ผู้เชี่ยวชาญจิตวิทยาแนะสังเกตสัญญาณเสี่ยงบุคคลส่อก่อเหตุรุนแรง-ห่วงอัดวิชาการแต่เด็กทำใจป่วย
วันที่ 5 ตุลาคม 2566 นพ.วรตม์ โชติพิทยสุนนท์ โฆษกกรมสุขภาพจิต ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าว ในประเด็นเหตุความรุนแรงทั้งในไทยและต่างประเทศ ซึ่งระยะหลังๆ มีการใช้คำว่า “โลนวูล์ฟ (Lone Wolf)” เรียกการก่อเหตุที่ผู้ก่อเหตุลงมือคนเดียวโดยไม่มีประวัติอาชญากรรมหรือความเชื่อมโยงกับกลุ่มใดๆ มาก่อน ว่า จริงๆ คำว่าโลนวูล์ฟ เป็นเพียงคำเรียกคำหนึ่ง หมายถึงคนที่ก่อเหตุเดี่ยวๆ หรือ “หมาป่าเดียวดาย” แต่หากก่อเหตุเป็นทีมหรือกลุ่ม ก็อาจเรียกว่าเป็น “แก๊งสเตอร์ (Gangster)” หรือสมาชิกแก๊งอาชญากรรม หรือไม่ก็เป็นการสมคบคิดกันมาก่อเหตุเพื่อผลประโยชน์บางอย่าง
ทั้งนี้ แม้จะเป็นการก่อเหตุเพียงคนเดียว แรงจูงใจก็ยังแตกต่างกันไปในแต่ละคน เช่น ปัญหาสุขภาพจิต หรือต้องการแก้แค้น หรือประสงค์ต่อทรัพย์ ไม่จำเป็นต้องเป็นปมทางจิตใจเสมอไป อย่างในสหรัฐอเมริกา ผู้ก่อเหตุที่ลงมือคนเดียวมีตั้งแต่แรงจูงใจเรื่องความรู้สึกเกลียดชังบางอย่าง แต่บางคนก็ก่อเหตุเพราะเห็นภาพหลอน หรือแม้แต่ชิงทรัพย์ แต่ไม่ว่าจะมีแรงจูงใจแบบใด ทุกความรุนแรงล้วนมีสัญญาณเตือนล่วงหน้าเสมอ
“ความรุนแรงใหญ่ๆ อย่างการกราดยิงคน ยังไงมันก็มีสัญญาณความรุนแรงเล็กๆ มาก่อนเสมอทุกครั้ง ในเหตุกราดยิงสหรัฐอเมริกา ไม่ว่าจะเป็นผู้ใหญ่หรือเด็ก มันจะมีความรุนแรงที่เห็นได้ แต่บางครั้งเราเห็นแล้วไม่ได้ทำอะไร เราเห็นแล้วเราอาจจะรู้สึกว่าไม่ใช่ อาจจะไม่เกิดขนาดนั้น มันก็เลยขยายตัวความรุนแรงที่ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นการสังเกตจริงๆ นอกจากสังเกตอารมณ์ ความคิด พฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไป บางทีสังเกตยาก การสังเกตพฤติกรรมก้าวร้าวเล็กๆ น้อยๆ แล้วให้คนที่เขาสามารถจัดการได้เข้าไปจัดการ มันจะช่วยลดความรุนแรงได้เยอะ” นพ.วรตม์ กล่าว
นพ.วรตม์ กล่าวต่อไปว่า ผู้ก่อเหตุจะเลือกก่อเหตุด้วยวิธีใดก็ขึ้นอยู่กับว่ามีอาวุธใดอยู่ใกล้ตัว เช่น บางประเทศมีเหตุใช้อาวุธปืนกราดยิง แต่บางประเทศผู้ก่อเหตุก็ใช้อาวุธมีดไล่แทง หรือขับรถไล่ชนบุคคลอื่นๆ ที่พบเห็น แต่วิธีการสังเกตสัญญาณของผู้ที่อาจมีแนวโน้มก่อเหตุใช้หลักการเดียวกัน อาทิ 1.ด้านอารมณ์ จากเดิมที่ดูเป็นคนสดใสร่าเริงยิ้มแย้มแจ่มใสกลับกลายเป็นคนหงุดหงิดก้าวร้าว โวยวายอาละวาดบ่อย
2.ด้านความคิด มีความคิดผิดเพี้ยนไป มีความแค้นอาฆาต อยากทำร้ายตนเองหรือบุคคลอื่น และ 3.ด้านพฤติกรรม อาจยังไม่ถึงขั้นใช้ความรุนแรงกับบุคคลอื่น แต่เป็นความรุนแรงต่อตนเอง หรือความรุนแรงต่อสิ่งของต่างๆ หรือมีการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หรือใช้สารเสพติดในปริมาณมากขึ้น พฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไปเหล่านี้อาจนำไปสู่ความรุนแรงต่อบุคคลอื่นได้
โฆษกกรมสุขภาพจิต ยังกล่าวอีกว่า สังคมยุคปัจจุบันเหมือนกับเป็น “การรวมหมู่ของคนเหงา” เทคโนโลยีมีประโยชน์มากกับชีวิคคน แต่บางครั้งก็ทำให้เราห่างเหินกัน เห็นได้ชัดจากทุกวันนี้กลุ่มเพื่อนไปรับประทานอาหารด้วยกัน แต่สิ่งที่เป็นคือทุกคนต่างหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเล่น จากที่แต่ละคนจะได้ปลดปล่อยระบายความรู้สึกเครียดจากที่ทำงาน แต่พอเงยหน้ามาดูก็ไม่รู้จะระบายกับใครเพราะทุกคนก้มหน้าเล่นมือถือกันหมด
หรือในครอบครัวก็เช่นกัน ใครถามก็ตอบว่าทั้งบ้านมีเวลาอยู่ด้วยกัน แต่พอไปดูจริงๆ พบคนหนึ่งเล่นแท็บเล็ต อีกคนเล่นมือถือ ส่วนอีกคนก็เล่นเกมในคอมพิวเตอร์ เวลาจึงเป็นเพียงเวลาเฉยๆ ไม่ใช่เวลาที่มีคุณภาพ สมาชิกในครอบครัวไม่ได้ใช้เวลาที่มีคุณภาพร่วมกัน ซึ่งตนเชื่อว่าหากเราสามารถจัดให้มีเวลาคุณภาพร่วมกันได้ แล้วมีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน ก็จะเป็นตัวเหนี่ยวรั้งความรุนแรงไม่ให้เกิดขึ้น
“เราไม่ทำความรุนแรงกับคนที่เรารักหรือรู้สึกดีด้วยอยู่แล้ว ขณะเดียวกันถ้าเรารู้ว่ามีใครสักคนที่รักเรา มีใครสักคนที่ห่วงใยเรา ให้ความสำคัญกับเรา เราเองก็จะไม่ไปทำความรุนแรงกับคนอื่น เหมือนกับการฆ่าตัวตาย ฆ่าตัวตายคือความรุนแรงที่วนเข้าหาตัวเอง การไปฆ่าคนอื่นคือความรุนแรงที่วนเข้าหาตัวเองแล้ววนหนีออกไป ไม่อยากทำตัวเอง ไปทำคนอื่น” นพ.วรตม์ ฝากทิ้งท้าย
ด้าน นายวัลลภ ปิยะมโนธรรม ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยา ที่ปรึกษาศูนย์พัฒนาความสุขมนุษย์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) กล่าวว่า ตนเป็นห่วงค่านิยมเร่งอัดความรู้ทางวิชาการให้เด็กตั้งแต่อายุน้อยๆ เช่น เพิ่งเข้าชั้นอนุบาลก็เร่งติววิชาคณิตศาสตร์หรือภาษาต่างประเทศแล้ว เพราะจากประสบการณ์ที่พบเห็นตั้งแต่สมัยยังเป็นวัยรุ่นวัยเรียน จนกระทั่งโตขึ้นมาประกอบอาชีพเป็นเป็นนักจิตวิทยา พบกลุ่มคนที่ถูกพ่อแม่ผู้ปกครองเคี่ยวเข็ญให้เรียนอย่างหนักจำนวนไม่น้อยมีปัญหาสุขภาพจิตจนต้องเข้ามารับการบำบัดรักษา
ซึ่งการอัดวิชาการแบบติวเข้มมากเกินไปตั้งแต่อายุยังน้อย เด็กจะโตมาแบบเก็บตัวแยกจากสังคม ทำให้ใช้แต่เพียงสมองซีกซ้าย ขาดการใช้สมองซีกขวาที่เป็นเรื่องของสติ อารมณ์และความรู้สึก ทำให้มีทักษะทางสังคมน้อยมาก และสิ่งใดที่ใช้มากเกินไปย่อมเสื่อม นั่นคือเกิดความเครียดมากกว่าปกติ โดยโรคจิตเภท (Schizophrenia) เหตุที่มีอาการประสาทหลอน เพราะเป็นสมองซีกขวา มองเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ได้รส ซึ่งเด็กคนหนึ่งต้องถูกเก็บตัวให้ติวหนังสือเป็นชั่วโมงๆ แทนที่จะได้เที่ยวได้สนุก
“เมื่อไรมีคำว่าหูแว่ว มีคนสั่ง แล้วเมื่อไรมีภาพหลอนว่าคนจะมาทำร้าย ก็คือเป็นโรคจิตเต็มตัว แต่เรายังไม่ค่อยรู้ จริงๆ อาจจะรู้แต่ปัญหาคือไม่ควรให้คนโรคจิตอยู่หรือแตะต้องกับสิ่งที่เป็นอาวุธ แต่เราประมาทไป คนโรคจิตขาดสติให้มีอาวุธไม่ได้เลย อาวุธปืน อาวุธมีดยังไม่ได้ เพราะเวลาเขาขู่ขึ้นมา เขาคิดว่าคนจะมาทำร้ายเขาต้องรีบทำร้ายคนอื่นก่อน อันนี้คืออันตรายมาก เพราะอาชญากรรมเด็กทั่วโลกเลยกำลังเป็นแบบนี้” นายวัลลภ ระบุ
นายวัลลภ กล่าวต่อไปว่า ผู้ที่เข้ามารับการบำบัดรักษากับตน จำนวนมากมีประวัติการศึกษามาจากโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัยระดับชั้นนำด้านวิชาการ และมักเรียนในคณะหรือสาขาวิชาที่ใช้ค่าควมฉลาดทางสติปัญญา หรือไอคิว (Intelligence Quotient-IQ) สูง ดังนั้นระยะหลังๆ จึงมีแนวคิดว่าควรส่งเสริมความฉลาดทางอารมณ์ หรืออีคิว (Emotional quotient -EQ) รวมถึงความฉลาดทางสังคม หรือเอสคิว (Social Quotient-SQ) ควบคู่กันไปด้วย
นอกจากนั้นยังพบว่า ปัจจุบันมีผู้ป่วยเป็นโรคซึมเศร้าเข้ามารักษาเพิ่มมากขึ้น โดยเมื่อซักประวัติก็พบว่าถูกกดดันให้ต้องเรียนในสิ่งที่ไม่ตรงกับความชอบหรือความถนัดของตนเอง ชิวิตที่ผ่านมาอยู่ด้วยการฝืนมาตลอด และเมื่อซึมเศร้าถึงจุดหนึ่งก็อาจจบลงด้วยการฆ่าตัวตาย หรือไม่ด้วยความที่เก็บตัวอยู่คนเดียว คิดเองตอบเองอยู่คนเดียว ก็อาจนำไปสู่อาการหวาดระแวงแล้วไปทำร้ายบุคคลอื่นได้
ซึ่งเรื่องเหล่านี้โลกตะวันตกรับรู้มาก่อนแล้ว เพราะเห็นจากพฤติกรรมการก่ออาชญากรรมต่างๆ เพราะโลกตะวันตกความเป็นสังคมเริ่มมีน้อยลง ขณะเดียวกันยุคนี้เทคโนโลยียังเอื้อให้คนแยกตัวอยู่คนเดียว จะเล่นเกมหรือจะทำอะไรก็ไม่จำเป็นต้องออกไปหาสังคมนอกบ้าน มือถือใช้อยู่คนเดียวไม่ต้องมองหน้าใคร จึงเรียกกันว่าสังคมก้มหน้า หรือแม้แต่ไปอยู่ตามร้านเกมก็กลายเป็นต่างคนต่างเล่นไม่สนใจใคร ทั้งนี้ ตนอยากฝากถึงพ่อแม่ผู้ปกครอง หากไม่รู้ว่าบุตรหลานถนัดอะไร ควรปรึกษานักจิตวิทยา หรือคณะหรือศูนย์ด้านจิจวิทยา เพราะมีเครื่องมือตรวจวัดอยู่แล้ว
“ถ้าไม่แน่ใจว่าบุตรหลานถนัดอะไรก็มีที่ตรวจอยู่แล้ว นักจิตวิทยาทั่วเมืองไทย หรือคณะจิตเวช หรือศูนย์จิตวิทยา เขามีตรวจความถนัด อย่างผมเคยอยู่ที่คณะแพทย์ที่เขาเอาความถนัดมาวัด ก็ว่าทำไมนักศึกษาแพทย์ฆ่าตัวตายทุกปี เพราะเขาไม่ถนัดแต่ค่านิยมว่าต้องเรียนหมอ ฉะนั้นพอตรวจความถนัดว่าไม่ควรเป็นหมอ ก็ไม่ให้เข้าเลย เขาเรียกว่า Aptitude Test (แบบทดสอบความถนัด) มีตรงนี้ขึ้นมาว่าเหมาะไหมถึงแม้จะเรียนเก่ง” นายวัลลภ กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี