เกษตรกรจังหวัดตรังปลูกข้าวสีชมพูบนเกาะสุกร อำเภอปะเหลียน เป็นแหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่ที่ใหญ่ที่สุดในภาคใต้ พร้อมชักชวนเกษตรกรชาวเกาะปลูกข้าวสีชมพูให้เต็มผืนนาหวังขยับเป็นแลนด์มาร์คนาข้าวสีชมพูที่ใหญ่ที่สุดในโลกภายใน 2-3 ปีนี้โดยจะรับซื้อเมล็ดพันธุ์คืนราคาไม่ต่ำกว่ากิโลละ 1,000 บาท นอกจากนี้ยังมีเมล่อนให้ชิมฟรีเกือบ 10 สายพันธุ์ด้วย ทำนักท่องเที่ยวแห่เช็คอินคึกคัก
วันนี้ (9 ต.ค.66) นายวสันต์ สุขสุวรรณ เกษตรจังหวัดตรัง นำผู้สื่อข่าวพร้อมด้วยเกษตรอำเภอปะเหลียนและนักวิชาการเกษตรฯลงพื้นที่หมู่ที่ 2 ต.เกาะสุกร อ.ปะเหลียน จ.ตรัง เพื่อไปชมแปลงนาข้าวสีชมพูบนเนื้อที่ 2 ไร่ ซึ่งเป็นของนายมงคล ธราดลธนสาร หรือ บอล อายุ 42 ปี ชาว จ.มหาสารคาม ที่หลงใหลมนต์เสน่ห์ความสวยงามและความน่ารักของชาวบ้านบนเกาะสุกรจึงตัดสินใจซื้อที่ดินจำนวน 8 ไร่ปลูกข้าวสีชมพู 2 ไร่และปลูกเมล่อน 10 โรงเรือนๆ ละ 1 สายพันธุ์อีกจำนวน 6 ไร่เพื่อให้เป็นแลนด์มาร์กแห่งใหม่ที่ใหญ่ที่สุดในภาคใต้ต้อนรับไฮซีซั่น โดยใช้ชื่อฟาร์มว่า "มีตรังฟาร์มเมล่อนบนเกาะสุกร" ทำนักท่องเที่ยวแห่เช็คอินกันอย่างคึกคัก
โดยได้ซื้อเมล็ดพันธุ์ข้าวสีชมพูมาจาก จ.พิษณุโลกเมื่อปี 2564 ราคากิโลละ 70,000 บาท แต่มีการปลอมปนข้าวชนิดอื่นมาด้วย จึงต้องเสียเวลาปลูกเพื่อคัดแยกสายพันธุ์ใหม่โดยใช้เวลาอยู่ประมาณ 2 ปีจึงได้ข้าวสีชมพูพันธุ์แท้ ซึ่งปัจจุบันราคาขายอยู่ที่กิโลละ 44,000 บาท หรือตกเมล็ดละ 1 บาท และเริ่มลงมือปลูกเมื่อต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมาเป็นปีแรก ซึ่งตอนนี้ต้นข้าวสีชมพูกำลังเติบโตอย่างสวยงาม เป็นสีชมพูอมม่วงมองเห็นโดดเด่นแต่ไกล ส่วนในนาข้าวยังมีปลาธรรมชาติและปลูกดอกบัวสีชมพู สร้างสีสันและความประทับใจให้กับนักท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก จนต้องแวะถ่ายรูปเป็นที่ระลึกกันทุกคน
ข้าวสีชมพูใช้เวลาปลูกประมาณ 120 วันโดยจะเริ่มเก็บเกี่ยวได้ประมาณเดือนธันวาคมนี้ ซึ่งเมล็ดพันธุ์ที่ได้ ส่วนหนึ่งจะนำไปแจกจ่ายให้กับเกษตรกรบนเกาะสุกรนำไปปลูก หวังขยับเป็นนาข้าวสีชมพูที่ใหญ่ที่สุดในโลกให้เกิดขึ้นภายใน 2-3 ปีนี้ และจะรับซื้อเมล็ดข้าวสีชมพูคืนในราคาไม่ต่ำกว่ากิโลกรัมละ 1,000 บาท เพื่อให้เกษตรกรบนเกาะมีรายได้เสริมจากการท่องเที่ยวและการขายเมล็ดข้าวสีชมพูอีกทางหนึ่งด้วย
เมล็ดข้าวอีกส่วนหนึ่งยังมีแผนส่งออกไปขายยังประเทศมาเลเซีย เวียดนามและประเทศอื่น ๆ ที่มีความต้องการสูงในอนาคตอันใกล้ ส่วนรสชาติข้าวสีชมพู เกษตรกรผู้ปลูกยังไม่ได้ทดลองกิน เนื่องจากข้าวมีราคาแพง จึงเก็บเมล็ดไว้เพื่อขยายพันธุ์เท่านั้น แต่เชื่อว่ามีคุณค่าทางโภชนาการสูงมาก
นอกจากนี้ ยังมีเมล่อนอีก 10 สายพันธุ์ได้แก่พันธุ์แสนดี,พันธุ์แสนหวาน, ดรากอนบอล, ไข่มังกร, สโนกรีน, แจ่มจันทร์, หยกมงคล, มะลิ, ฮามิกัว HM 007 และเฮามิกลัว รอนักท่องเที่ยวเข้าชิมฟรีทั้ง 10 โรงเรือน ซึ่งปลูกไว้โรงเรือนละ 250-300 ลูกโดยขายราคากิโลละ 150 บาท และให้นักท่องเที่ยวไปเลือกตัดสดจากต้นได้ตามความพอใจ ส่วนต้นเมล่อนและเปลือกเมล่อนยังใช้เป็นอาหารของเป็ดและห่านในฟาร์มได้อีกทางหนึ่งด้วย โดยฟาร์มแห่งนี้เปิดรับนักท่องเที่ยวครั้งแรกเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาและจะเปิดทุกวันไม่มีวันหยุด ตั้งแต่เวลา 08.30 น.-18.00 น.ทุกวัน ส่วนใครสนใจสามารถติดตามได้ทางเพจเฟสบุ๊ก มีตรังฟาร์มเมล่อนบนเกาะสุกร หรือที่หมายเลขโทรศัพท์ 086-1156295
ด้านนายมงคล ธราดลธนสาร เกษตรกรผู้ปลูกข้าวสีชมพูรายใหญ่ในภาคใต้ กล่าวว่า จริง ๆ แล้วตนเป็นคน จ.มหาสารคามแล้วมาซื้อที่บนเกาะสุกร มีความชอบเกาะสุกรที่มีการทำการเกษตร ทำนา แล้วตนก็ทำธุรกิจเกี่ยวกับเมล็ดพันธุ์อยู่แล้ว พอตนเห็นข้าวสีชมพูที่ขายที่ จ.พิษณุโลก ตนก็ซื้อมาในราคากิโลละ 70,000 บาท เมื่อเอามาปลูกก็เห็นว่ามีปลอมปนเยอะ จึงนำมาคัดพันธุ์ในโรงเรือนอยู่ 2 ปี พอได้พันธุ์ปุ๊บนึกถึงเกาะสุกรเป็นที่แรก เพราะที่นี่มีการทำนา
แต่เป็นนาที่ทำแล้วใช้ทานอย่างเดียว และหลังทำนาก็มีการปลูกแตงโมอย่างเดียวอย่างอื่นก็เป็นการกรีดยาง จึงคิดว่าผลตอบแทนได้น้อย จึงนำข้าวสีชมพูมาปลูกแล้วได้ผล จึงมีการส่งเสริมชาวบ้านในการปลูก เพื่อให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวใหม่ ถ้าชาวบ้านปลูกข้าวสีชมพูทั้งหมด ก็จะเป็นที่แรกในโลกก็ว่าได้ และเมล็ดพันธุ์ยังมีมูลค่าสูงอยู่ ปัจจุบันขายอยู่เม็ดละ 1 บาทตกอยู่ที่กิโลละ 44,000 บาท ถ้าเราส่งเสริมและรับซื้อคืนจากเกษตรกรได้และขายให้กับเกษตรกรที่สนใจ ซึ่งตอนนี้มีเกษตรกรสนใจมาก รวมถึงลูกค้าในต่างประเทศ เช่นมาเลเซีย เวียดนาม แต่ยังไม่มีเมล็ดพันธุ์ขาย
ที่สำคัญคือยังไม่ทราบว่าข้าวสีชมพูรสชาติเป็นยังไง เพราะยังแพงอยู่เลยยังไม่ได้เอามารับประทาน ปีนี้ที่เกาะสุกรประมาณเดือนธันวาก็จะเก็บเกี่ยว แล้วจะเอามาสีรับประทานดู คิดว่าข้าวที่มีเม็ดสีแบบนี้น่าจะมีคุณค่าทางโภชนาการมากอยู่แล้ว ซึ่งอาจจะส่งไปวิเคราะห์ในแล็ปต่อไป ซึ่งพื้นที่ปลูกมี 1 งานกับหน้าบ้านไร่ครึ่งหรือเกือบๆ 2 ไร่ ซึ่งตอนนี้เมล็ดพันธุ์ข้าวที่ได้มาจะมีการประชุมกับผู้นำชุมชน ก่อนว่า ถ้าเกษตรกรยินดีที่จะปลูกให้ ทางเราก็ยินดีที่จะส่งเสริม โดยให้เมล็ดพันธุ์ไปแต่ขายคืนกลับมาให้เรา เพราะเราทำธุรกิจเมล็ดพันธุ์ก็มีคนสนใจเมล็ดพันธุ์เยอะ แต่จะรับซื้อคืนกิโลเท่าไหร่ยังนึกไม่ออก เพราะราคาขายก็ยังตั้งไม่ได้ แต่น่าจะมากกว่ากิโลละ 1,000 บาท
ส่วนเมล่อนตอนนี้ปลูกอยู่ 10 สายพันธุ์ 10 โรงเรือน ๆ ละ 1 สายพันธุ์ เป็นการทดสอบสายพันธุ์ด้วยว่าสายพันธุ์ไหนเหมาะสมและปลูกอยู่ทุก 10 วันเพื่อให้มีเมล่อนขายตลอดทั้งปี ตอนนี้เก็บไป 2 รุ่นแล้ว พันธุ์แรกชื่อแสนดี มีผลผลิตอยู่ประมาณ 300 กิโลกรัมต่อโรงเรือน ส่วนที่เก็บวันนี้ชื่อดรากอนบอลน่าจะได้ประมาณ 300 กิโลต่อโรงเรือนเช่นกัน ขายกิโลละ 150 บาทและขายหมดเกลี้ยง - 003
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี