังสูงอย่างผิดปกติ ไปอยู่ที่กว่า 30 องศาเซลเซียส
ล่าสุดในเดือน ก.ค. 2566 ประเทศในภูมิภาคยุโรปใต้ อาทิ อิตาลี ถึงกับต้องประกาศเตือนภัยขั้นสูงสุด โดยคาดว่าในสัปดาห์ที่ 3 ของเดือนนี้ อุณหภูมิจะแตะ 40 องศาเซลเซียส ขณะที่กรีซและสเปน อากาศร้อนจัดทำให้เกิดไฟป่าจนทางการต้องอพยพประชาชนออกจากพื้นที่เสี่ยง รวมถึงในทวีปอเมริกา องค์การบริการสภาพอากาศแห่งชาติ (NWS) เปิดเผยว่า หลายเมืองในสหรัฐอเมริกา เผชิญอุณหภูมิสูงเกิน 40 องศาเซลเซียส และมีประชากรได้รับผลกระทบมากถึง 113 ล้านคน
“อากาศร้อนยังซ้ำเติมปัญหาความเหลื่อมล้ำ” รายงานข่าว No city is ‘truly prepared’ for the heatwaves that lay ahead. Here’s what can be done about it จากสื่อยุโรปอย่าง Euronews เมื่อวันที่ 12 ก.ค. 2566 ฉายภาพสถานการณ์ในสหรัฐฯ ว่าเมื่ออากาศร้อนจัด ผู้ได้รับผลกระทบอย่างหนักคือประชากรที่พักอาศัยในอาคารที่ไม่มีเครื่องปรับอากาศ รวมถึงแพทย์ที่พบผู้ป่วยเข้าใช้บริการโรงพยาบาลมากขึ้นแม้อาการป่วยจะไม่เกี่ยวกับอากาศร้อนโดยตรง เช่น หัวใจวาย ไตวาย และปัญหาสุขภาพจิต โดยเฉพาะผู้สูงอายุ คนทำงานกลางแจ้งคนพิการและคนไร้บ้าน
เช่นเดียวกับรายงานข่าว Thousands of street vendors are hit hard by severe heat wave in Los Angeles จาก นสพ. Los Angeles Daily News เมื่อวันที่ 14 ก.ค. 2566 บอกเล่าชะตากรรมของผู้จำหน่ายสินค้ากลางแจ้งในเมืองลอสแองเจลิส รัฐแคลิฟอร์เนียของสหรัฐฯ ที่อากาศร้อนจัดทำให้สุขภาพทรุดโทรม บางคนมีอาการปวดศีรษะ อีกทั้งรายได้ก็ลดลงเพราะผู้คนหลีกเลี่ยงการออกจากบ้านมาจับจ่าย
“โครงสร้างอาคาร” ก็เป็นอีกประเด็นที่อาจต้องให้ความสำคัญมากขึ้น รายงานข้างต้นของ Euronews ตอนหนึ่ง ระบุว่า ที่กรุงลอนดอนของอังกฤษ ความแห้งแล้งและความร้อนที่ยืดเยื้อทำให้อาคารเก่าแก่แตกร้าวและเอียง โดยเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการปรับปรุงให้ทันสมัยโดยคำนึงถึงอุณหภูมิที่ร้อนจัด ซึ่ง รศ.สุพจน์ ศรีนิล รองอธิการบดีฝ่ายกายภาพ สิ่งแวดล้อม และทรัพย์สิน สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) อธิบายว่า ที่อุณหภูมิประมาณ 40-60 องศาเซลเซียส ถือว่าสูงสำหรับการอยู่อาศัย แต่ยังไม่สูงสำหรับโครงสร้างอาคาร
อย่างไรก็ตาม อาคาร 1 หลัง นอกจากจะมีโครงสร้างแล้ว ยังมีสิ่งที่เรียกว่า “วัสดุสถาปัตยกรรม” อาทิ บานประตู-หน้าต่าง ผนังอิฐก่อ-ปูนฉาบ ม่าน ฯลฯ ซึ่งเมื่อเจอความร้อนสูงๆ ก็มีโอกาสพองตัว กาวหลุดไม่ยึดติด หรือหดตัวไปจนถึงละลายได้ เช่น วงกบที่มีผนังอิฐไปก่อยึด เมื่ออุณหภูมิสูงขึ้นจะดันขยายจนมีรอยแตกร้าว (Crack) ที่ผนังได้ เพราะผนังเป็นงานสถาปัตย์ไม่ใช่งานโครงสร้าง อนึ่ง โครงสร้างนั้นมี 3 ประเภท คือ 1.โครงสร้างไม้ 2.โครงสร้างคอนกรีตเสริมเหล็ก และ 3.โครงสร้างเหล็ก ซึ่ง “อุณหภูมิที่เพิ่มสูงขึ้นอาจมีผลบ้างกับโครงสร้างเหล็ก” เช่น โครงหลังคา อาจมีการขยายตัวของโครงสร้างเมื่อเจออุณหภูมิสูง
“ยกตัวอย่างรางรถไฟ ในระยะประมาณ 100 เมตรเขาจะเว้นรอยต่อไว้ห่าง เพราะเวลาร้อนจัดรางรถไฟจะขยายตัว ถ้าเราไม่เว้นช่องว่างไว้มันจะไปดันให้รางรถไฟคดได้ อันนี้ยกตัวอย่างที่เห็นได้ชัด คือรางรถไฟมันตากแดด มันเปลือย อุณหภูมิมันจะสูงกว่าอุณหภูมิของอากาศ เป็นการสะสมความร้อนจากดวงอาทิตย์ ซึ่งรางรถไฟมีสีเข้ม มันก็จะยิ่งอมและดูดความร้อน เอามือไปแตะมันจะร้อนเลย อันนั้นมันจะมีการขยายตัว
ฉะนั้นโครงสร้างก็เหมือนกัน โครงสร้างสะพานที่เป็นเหล็ก โครงสร้างหลังคาที่เป็นเหล็กแต่ไรวัสดุคลุมอยู่ หมายถึงความร้อนมันก็จะไม่สัมผัสเต็มที่ แต่ก็จะมีผลกับการขยายตัวของเหล็กพื้น การออกแบบกับการก่อสร้างมันต้องเผื่อเรื่องเหล่านี้ไว้เผื่อการขยายตัว ซึ่งในการออกแบบมันก็มีการเผื่อไว้อยู่แล้ว อย่างสะพานโครงสร้างเหล็กวิ่งข้ามแยก ในแง่รายละเอียดเขาจะเว้นระยะให้มันขยับตัวได้” รศ.สุพจน์ กล่าว
รศ.สุพจน์ กล่าวต่อไปว่า ในการก่อสร้างแบบโครงสร้างเหล็ก บางครั้งผู้ก่อสร้างไม่ทราบแล้วก็เชื่อมติดกันหมดไม่ปล่อยให้สามารถเคลื่อนได้โดยไม่เกิดแรงเพิ่ม จึงต้องให้ความสำคัญ เพราะสำหรับโครงสร้างเหล็ก ที่อุณหภูมิ 40-50 องศาเซลเซียส ก็มีผลให้เกิดการขยายตัวของมวลของเหล็กของวัสดุ อนึ่ง “งานไม้ก็มีความเสี่ยงขยายตัวจากอุณหภูมิสูงเช่นกัน” เช่น การปูพื้นปาร์เกต์ในห้องซึ่งยึดกับพื้นด้วยกาว เมื่อห้องมีอุณหภูมิสูงขึ้นไม้ก็อาจขยายตัวดันให้พองโก่งขึ้นไม่ติดพื้นได้ เพียงแต่นี่เป็นงานสถาปัตยกรรมไม่ใช่งานโครงสร้าง
นั่นคือเรื่องของโครงสร้างอาคารซึ่งสามารถออกแบบและปรับปรุงได้ แต่ความท้าทายกว่านั้นในการเปลี่ยนแปลงคือ “ผังเมืองและวิถีชีวิต” ดังรายงานข่าวข้างต้นของ Los Angeles Daily News ที่เสนอแนะให้ “เพิ่มพื้นที่สีเขียว-ลดการให้ความสำคัญกับรถยนต์” เพื่อแก้ไขปัญหา “เกาะความร้อน (Urban Heat Island)” ที่เขตเมืองมีอุณหภูมิสูงกว่าเขตรอบนอก!!!
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี