“เงินดิจิทัล 1 หมื่นบาท” เป็นโครงการที่รัฐบาลปัจจุบันภายใต้การนำของ “พรรคเพื่อไทย” เชื่อมั่นว่าจะสามารถ “กระตุ้นเศรษฐกิจ” ได้ จึงพยายามผลักดันมาตั้งแต่ช่วงหาเสียงเลือกตั้ง แต่ขณะเดียวกันก็มี “เสียงคัดค้าน” ด้วยข้อห่วงใยว่าอาจ “ได้ไม่คุ้มเสีย” กระทบต่อวินัยการคลัง ก่อหนี้ให้คนรุ่นหลัง และไม่ได้ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้มากมายอย่างที่ตั้งเป้าหมายไว้ หนึ่งในนั้นคือ รสนา โตสิตระกูล อดีตสมาชิกวุฒิสภา (สว.) กรุงเทพฯ ที่เดินหน้าร้องเรียนต่อทุกองค์กรที่เกี่ยวข้อง หวังหยุดยั้งไม่ให้โครงการดังกล่าวเกิดขึ้น
ในรายการ “แนวหน้า Talk” ประจำวันที่ 31 ต.ค. 2566 ซึ่งมี บุญยอด สุขถิ่นไทย เป็นผู้ดำเนินรายการ รสนา เล่าว่า ได้ไปยื่นหนังสือต่อทั้งสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) โดยในส่วนของ สตง. มีการปรับปรุงกฎหมาย “มาตรา 8 : เพื่อประโยชน์ในการระงับหรือยับยั้งความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นกับการเงินการคลังของรัฐ ให้ผู้ว่าการ สตง. เสนอผลการตรวจสอบการกระทำที่ไม่เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยวินัยการเงินการคลังของรัฐ และอาจก่อให้เกิดความเสียหายแก่การเงินการคลังของรัฐอย่างร้ายแรง ต่อคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน (คตง.)”
ซึ่งหาก คตง. เห็นว่ารายงานการตรวจสอบโดยผู้ว่าฯ สตง. เป็นไปโดยชอบและมีเหตุมีผล ก็สามารถเชิญประธาน กกต. และ ป.ป.ช. มาร่วมประชุม และหากทั้ง 2 หน่วยงานเห็นตรงกับ สตง. ก็จะร่วมลงนามในรายงานเพื่อเสนอต่อสภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา คณะรัฐมนตรี (ครม.) รวมถึงเปิดเผยต่อประชาชน โดยหากทั้ง 3 องค์กรอิสระเห็นตรงกันว่าผิดกฎหมาย รัฐบาลก็ต้องพิจารณาระงับโครงการ อย่างไรก็ตามขณะนี้ สตง. ยังไม่สามารถตรวจสอบอะไรได้ เพราะต้องรอรัฐบาลเสนอเป็นมติ ครม. เสียก่อนเพื่อให้เกิดความชัดเจน เช่น แหล่งที่มาของเงิน วิธีการแจก ฯลฯ
“ตอนนี้ก็ต้องบอกว่า เนื่องจากรัฐบาลโดนเสียงทักท้วงอะไรต่อมิอะไร ก็คงคิดอะไรเยอะ แล้วหลังจากอันนี้ ที่จริงก็ทำจดหมายอีกฉบับหนึ่งไปถึง กกต. อย่างกรณีของพรรคเพื่อไทย ตอนที่จะเลือกตั้งเขาได้เสนอกับ กกต. ว่าจะหาเสียงแบบนี้นะ เป็นเรือธงของเขาได้ไหม?ซึ่ง กกต. บอกว่าได้ แต่ประเด็นคือคำว่าได้ตอนนั้น เนื่องจากจะใช้เงินงบประมาณ ใช้โน่นใช้นี่ แต่ตอนนี้กลายเป็นว่าไม่ใช่แล้วไง มันมีประเด็นหลายอย่างเข้ามา ซึ่งตอนนั้นก็เป็นประเด็นที่ทำเสนอกับทาง สตง. ด้วย ประมาณ 6 ประเด็น ที่ทำเรื่องไป” รสนา กล่าว
อดีต สว. กรุงเทพฯ ฉายภาพปัญหาของโครงการเงินดิจิทัล 1 หมื่นบาท 1.ด้านกฎหมาย โครงการขนาดใหญ่ต้องใช้เงินงบประมาณแผ่นดิน โดยรัฐธรรมนูญฉบับ 2560 มาตรา 140 กำหนดให้การนำงบประมาณไปใช้รัฐบาลต้องนำเสนอเข้าสู่กระบวนการงบประมาณเพื่อให้รัฐสภาพิจารณา ซึ่งหากจะแจกภายในปี 2567 ก็ต้องใช้งบประมาณประจำปี 2567 แต่ในเมื่อรัฐบาลไม่เข้ากระบวนการงบประมาณ หมายถึงจะไม่ใช้เงินงบประมาณใช่หรือไม่ หรือการที่มีข่าวว่าจะไปกู้เงินจากธนาคารออมสิน ก็ต้องไปดูว่ามีกฎหมายให้ทำได้หรือไม่
2.ด้านวินัยการเงิน-การคลัง การใช้เงินงบประมาณต้องไม่เป็นไปเพื่อผลของการหาเสียง โดยเฉพาะมีข้อสังเกตเรื่อง “จ่ายตั้งแต่อายุครบ 16 ปีบริบูรณ์” จึงอยากให้ กกต. ตรวจสอบเพราะเข้าข่าย “นโยบายประชานิยม”ซึ่งโดยปกติการนำเงินออกมาใช้หรือต้องกู้เงิน จำเป็นต้องมีสถานการณ์ฉุกเฉินรองรับ เช่น น้ำท่วมใหญ่ปี 2554 หรือสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาแต่ปัจจุบันนี้ไม่ได้มีสถานการณ์อะไรที่ฉุกเฉิน
ส่วนที่รัฐบาลบอกว่าทุกวันนี้เศรษฐกิจยังมีปัญหาอยู่จึงต้องการการอัดฉีด ลองดูในภาพรวม เช่น บอกว่าเงินที่แจกต้องใช้ให้หมดภายใน 6 เดือน ซึ่งงบทั้งหมดที่จะนำมาใช้คือ 5.6 แสนล้านบาท ลองสมมุติประเทศชาติเป็นครอบครัวที่ไม่ได้ร่ำรวยนัก พ่อหรือหัวหน้าครอบครัวบอกว่าเดี๋ยวจะไปกู้เงินมาให้ลูกๆ ใช้กันเต็มที่ ถามว่าแบบนี้มีประโยชน์อะไร แล้วหากวันหนึ่งพ่อไม่อยู่บ้าน ลูกๆ ก็จะต้องมาตามใช้หนี้ไปอีกนานหลายปี
ทั้งนี้ การที่รัฐบาลบอกว่าจะดันการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวม (GDP) ให้สูงขึ้น โดยในปี 2566 อยู่ที่ร้อยละ 2.8 ตั้งเป้าว่าปีต่อๆ ไปจะต้องสูงขึ้น โดยหวังว่าจะให้ GDP โตถึงร้อยละ 5 แต่ถามว่าเหมาะสมจริงหรือกับการนำงบประมาณมหาศาลมาทุ่มกับเรื่องนี้ และหาก กกต. บอกว่าทำได้ ก็เชื่อว่าต่อไปพรรคอื่นก็จะทำบ้าง อาจมีบางพรรคหาเสียงแจก 1 แสนบ้าง 5 แสนบ้าง ช่วงใกล้เลือกตั้ง แบบนี้ประเทศคงแย่
“อยากให้ กกต. ทบทวน ไม่ใช่แค่กฎหมายเลือกตั้งคุณต้องดูกฎหมายอื่นๆ ด้วย กฎหมายพรรคการเมือง กฎหมายอะไรทั้งหลาย สามารถทำอย่างนี้ได้ไหม? ยังมีประเด็นเรื่อง พ.ร.บ.เงินตรา พ.ศ.2501 ก็ต้องถามว่าเงินที่รัฐบาลจะแจกมันไม่ใช่แจกแบบเงินบาท มันจะเป็นสกุลใหม่หรือเปล่า? ซึ่งจะมาแจกแบบนี้น่าจะไม่ชอบด้วยกฎหมายไหม? อันนี้มันอยู่ในประเด็นที่ร้องเรียนไป รัฐบาลเขาเลยส่งคำถามไปขอให้กฤษฎีกาตอบ 3 เรื่อง 1.เรื่องวินัยการเงินการคลัง 2.เรื่องกู้ออมสิน 3.เรื่องของ พ.ร.บ.เงินตรา” รสนา ระบุ
โดยในส่วนของกฎหมาย พ.ร.บ.เงินตรา ที่กฤษฎีกาตีความนั้น หากการแจกเงินดิจิทัลแล้วรัฐบาลไม่สามารถเก็บเงินทั้งหมดกลับมาแลกเป็นเงินสดให้ได้ครบภายใน6 เดือน อาจเข้าข่ายผิดกฎหมายเพราะกลายเป็นเงินสกุลใหม่แต่ในมุมของนักกฎหมายระดับอดีตผู้พิพากษาศาลฎีกาท่านหนึ่ง บอกให้ไปดู พ.ร.บ.เงินตรา พ.ศ.2501 ซึ่งนิยามของเงินตราต้องเป็นวัตถุจับต้องได้อย่างธนบัตรหรือเหรียญกษาปณ์ ดังนั้น เงินดิจิทัลที่อยู่ในอากาศจึงไม่น่าจะอยู่ในนิยามของกฎหมายฉบับนี้ หากรัฐบาลต้องการแจกเงินดิจิทัลก็ต้องแก้กฎหมายนี้ก่อนด้วย
จึงกลายเป็นคำถามว่า กฤษฎีกาตีความเรื่องหากเก็บเงินกลับมาให้ครบภายใน 6 เดือน ถือว่าไม่ผิดนั้นชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ขณะที่เมื่อเปรียบเทียบกับคูปอง อดีตผู้พิพากษาท่านนี้ก็อธิบายว่า คูปองนั้นใช้ในวงแคบ เช่น ศูนย์อาหารของห้างสรรพสินค้า ต่างจากเงินดิจิทัลที่ทุกคนใช้กันทั่วประเทศ ไม่ว่าจะไปใช้ที่จังหวัดใดก็ตาม และกำหนดว่าจะร้านค้าที่ขายสินค้าโดยรับเงินดิจิทัลจะแลกกลับเป็นเงินสดสกุลเงินบาทต้องรอให้ครบ 6 เดือน
คำถามคือจะไม่เกิดปัญหาใดๆ เลยหรือ ลองนึกถึงร้านค้าเล็กๆ รายย่อยที่สายป่านไม่ยาว แต่จะเอาไปแลกเป็นสินค้า คนจะเชื่อหรือไม่ว่าเงินดิจิทัลนี้คือเงิน ในขณะที่คูปองรับมาและแลกคืนแบบทางเดียว แต่เงินดิจิทัลนั้นทั้งรับมาและแลกเปลี่ยนออกไปแบบเดียวกับเงินตรา เรื่องนี้ต้องให้นักกฎหมายเป็นผู้ตัดสิน และการที่กฤษฎีกาตีความมาแบบนี้ไม่น่าจะถูกต้อง รัฐมนตรีอาจอนุญาตได้ แต่ก็ไม่สามารถดำเนินการได้เพราะกฎหมายไม่ได้เปิดช่องให้ทำ และหากฝืนจะทำให้ได้ก็อาจมีความผิดถึงขั้นติดคุก
“คุณถอยดีกว่าไหม? อย่าไปคิดเรื่องเสียหน้า คือเรามองประโยชน์ว่าเราใช้เงินของแผ่นดินซึ่งเป็นเงินของประชาชนทุกคน เราควรทำให้มันมีประโยชน์ ซึ่งที่จริงรัฐมนตรีหลายคนในรัฐบาลนี้ออกมาโต้ว่า ไปเปรียบเทียบกับ 30 บาท รักษาทุกโรค ว่า 30 บาท สมัยก่อนก็มีคนทักท้วง ซึ่งอันที่จริงคนละเรื่อง เพราะต้องบอกว่า 30 บาท รักษาทุกโรคมันเป็นสวัสดิการ แต่อันนี้มันเป็นประชานิยม มันแจกเงิน มันคนละเรื่อง อย่าเอามาอ้าง อยากเตือนด้วยความหวังดีว่าทำอะไรให้รอบคอบ อย่าไปคิดเพียงว่าเรามีความคิดบรรเจิด ทำแล้วให้มันปังไปเลย กลัวว่าจะไม่ปัง มันจะพังเอา” อดีต สว.กรุงเทพฯ กล่าว
จากประเด็นแจกเงินดิจิทัล “บุคคล ณ ชั้น 14โรงพยาบาลตำรวจ” ก็เป็นอีกเรื่องที่สังคมให้ความสนใจ ซึ่ง รสนา แสดงความเป็นห่วง เพราะทำให้มองเห็นถึงความเหลื่อมล้ำในกระบวนการยุติธรรมซึ่งไม่ใช่เรื่องดี โดย ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่กระทำผิดต้องโทษ เมื่อกลับมารับโทษจากจำคุก 8 ปี ได้รับพระราชทานอภัยโทษโดยลดโทษเหลือจำคุก 1 ปี หากใช้ชีวิตเวลานี้ในฐานะนักโทษ จะเป็นการปกป้องความยุติธรรม ทำให้สังคมเห็นว่าความยุติธรรมมีอยู่จริงแต่พอมาทำแบบนี้คนก็รู้สึกว่าเหมือนหลอกกัน
และการที่ ทักษิณ กลับมาในรัฐบาลชุดปัจจุบันก็มีคำถามว่าต้องการอาศัยรัฐบาลนี้คุ้มครองตนเองหรือไม่ เท่ากับว่าทำให้รัฐบาลเสียชื่อเสียงไปด้วย ชาวบ้านทั่วๆ ไปจะมองอย่างไร รวมถึงการต่อสู้ทางการเมืองที่ยาวนานเป็นสิบปี การที่บอกจะก้าวข้ามความขัดแย้ง ซึ่งการใช้ชีวิตแบบนักโทษ คนก็ยังพร้อมจะให้อภัยและกลับมาเริ่มต้นใหม่ได้แต่ภาพที่เห็นในปัจจุบัน ทำให้คนเกิดความรู้สึกรับไม่ได้ ไม่พอใจซึ่งก็ขึ้นอยู่กับว่าจะปะทุออกมาหรือเปล่า และแม้ฝ่ายที่เชียร์รัฐบาลจะบอกว่าไม่เป็นไร แต่สิ่งสำคัญคือต้องทำให้ทุกคนอยู่ภายใต้กฎหมาย
ส่วนประเด็น “การแก้ไขรัฐธรรมนูญ” ก่อนอื่นต้องบอกว่า “รัฐธรรมนูญร่างโดยผู้ชนะ” ทุกครั้งที่มีการรัฐประหารสำเร็จ คณะรัฐประหารก็จะร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่แต่รัฐธรรมนูญฉบับที่เป็นของประชาชนจริงๆ ต้องย้อนกลับไปหลังเหตุการณ์ 14 ตุลาฯ 2516 และหลังเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ2535 ที่นำไปสู่การร่างรัฐธรรมนูญฉบับ 2540 อันเป็นฉบับที่ประชาชนมีส่วนร่วมในการร่างอย่างเต็มที่ แต่หลังจากนั้นก็ยังไม่มีรัฐธรรมนูญที่ประชาชนมีสิทธิ์ในการร่างอย่างแท้จริงอีก
ดังนั้น เมื่อการร่างรัฐธรรมนูญกลับไปอยู่ในมือผู้ชนะก็ร่างกันตามความพอใจของผู้ชนะ ขณะที่การเลือกตั้งที่ผ่านมาประชาชนชนะจริงหรือ? เพราะรัฐบาลปัจจุบันก็มาจากการจูบปากกันของฝ่ายทำรัฐประหารกับฝ่ายถูกทำรัฐประหาร การร่างรัฐธรรมนูญที่จะเกิดขึ้นในรัฐบาลนี้จึงไม่น่าจะบอกว่าเป็นชัยชนะของประชาชน ทั้งนี้ สัญญา ธรรมศักดิ์ นายกรัฐมนตรีพระราชทาน ช่วงหลังเหตุการณ์ 14 ตุลาฯ 2516 เคยกล่าวว่า “การลุกขึ้นสู้ของประชาชนในเหตุการณ์ 14 ตุลาฯ 2516 ต้องการเรียกร้องให้การกำจัดการทุจริตคอร์รัปชั่นด้วย” ไม่ได้เรียกร้องเฉพาะรัฐธรรมนูญ
“อันนั้นเป็นสาระสำคัญที่ไม่เคยมีใครพูดถึง ดังนั้นหลังจากที่อาจารย์สัญญา ธรรมศักดิ์ เป็นนายกฯ ท่านจึงได้ตั้ง ป.ป.ป. (สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในวงราชการ) ขึ้นมาในปี 2518 แต่ในสมัยนั้นเขายังเห็นว่า การปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชั่นเป็นเรื่องของข้าราชการ ประชาชนไม่เกี่ยว แต่พอมาถึงรัฐธรรมนูญปี 2540 เราเปิดกว้างให้ประชาชนมีส่วนในการตรวจสอบทุจริตคอร์รัปชั่นของรัฐโดยการรวบรวม 5 หมื่นรายชื่อ แล้วจาก ป.ป.ป.ก็เปลี่ยนมาเป็น ป.ป.ช.” รสนา กล่าว
อนึ่ง แม้จะเป็นรัฐธรรมนูญฉบับ 2540 ที่ว่าดีที่สุด แต่การนำมาใช้ในมุมการตรวจสอบทุจริตนั้นก็ไม่ง่าย จากประสบการณ์ตรวจสอบทุจริตมาหลายเรื่อง ความรู้สึกเหมือนเดินอยู่ในเขาวงกต เพราะรัฐธรรมนูญจะเขียนให้ดีแค่ไหนแต่ก็ไม่ค่อยถูกใช้ในทางปฏิบัติ รวมถึงรัฐบาลปัจจุบันหากดูจากภูมิหลัง ก็ไม่เชื่อว่ารัฐธรรมนูญที่จะร่างกันใหม่จะตอบโจทย์การตรวจสอบทุจริต
ซึ่งหากมองว่าการทุจริตเป็นมะเร็งร้ายหรือเป็นสนิมกัดกินเนื้อเหล็ก ต้องทำให้ประชาชนร่วมตรวจสอบการทุจริตได้ง่ายขึ้น หรือทำให้ประชาชนตื่นตัวไม่ยอมรับการทุจริต ไม่ใช่เห็นว่าทุจริตแล้วทำงานดี หรือทุจริตแล้วแบ่งมาที่ตนเองบ้าง ก็หยวนๆ กันได้ ทัศนคติแบบนี้ต้องถูกปรับเปลี่ยน ทำให้เกิดสำนึกใหม่ อย่างไรก็ตาม การเลือกตั้งครั้งล่าสุดนั้นก็มองเห็นภาพอะไรใหม่ๆ นั่นคือบรรดา “บ้านใหญ่” พ่ายแพ้ เรื่องนี้สะท้อนความเบื่อหน่ายตลอด 8-9 ปีที่ผ่านมา ที่ความคาดหวังในการปฏิรูปให้บ้านเมืองมีความเป็นธรรมไม่เกิดขึ้น
โดยการเมืองแบบไทยๆ นั้นเรียกว่าเป็นธุรกิจการเมือง ลงทุนเต็มที่แล้วไปถอนทุนคืนภายหลัง กลุ่มทุนจึงเข้าไปอยู่เบื้องหลังพรรคการเมือง และเมื่อพรรคการเมืองได้เป็นรัฐบาลก็จะแต่งตั้งคนจากกลุ่มทุนมาเป็นฝ่ายบริหารเพื่อเอื้อประโยชน์ให้กลุ่มทุนนั้น เรื่องเหล่านี้ประชาชนเห็นและเบื่อหน่ายแต่ไม่รู้จะทำอย่างไร ดังนั้นการเลือกตั้งที่ผ่านมา จึงมีพรรคการเมืองที่ได้รับเลือกทั้งๆ ที่ไม่ซื้อเสียง อย่างไรก็ตามบ้านใหญ่ทั้งหลายก็ไม่ได้ล่มสลายไปหมด จึงยังไม่อาจคาดการณ์ได้ว่าอนาคตการเมืองไทยจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร
สุดท้ายคำถามว่า “รัฐบาลปัจจุบันภายใต้การนำของนายกฯ เศรษฐา ทวีสิน จะอยู่ได้ตลอดรอดฝั่งหรือไม่?” เรื่องนี้ตอบได้ลำบากเพราะต้องยอมรับว่ากลุ่มทหารที่ทำรัฐประหารอยู่กับการเมืองไทยมายาวนานมาก โดยจะเปิดโอกาสให้มีการเลือกตั้งสลับเข้ามาบ้างเพื่อให้ประชาชนไม่เบื่อหน่าย แต่หากเลือกตั้งแล้วรัฐบาลทำในสิ่งที่ประชาชนมองว่าอันตรายอย่างมาก ก็อาจกลายเป็นการเปิดประตูเรียกหาการทำรัฐประหารได้อีก
แต่หากรัฐบาลมุ่งแก้ปัญหาให้ชาวบ้าน จะเป็นการช่วยป้องกันระบอบประชาธิปไตยจากการเลือกตั้งให้มันอยู่ยั้งยืนยงขึ้น เหมือนกับการปลูกต้นไม้ประชาธิปไตย แต่ปลูก
แล้วก็ถอนอยู่อย่างนั้นจึงไม่โตสักที ต้องให้เวลาได้เติบโตพัฒนา หรือก็คือให้เวลากับประชาชน แต่หากยังมีความคิดแบบเก่าว่าการเมืองมันเป็นธุรกิจ ลงทุนแล้วต้องกอบโกยให้ได้คนที่ทำทุจริตมีธุรกิจสีเทาก็อยากเข้าสู่การเมือง เพราะคิดว่าหากมีเงินแต่ไม่มีอำนาจในมือก็ไม่สามารถรักษาธุรกิจสีเทาได้ทุกคนก็จะมาทำแบบนี้ซึ่งมันไม่เป็นผลดีกับชาติบ้านเมือง
“เราถือว่าเราเป็นคนแก่แล้ว เป็นคนรุ่นเบบี้บูมเมอร์และเราต้องยอมรับว่าคนรุ่นเบบี้บูมเมอร์ทำบาปกรรมให้กับประเทศนี้ไว้เยอะ สำหรับตัวเองที่เป็นคนหนึ่งในรุ่นนี้เราก็จะพยายามทำอย่างดีที่สุดในการที่จะส่งมอบสังคมที่ดีให้คนรุ่นต่อไป ดังนั้นการออกมาเคลื่อนไหวแต่ละเรื่อง อย่างเรื่องเงินดิจิทัล หลายๆ คนอาจจะบอกว่าคุณรสนามีสตางค์ใช่ไหมถึงไม่อยากได้เงิน ทีประชาชนเขาไม่มีเขาอยากได้ แต่อันนี้ไม่ใช่แค่อยากได้ ใครๆ ก็อยากได้เงิน แต่ปัญหาคือเงินมาพร้อมกับหนี้ของลูกหลานในอนาคตที่เขายังไม่เกิดมาเลย คุณยุติธรรมกับลูกหลานเหล่านี้ไหม?”อดีต สว. กรุงเทพฯ กล่าว
หมายเหตุ : สามารถติดตามรายการ “แนวหน้า Talk” ได้ผ่านทางช่องยูทูบ “แนวหน้าออนไลน์” ทุกวันจันทร์-ศุกร์ ช่วงหัวค่ำโดยประมาณ!!!
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี