4 หน่วยงานผนึกกำลังระดมสมอง ฉายภาพการทำงานเร่งสร้างรายได้ “เศรษฐกิจฐานราก” เพื่อกระตุ้นการเติบโตของรายได้ผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ (GDP) ในงาน “มหกรรมวิจัยแห่งชาติ” ปี 2566 ครั้งที่ 18 (Thailand Research Expo 2023) ภายใต้หัวข้อ “การยกระดับเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ชุมชนเข้มแข็งและมาตรฐานผลิตภัณฑ์” ณ ห้องเวิล์ดบอลรูม ชั้น 23 โรงแรมเซ็นทรัลทาราแกรนด์ และ บางกอกคอนเวนชั่นเซ็นเตอร์ เซ็นทรัลเวิล์ด กรุงเทพมหานคร โดยมี 4 หน่วยงานใหญ่ของไทยที่เป็นฐานวิจัยของไทยร่วมระดมสมอง ได้แก่ สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.), หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.), มหาวิทยาเทคโนโลยีราชมงคล (มทร.), และ สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.)
“สสว.” คลอด “คณะกรรมการบริหารเศรษฐกิจฐานราก” ปี 2567
นายวชิระ แก้วกอ รองผู้อำนวยการ สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ให้ความเห็นถึงสถานการณ์ของผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ของไทยในปัจจุบันว่า เอสเอ็มอีไทยโดยเฉพาะในระดับภูมิภาคยังขาดการเข้าถึงการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลที่นำมาใช้เป็นเครื่องมือสนับสนุนการขายและการตลาดซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการดำเนินธุรกิจ
“การส่งเสริมผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ที่สำคัญคือ เรื่องตลาด โดยปัจจุบันเดินหน้าไปตรงไหนแล้ว ผู้ประกอบการในภูมิภาคหลายๆคนไม่รู้จักใช้ออนไลน์ ไม่รู้เรื่องการใช้แพลตฟอร์มเรื่องต่างๆ เช่น เฟสบุ๊ค ช๊อปปี้ ลาซาด้า และ ติ๊กตอก เป็นต้น ทำให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีเข้าใจผิด และ ต้องพยายามตนเองให้เข้าถึงแหล่งทุนเป็นอันดับแรก แต่ผู้ประกอบการขาดความเข้าใจ เราต้องเข้าใจบริบทของความเป็นธุรกิจ เราจะทำอย่างไร และ คิดเรื่องค่าแรงธุรกิจอย่างไร ซึ่งการดำเนินงานที่ถูกต้อง คือ เรื่องงบประมาณ โดยพยายามเชื่อมโยงกับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะการประสานงานร่วมกับสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ หรือ วช.” รองผู้อำนวยการ สสว. กล่าว
นายวชิระยังให้ความเห็นเพื่อพัฒนาเอสเอ็มอีในระยาวว่า หัวใจสำคัญคือ เรื่องบีซีจี (BCG)และ ในการพัฒนาเอสเอ็มอีไทยต้องพูดถึงเรี่องกรีน เพราะครอบคลุมทั้ง บี และ จี ยกเกณฑ์บีซีจีสำหรับเอสเอ็มอี ถ้าเรารอปีหน้า ปีโน้น ทางเอสเอ็มอีจะเสียโอกาสทันที คาดว่าความร่วมมือในส่วนนี้ที่ร่วมกับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เรื่องนี้จะเสร็จประมาณปีหน้า
“ล่าสุดสหรัฐอเมริกาให้ทุนเราและ สสว. พากรมบัญชีกลางไปดูการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐของสหรัฐอเมริกา เพราะฉะนั้นการดำเนินงาน จะทำให้แผนเอสเอ็มอีของเราไปสู่ภูมิภาคได้มากขึ้น และเราได้ตั้งคณะกรรมการบริหารเศรษฐกิจฐานรากขึ้น เพื่อแก้ไขปัญหาเอสเอ็มอี” นายวชิระกล่าว
ทั้งนี้ กุญแจสำคัญในการพัฒนาเอสเอ็มอีในยุคดิจิทัล นายวชิระมองว่า คือ ไมโครเอสเอ็มอี ซึ่งมีรายได้ไม่เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี หรือ ราวๆ 1.2 แสนบาทต่อเดือน และ จะทำอย่างไรให้ผู้ประกอบการฐานรากขาดการเข้าถึงในเชิงวิชาการ ซึ่งเป็นปัญหาของตัวผู้ประกอบการเอสเอ็มอี โดยขณะนี้ได้มีการประสานการทำงานแก้ไขปัญหาดังกล่าวในสถาบันการศึกษากับมหาวิทยาราชภัฎทั้ง 38 แห่ง
“คนรุ่นใหม่ๆ ให้ความสำคัญกับงานวิจัย ซึ่ง สสว.จะทำส่วนนี้มากขึ้น และ ก็โชคดีที่ผมเป็นผู้ทรงคุณวุฒิกับ วช.ด้วย โดยเห็นว่า การจิตนาการต้องมีจุดเชื่อมโยงกับข้อมูล ซึ่งเรากำลังทำเรื่องเอสเอ็มอีฐานราก และ ที่สำคัญเราเห็นว่า จุดสำคัญคือ การเข้าถึงแหล่งเงินทุน (Finacial regulators) และ เวนเจอร์ แคปปิตอล (Venture capital) รวมถึงการไม่พัฒนาทักษะ หรือ สกิลล์ (skill) โดยที่ผ่านมา โควิดเป็นสิ่งที่ดีอย่างหนึ่ง คือ ทำให้เกิดการพัฒนาของสินค้าที่มีมาตรฐานมากขึ้น และมาตรฐานเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับผู้ประกอบการฐานรากและเศรษฐกิจฐานราก ที่ผ่านมาผู้ประกอบการบ่นว่าไม่มีเงิน ไม่มีตังค์ แต่เราพยายามช่วยให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ คือ ให้เห็นความสำคัญของโครงการต่างๆของทางภาครัฐที่เข้าไป โดยเราจะพยายามเข้าถึงผู้ประกอบการ โดยสงสุดไม่เกิน 80% ต่อราย ทั้งเงินทุน และ องค์ความรู้ต่างๆ ในเทคโนโลยีดิจิทัล รวมถึงการไปดูงานต่างประเทศ ซึ่ง สสว. มีงบประมาณให้ ” รองผู้อำนวยการ สสว. กล่าวทิ้งท้าย
ที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบันการขับเคลื่อนงานวิจัยด้านคลังสมองของไทย ใช้แรงสนับสนุนสำคัญโดยสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ซึ่งในเวทีนี้ จุดสำคัญยังคงอยู่ที่แนวคิดของ วช. เป็นแกน ในการกระจายทุนสนับสนุนเพื่อให้ความรู้และงานวิจัยเป็นรูปธรรม
นอกจากนี้ ดร.กิตติ กล่าวเน้นย้ำถึงการแก้ปัญหายากจนว่า แบ่งได้ 2 ประเภท ได้แก่ หนึ่ง คือ ครัวเรือนยากจนดักดาน ไม่มีจะกิน ส่วนนี้ต้องเข้าถึงสวัสดิการของภาครัฐ และ สอง คือ ครัวเรือนที่อยู่ได้ภาวะหนี้สิน และ ขาดการได้โอกาส เช่น โครงการกระจูดแก้จน มะระแก้จน ที่จีนสร้างอุตสาหกรรมในพื้นที่ คือ ใช้โลคอล บิสซิเนส (local business)ต่อยอดให้มันเติบโต แต่ภูมิศาสตร์การเมืองปูพรมทำ แต่ของเราต้องใช้การสร้างแรงบันดาลใจ
“อย่างแรกต้องเข้าไปค้นหาครัวเรือนยากจนให้ได้จริงๆ เพราะทั้งอย่างที่หนึ่งและสอง ตกหล่นจากสวัสดิการภาครัฐ ไม่เคยเข้าร่วมโครงการอะไรเลย ซึ่งต้องใช้โอกาสทุนสังคม และ ทักษะอาชีพเข้าไปก็หลุดเลย เช่น หม่อนแก้จน โดยให้นิคมอุตสาหกรรมใช้พื้นที่ 80 กว่าไร่ แล้วเอาหม่อนเข้าไป แก้จน เพราะฉะนั้นหาเป้าหมายให้ได้ว่าเป็นครัวเรือนยากจนแท้จริง” ดร.กิตติ กล่าว
วช.ยันเน้นหนุนงานวิจัยต่อยอดสร้างรายได้ชุมชน
ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการ สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) กล่าวในเวทีดังกล่าวว่า การยกระดับให้กับเศรษฐกิจชุมชนท้องถิ่น ในภาคการทำงานทั้งหน่วยบริหารทุน และ ฟังก์ชั่นการทำงาน รวมทั้งผู้ที่อยู่ในหน่วยการนำผลงานลงพื้นที่อย่างมหาวิทยาลัย ทาง วช.มองอะไร วช.มองในเรื่องของรายผลิตภัณฑ์ค่อนข้างเยอะ เราพยายามย่อยเรื่องของงานให้กับผู้ใช้ประโยชน์ เวลาผู้ถึงงานวิจัยในชุมชน ฟังเพลินๆ แล้วกลับบ้านไป แต่ปัจจุบันยิ่งย่อยเท่าไหร่ ในชุมชนยิ่งให้ความสนใจมาก และ เป็นเรื่องที่ท้าทายมาก เช่น การนำเข้าเทคโนโลยีไปยังชุมชนร่วมกับงานวิจัย
ส่วนด้านการเกษตร และ การท่องเที่ยว ทั้งผู้นำท้องถิ่น เรื่องเหล่านี้มีความท้าทายมาก ความเหลื่อมล้ำ เรื่องของการวัดเชิงกระบวนการ ความรู้ด้านเทคโนโลยี ซึ่งคนส่วนใหญ่อยากฟังคนในพื้นที่ว่าเข้าใจเรื่องเทคโนโลยีและนวัตกรรมอย่างไร นำไปใช้ประโยชน์เพื่อการเปลี่ยนแปลงอย่างไร
“ตัวผลิตภัณฑ์อาจไม่มีความไฮเทคมากนัก ตัวผู้นำชุมชน ปราชญ์ชาวบ้าน เราเรียกผู้นำในลักษณะนี้ในหลายรูปแบบ แม้ว่าในส่วนของโครงการ ก็จะเห็นภาพในเรื่องโอกาสที่ดี สิ่งที่ต้องยั่งยืนต่อ คือ ตัวชุมชนเอง ซึ่งต้องการสนับสนุนในลักษณะภาคีเครือข่าย ในภาคของหน่วยสนับงานวิจัย อย่าง วช. ก็ยังสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง” ดร.วิภารัตน์ กล่าว
ผู้อำนวยการ วช.ทิ้งท้ายว่า ยกกรณีเรื่อง “ธนาคารปูม้า” ซึ่งเป็นมติคณะรัฐมนตรี โดยเป็นตัวอย่างว่า ใช้ระยะเวลา 1-2 ปี เห็นการเปลี่ยนแปลงว่า มีการสร้างรายได้ ซึ่งทำให้ยกระดับมิติของรายได้ทั้งชุมชนและท้องถิ่น
ทั้งนี้ ในโครงสร้างใหญ่ในระดับการให้ทุนงานวิจัยมีศูนย์รวมอยู่ที่ วช. แต่ในระดับพื้นที่ชุมชน นักวิจัยและผู้ที่มีความสามารถด้านงานวิชาการ สามารถขอปัจจัยในการสนับสนุนไปที่หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.)
“บพท.” เน้นสร้างอีโค่ ซิสเต็ม
ดร.กิตติ สัจจาวัฒนา ผู้อำนวยการ หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) กล่าวว่า ในส่วนของ บพท.ทำใน 2 มิติ การสร้างอีโคซิสเต็ม (Ecosystem) กับเรื่องมายด์เซ็ท (mindset) และ สกิลล์ (skill) ทางรัฐมนตรีได้มอบหมายให้ทำซิสเต็ม รีเสิร์ช กระแทกนโยบาย และ สร้างแพลตฟอร์มในเชิงนโยบายในระดับประเด็นสำคัญ และ หัวใจสำคัญต้องขจัดความยากจน
“ในประเทศไทย ตอนนี้มีแพลตฟอร์มชี้เป้าครัวเรือนยากจนระดับจังหวัด 20% โดยมี 60% ตกหล่นการสำรวจในแพลตฟอร์มนี้ เช่น คุณพ่อทำอะไรไม่ดีกับลูกสาว และทำร้ายตนเอง ก็เป็นกรณีที่ตกการสำรวจ ผู้ประกอบการชุมชนเป็นส่วนสำคัญ มีอยู่ประมาณ 2 ล้านกว่าราย โดยขาดเรื่องการบริหารหนี้สินครัวเรือน เพราะไม่แยกกระเป๋า เวลาลงไปให้ก็ผิดฝาผิดตัว ผมย้ำตรงนี้ว่า นักวิจัยเข้าไปในชุใชน ส่วนใหญ่เข้าไปพัฒนาสินค้าเลย โดยไม่คำนึงถึงปัจจัยเรื่องหนี้สินครัวเรือน และ การจัดรายได้ทางธุรกิจ พัฒนาเมืองและระเบียงเศรษฐกิจ รวมถึงสมาร์ท กอฟเวอร์เม้นท์ (Smart Governance) เราควรสร้างการเปลี่ยนแปลงใน 2 วัย (Change Agent) และ ส่วนที่สองนวัตกรชาวบ้าน (Innovator) หรือ นักจัดการความรู้ในพื้นที่ ซึ่งเราอยากให้เกิดความรักบ้านรักเมือง ไม่ใช่ว่ารวยอยู่กลุ่มเดียว เราอยากให้เขาแชร์ผลประโยชน์ร่วม (benefit)
รวมทั้ง นายกิตติยังให้มุมมองว่า ไม่มีความรู้สำเร็จรูปในการสร้างทักษะ (Skill) เพราะฉะนั้นเราควรสร้างการเรียนรู้ร่วมกัน เราไม่ควรสร้างลักษณะนิสัยแบมือ แล้วก็ร้องขอ และ ปัจจุบันทุกคนต้องการอะไรที่มันสำเร็จรูป เช่น ทำให้ฉันเก่งภายใน 1 เดือน ที่สำคัญผู้สูงวัยต้องตามโลกให้ทัน การเข้าถึงความรู้เต็มไปหมด รวมทั้งอย่าตกหลุมตัวเอง เป็นศาลาคนเศร้า แล้วโทษทุกอย่างไปที่ตัวเอง และ โทษทุกอย่างไปที่รัฐบาล
“มทร.” เน้นเข้าถึง 84 ชุมชน
ขณะที่ผู้บริหาร “มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล” เน้นการลงพื้นที่พัฒนาชุมชน โดย “รองศาสตราจารย์ ดร.สมหมาย ผิวสะอาด” ประธานที่ประชุมอธิการบดี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล กล่าวถึงแนวทางการนำงานวิจัยลงพื้นที่ว่า ทั้ง 9 ราชมงคล เลือกทำใน 84 ชุมชน ในโอกาสพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ครบรอบพระชนม์มายุ 84 พรรษา โดยให้ในชุมชนนั้นๆมาวิเคราะห์ความเข้มแข็ง จากนั้นจะเริ่มทำโครงการด้วยกัน เป็นการนำองค์ความรู้มาแลกเปลี่ยน
“จุดที่สำคัญที่สุด คือ เป็นไปตามความต้องการ ที่จะพัฒนาและจับคู่กัน ในการร่วมกันที่จะพัฒนา เราจะมีการประเมิน จากนั้นเราก็รายงานกับผู้ที่ให้ทุน โดยในระหว่างการดำเนินงาน ทาง วช.ก็มีทีมงานคือผู้ทรงคุณวุฒิมาแนะนำ และ บพท.ก็มีผุ้เชี่ยวชาญมาแนะนำในส่วนมหาวิทยาลัยต้องสร้างมายด์ เซ็ท (mindset) ซึ่งส่วนนี้เป็นส่วนสำคัญในการสร้างมูลค่าเพิ่ม ทั้งในภาคธุรกิจ ชุมชน และ เศรษฐกิจรากหญ้าของเรา ส่วนการเข้าถึงองค์ความรู้ วช.เองมีฐานข้อมูลขนาดใหญ่ที่รวบรวมมา ซึ่ง วช.มีอยู่แล้ว มหาวิทยาลัยมีข้อมูลต่างๆ เข้ามาในฐานของมหาวิทยาลัย โดยทุกๆท่านสามารถประสานความรู้ให้กับมหาวิทยาลัยทุกแห่งได้ในงานมหกรรมงานวิจัยแห่งชาติ ครั้งที่ 18” ประธานที่ประชุมอธิการบดี มทร.กล่าว
การจัด “มหกรรมงานวิจัยแห่งชาติ” ปี 2566 นี้จึงเป็นเสมือนการตรวจเช็คการทำงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับฐากงานวิจัยในไทย ซึ่งมีส่วนสำคัญในการสร้างฐานรายได้ให้กับทุกพื้นที่ในประเทศไทย อันเป็นที่มาของรายได้ผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ(GDP) ของประเทศที่จะตามมา
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี