“ปี 2566” ที่กำลังจะผ่านพ้นไปนี้ มีเรื่องราวระดับ “บิ๊กเซอร์ไพรส์” เกิดขึ้นในแวดวง “การเมือง” อยู่พอสมควร ทั้งการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) วันที่
14 พ.ค. 2566 ที่ “พรรคก้าวไกล” ได้ที่นั่งสส. มาเป็น “อันดับ 1” แบบที่ไม่มีใครคาดคิดอย่างไรก็ตาม การหาเสียงของพรรคที่เล่นกับ “ประเด็นอ่อนไหว” อย่าง “ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112” ก็ทำให้พรรคก้าวไกลพลาดโอกาสในการตั้งรัฐบาลไป หวยก็เลยมาออกที่ “พรรคเพื่อไทย” ซึ่งขอ “แยกวง” ยกเลิก MOU ที่ทำกันไว้ มาเป็นแกนนำตั้งรัฐบาลเอง
ซึ่งในวันที่ 22 ส.ค. 2566 นอกจากจะเป็นวันที่ทั้ง สส. และสมาชิกวุฒิสภา (สว.) พากันโหวตให้ “เศรษฐาทวีสิน” ตัวแทนจากพรรคเพื่อไทยได้เป็นนายกรัฐมนตรีแล้ว ทุกสายตาของคอการเมืองไทยยังจับจ้องไปที่ “การกลับประเทศ” ของอดีตนายกฯ “ทักษิณ ชินวัตร” หลังหลบหนีคดีทุจริตไปอยู่ต่างแดนนานกว่าสิบปี ในตอนแรกไม่มีใครเชื่อว่าจะกลับ แต่เมื่อกลับมาและยังได้รับการลดโทษจากจำคุก 8 ปีเหลือ 1 ปี ก็ไม่เคยได้อยู่ในเรือนจำแม้แต่วันเดียว โดยถูกส่งตัวไปพักที่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ อ้างเหตุผลด้านสุขภาพ แม้สังคมตั้งคำถาม “แบบนี้ก็ได้หรือ?”
หรือจะเป็น “เรื่องวุ่นๆ ในค่ายพรรคสีฟ้าตราพระแม่ธรณีบีบมวยผม” เพราะนับตั้งแต่การเลือกตั้ง สส. จบลง “พรรคประชาธิปัตย์” ก็ไม่สามารถหาหัวหน้าพรรคคนใหม่ได้โดยง่าย มีการนัดประชุมพรรคแต่ก็ล่มมาหลายหน และแม้ในวันที่ 9 ธ.ค. 2566 จะได้ข้อสรุปที่ “เสี่ยต่อ-เฉลิมชัย ศรีอ่อน” นั่งเก้าอี้หัวหน้าพรรค แต่ก็เป็นเรื่องเหนือความคาดหมายเพราะก่อนหน้านี้ เฉลิมชัย เคยประกาศขอวางมือทางการเมือง รวมถึงการเลือกหัวหน้าพรรคครั้งนี้ยังแลกมาด้วย “รอยร้าว” สมาชิกระดับ “บิ๊กเนม” โบกมือลาจากสมาชิกพรรคไปหลายคน
รายการ “แนวหน้า Talk” ทางช่องยูทูบ “แนวหน้าออนไลน์” ซึ่งมี บุญยอด สุขถิ่นไทย เป็นพิธีกร ในตอนที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 20 ธ.ค. 2566 รศ.ดร.ธนพร ศรียากูล
ผู้อำนวยการสถาบันวิเคราะห์การเมืองและนโยบาย ชวนมองเหตุการณ์สำคัญทางการเมืองหลากหลายเรื่องราวที่จะเกิดขึ้นตั้งแต่ช่วงปลายปี 2566 ไปจนถึงล่วงเข้าสู่ปี 2567 ไล่เลียงกันไปตามลำดับ ดังนี้
1.ฟันธงได้เลยว่า “ทักษิณ ชินวัตร” จะไม่ต้องมีประสบการณ์การใช้ชีวิตในเรือนจำแม้แต่วันเดียว : หลังจากที่สังคมจับตาเรื่องการให้อดีตนายกฯ ทักษิณ ไปพักรักษาตัวที่ชั้น 14 รพ.ตำรวจ ตั้งแต่คืนแรกที่เดินทางกลับไทย และอยู่ยาวต่อเนื่องหลายเดือนแม้จะมีคำถามว่า ทักษิณ มีอาการป่วยรุนแรงขนาดต้องอยู่โรงพยาบาลนานขนาดนี้จริงหรือ แต่ล่าสุด “ระเบียบกรมราชทัณฑ์ว่าด้วยการดำเนินการสำหรับการคุมขังในสถานที่คุมขัง พ.ศ.2566” ที่เพิ่งออกมาในช่วงต้นเดือนธ.ค. 2566 ยิ่งทำให้เสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังขึ้นไปอีก
สาระสำคัญของระเบียบดังกล่าวนั้น “เปิดช่องให้ใช้สถานที่อื่น (เช่น บ้านพัก) เป็นสถานที่คุมขังแทนเรือนจำได้”ซึ่ง รศ.ดร.ธนพร มั่นใจว่า “อดีตนายกฯ ทักษิณ จะได้ใช้ระเบียบนี้แน่นอน” การันตีโดย “สมศักดิ์ เทพสุทิน”รองนายกรัฐมนตรีซึ่งกำกับดูแลกระทรวงยุติธรรมในรัฐบาลปัจจุบัน ที่ได้ “เปรย” ไว้แล้วในวันที่ 20 ธ.ค. 2566 ว่า “เข้าเกณฑ์เพราะมีโทษไม่เกิน 4 ปี และไม่ใช่บุคคลที่อยู่ในข่ายสิ่งที่น่ากลัวของสังคม” เมื่อท่านรองนายกฯ กล่าวไว้แบบนี้ แล้วทาง “กรมราชทัณฑ์” จะพิจารณาเป็นอื่นหรือไม่?
2.ชะตากรรมของ “เสี่ยโอ๋-ศักดิ์สยาม ชิดชอบ” สะเทือนถึง “พรรคภูมิใจไทย” : คดีนี้เป็นความต่อเนื่องมาจากรัฐบาลชุดก่อนหน้า ซึ่ง ศักดิ์สยามดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม พรรคฝ่ายค้านในขณะนั้นคือพรรคประชาชาติและพรรคก้าวไกล ได้ไปยื่นเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญ กรณีที่ ศักดิ์สยามยังคงเป็นผู้ถือหุ้นและเจ้าของห้างหุ้นส่วนจำกัด บุรีเจริญคอนสตรัคชั่น เท่ากับมีลักษณะต้องห้ามไม่ให้เป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง และในเบื้องต้น ศาล รธน. ได้สั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ รมว.คมนาคม
รศ.ดร.ธนพร กล่าวว่า คดีนี้ ศาล รธน. นัดฟังคำตัดสินวันที่ 17 ม.ค. 2567 ซึ่งโดยความเห็นของตนแล้วมองว่า “เสี่ยโอ๋น่าจะรอดยาก” และหากไม่รอดจริงๆ เรื่องนี้
จะส่งผลอย่างมีนัยสำคัญต่อพรรคภูมิใจไทยที่เป็นพรรคร่วมรัฐบาลชุดปัจจุบัน เพราะต้องยอมรับว่า ศักดิ์สยามนั้นเป็น“ร่างเงา – ร่างโคลนนิ่ง” ของผู้ยิ่งใหญ่ตัวจริงอย่าง “เนวินชิดชอบ” ขณะที่บุคคลซึ่งเป็นโควตาของ เนวิน ในรัฐบาลปัจจุบันอย่าง “พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ศักยภาพทางการเมืองไม่อาจเทียบกับ ศักดิ์สยาม ได้เลย
3.ถึงคราว “ด้อมส้ม” ต้องลุ้นระทึกกับชะตากรรมทั้งของ “พ่อทิม” และ “พรรคก้าวไกล” : อย่างที่ทราบกันดีว่า “ไฮโซทิม-พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” ขณะที่ยังดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคก้าวไกล ถูกร้องเรียนว่าอาจเข้าข่ายข้อห้ามไม่ให้เป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง กรณีถือหุ้นสื่อ “ไอทีวี (ITV)” ซึ่ง พิธา ก็พยายามต่อสู้ว่าถือไว้ในฐานะที่เป็นผู้จัดการมรดก อีกทั้ง ITV เองก็ไม่ได้ผลิตรายการหรือออกอากาศใดๆ อย่างที่สื่อมวลชนทำแล้ว โดยคดีนี้ในเบื้องต้น ศาล รธน. สั่งให้ พิธา หยุดปฏิบัติหน้าที่ สส.
รศ.ดร.ธนพร กล่าวถึงคดีของ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ว่า ศาล รธน. นัดฟังคำตัดสินวันที่ 24 ม.ค. 2567 ใครที่ติดตามข่าวจะเห็นว่า หลัง พิธา เข้าไปให้การต่อศาล ดูจะมีความมั่นใจว่าจะผ่านไปได้ ส่วนความเห็นของตน “เชื่อว่ากองเชียร์พรรคก้าวไกลจะได้เฮ เพราะโดยข้อเท็จจริงหลายอย่างยากที่จะบอกว่า ITV ยังเป็นสื่ออยู่” อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้นประมาณ 1 สัปดาห์ ก็อาจต้องมาลุ้นระทึกกันต่อ
เพราะยังมีคดีที่มีผู้ไปร้องให้ศาล รธน. วินิจฉัยว่า “นโยบายแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ของพรรคก้าวไกล เข้าข่ายเป็นปฏิปักษ์หรือล้มล้างการปกครองหรือไม่?” ซึ่ง รศ.ดร.ธนพร คาดการณ์ว่า ศาล รธน. น่าจะนัดฟังคำตัดสินในวันที่ 30 ม.ค. 2567 ส่วนที่หัวหน้าพรรคก้าวไกลคนปัจจุบัน “ชัยธวัช ตุลาธน” ซึ่งเพิ่งได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ดำรงตำแหน่งผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 20 ธ.ค. 2566 เชื่อว่า “คดีนี้ไม่น่าไปถึงขั้นยุบพรรค” เพราะตามรัฐธรรมนูญหากเห็นว่าเข้าข่ายที่ร้องเรียน ศาลจะมีคำสั่งคือให้เลิกการกระทำนั้น
แต่ รศ.ดร.ธนพร อธิบายเรื่องนี้ว่า “คำสั่งศาล รธน. ถือเป็นสารตั้งต้น” แม้รัฐธรรมนูญจะไม่ได้บอกให้ยุบพรรค แต่หากศาลวินิจฉัยว่าการกระทำของพรรคก้าวไกลเป็นไปตามคำร้อง คือเป็นปฏิปักษ์จริง แน่นอนศาลก็คงจะมีคำวินิจฉัยอย่างที่ผู้นำฝ่ายค้านว่าคือให้เลิกนโยบายดังกล่าว แต่อย่าลืมว่าทุกพรรคการเมืองต้องปฏิบัติตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง ดังนั้นคำวินิจฉัยของศาลก็จะนำไปสู่การพิจารณาตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง ซึ่งการยุบพรรคและตัดสิทธิ์ทางการเมืองจะอยู่ในส่วนนี้
4.การปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) อาจเกิดขึ้น โดยขอให้จับตาช่วงเดือน ก.พ.-พ.ค. 2567 : ตัวแปรสำคัญมาจากความเปลี่ยนแปลงภายในของ “พรรคประชาธิปัตย์” ที่ยุคนี้“พร้อมจะร่วมรัฐบาล (หากเป็นไปได้)” แต่จะเป็นเวลาใดนั้น รศ.ดร.ธนพร มองว่า ช่วงเดือนก.พ.-เม.ย. 2567 อาจยังไม่เหมาะ เพราะอยู่ในช่วงพิจารณาร่างกฎหมายงบประมาณประจำปี 2567 ซึ่งจะเริ่มพิจารณากันในเดือน ม.ค. 2567 และประกาศใช้ในเดือน เม.ย. 2567 กล่าวคือ กระบวนการพิจารณาร่างกฎหมายงบประมาณ 2567 ต้องทำให้แล้วเสร็จก่อน
จากนั้นในเดือน พ.ค. 2567 ช่วงนี้สำคัญมาก “ร่างกฎหมายกู้เงิน 5 แสนล้านบาท สำหรับโครงการแจกเงินดิจิทัล” นโยบาย “เรือธง” และเป็นชีวิตจิตใจของพรรคเพื่อไทย อันเป็นพรรคแกนนำรัฐบาลชุดปัจจุบัน จะเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร และแม้รัฐบาลจะมี สส. ในสภาแล้วถึง 314 เสียง โหวตอย่างไรก็ผ่านแน่นอน แต่ด้วยการที่นโยบายแจกเงินดิจิทัลถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักมาตลอด การได้รับเสียง สส. เพิ่มขึ้นอย่างไรก็ย่อมดีกว่า ซึ่งก็ต้องดูว่า พรรคประชาธิปัตย์จะเข้าร่วมรัฐบาลก่อนหรือหลังโหวตร่างกฎหมายกู้เงินดังกล่าว
5.นโยบายแจกเงินดิจิทัลคนละ 1 หมื่นบาท ผ่านแน่นอน “ปรมาจารย์กฎหมายบริหารราชการแผ่นดิน” ท่านอุตส่าห์ “ชี้ช่อง” ให้แล้ว : แม้จะมีข้อสังเกตกันว่า “ดิจิทัล วอลเล็ต” หรือการแจกเงินดิจิทัลคนละ 1 หมื่นบาทอาจไม่สามารถทำได้เพราะติดขัดในข้อกฎหมาย ซึ่งในเบื้องต้นรัฐบาลได้ส่งเรื่องไปให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาวินิจฉัย แต่ รศ.ดร.ธนพร ชวนให้มองความเคลื่อนไหวของ “วิษณุ เครืองาม” อดีตรองนายกรัฐมนตรี ที่ถูกยกเป็น “กระบี่มือหนึ่ง” ด้านกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการบริหารราชการแผ่นดินของเมืองไทย
โดยเมื่อเร็วๆ นี้ อดีตรองนายกฯ วิษณุ ได้ออกมาแนะนำให้ส่งคำถามถึงกฤษฎีกา 2 ช่วง กรณีที่จะผลักดันร่างกฎหมายกู้เงิน 5 แสนล้านบาท มาทำโครงการดังกล่าว อีกทั้งเท่าที่ตนทราบ ต้องบอกว่า “สิ่งที่กระทรวงการคลังถามไปนั้นกฤษฎีกาไม่อาจตอบเป็นอย่างอื่นได้” เรื่องนี้ใครที่อยู่ในแวดวงบริหารงานภาครัฐจะรู้ว่า กฤษฎีกาจะตอบตามที่หน่วยงานถาม ดังนั้นแนวคำถามสามารถวางล่วงหน้าได้อยากได้คำตอบแบบไหน และคาดว่าน่าจะได้เริ่มแจกกันในเดือน มิ.ย. 2567 ส่วนแจกแล้วจะกระตุ้นเศรษฐกิจได้อย่างที่รัฐบาลคาดหวังหรือไม่ก็ต้องตามดูกันต่อไป
6.หมดวาระ สว. ยุค คสช. เข้าสู่มหกรรม “ล็อบบี้” จากพรรคการเมืองเพื่อตั้ง สว. ชุดใหม่ : อย่างที่ทราบกันดีว่า รัฐธรรมนูญฉบับ 2560 เกิดขึ้นในยุครัฐบาลทหาร
คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และในช่วง 5 ปีแรกของการใช้รัฐธรรมนูญฉบับนี้ สว. จะมาจากการเลือกของ คสช. และมีอำนาจในการร่วมเลือกนายกรัฐมนตรี แต่ สว. ชุดดังกล่าวกำลังจะหมดวาระในเดือน พ.ค. 2567 และ สว.ชุดใหม่ จะมาจากการสรรหากันเองในกลุ่มวิชาชีพจำนวน21 กลุ่ม และจะไม่มีอำนาจร่วมเลือกนายกฯ อีกต่อไป
แต่สำหรับคนที่ติดตามการเมืองก็คงเห็นภาพว่า “ถ้า สว. อยู่ฝ่ายเดียวกับรัฐบาล จะผลักดันอะไรก็สะดวกราบรื่น แต่ถ้าอยู่ฝั่งตรงข้ามจะทำอะไรก็เหนื่อยไปหมด” โดย รศ.ดร.ธนพรคาดการณ์ว่า คงจะมีความเคลื่อนไหวจากพรรคการเมืองต่างๆ เพื่อหาทางให้คนของตนเองเข้าไปเป็น สว. ผ่านโควตาของกลุ่มวิชาชีพอย่างแน่นอน เพราะแม้ สว. จะไม่ได้มีอำนาจมากเท่า สส. แต่ทีเด็ดสำคัญอยู่ที่ “บทบาทในการคัดเลือกบุคคลให้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ” ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่พรรคการเมืองไม่อาจมองข้าม
7.แม้จะมีกระบวนการปั้น “อุ๊งอิ๊ง” เป็นนายกฯ แต่ทุกอย่างจะค่อยเป็นค่อยไป “เสี่ยนิด” ไม่ต้องกังวล : ที่ผ่านมา “เสี่ยนิด-เศรษฐา ทวีสิน” แม้จะเป็นนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน แต่ก็ถูกมองว่าเป็นเพียง “นายกฯ คั่นเวลา” ระหว่างรอเตรียมความพร้อมให้ “อุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร ชินวัตร”บุตรสาวของอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร แต่ รศ.ดร.ธนพร เชื่อว่า “การเปลี่ยนตัวนายกฯ คงไม่เกิดขึ้นเร็วๆ นี้” โดยดูจากประวัติศาสตร์การเมืองไทย ที่หากสถานการณ์บีบคั้นมากเข้า นายกฯ ส่วนใหญ่เลือกที่จะ “ยุบสภา” มากกว่าลาออก
ดังนั้นกระบวนการสร้างให้ แพทองธาร พร้อมสำหรับการเป็นนายกฯ จะดำเนินการไปตามลำดับขั้นแบบไม่รีบร้อน ไล่ตั้งแต่การได้รับงบประมาณขับเคลื่อนงานด้านซอฟต์ พาวเวอร์ ที่แพทองธารดูแลอยู่ หรือการผลักดันนโยบาย 30 บาทพลัส ยิ่งหากร่างกฎหมายงบประมาณปี 2567 ผ่านออกมาเมื่อใด อุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร ก็จะยิ่งเหมือนติดปีก โดยไม่จำเป็นต้องรีบให้ เศรษฐา ออกจากเก้าอี้นายกฯ ซึ่งอาจเสี่ยงกับการประกาศยุบสภาและนั่นย่อมไม่เป็นผลดีกับพรรคเพื่อไทย
และ 8.การร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่จะไม่เสร็จเร็วในช่วงอายุของรัฐบาลชุดปัจจุบัน : ไม่ว่ารัฐบาลจะออกแบบกระบวนการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ไว้อย่างไร จะศึกษาหรือเดินสายรับฟังความคิดเห็นอย่างไร แต่จะไม่มีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ประกาศใช้โดยเร็วภายในช่วงอายุของรัฐบาลชุดปัจจุบัน (นานที่สุดคืออยู่ครบวาระ 4 ปี) อย่างแน่นอน เพราะหากมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ จะเกิดกระแสเรียกร้องให้รัฐบาลในขณะนั้นยุบสภาเพื่อเลือกตั้งใหม่ด้วย
โดยหากรัฐธรรมนูญร่างเสร็จ ก็น่าจะเสร็จในช่วงปีที่ 3 ของรัฐบาล แต่หลังจากนั้นก็ยังจะต้องร่างกฎหมายลูก พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ : พ.ร.ป.) คาดว่าจะใช้เวลาอีก 8 เดือน แล้วค่อยยุบสภาเลือกตั้งใหม่ “แต่ในขณะที่กระบวนการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ยังไม่แล้วเสร็จคาดว่ากฎหมายนิรโทษกรรมน่าจะได้ออกมาก่อน” ซึ่งล่าสุดมีการตั้งคณะกรรมการศึกษา เรื่องนี้ไม่ใช่การดึงเวลา แต่ต้องการทำให้เห็นว่าทุกพรรคการเมือง (ยกเว้นพรรคก้าวไกล) อยากเห็นร่างกฎหมายนิรโทษกรรมเป็นอย่างไร (ซึ่งแน่นอนว่าไม่รวมคดีมาตรา 112) หากได้จุดนี้แล้วก็จบ
“จุดไฮไลท์ของรัฐบาลมีอยู่ประเด็นเดียว จะรวมเจ้าหน้าที่ด้วยหรือไม่ อันนี้ผมแอบมาเล่าให้ฟัง ผมทราบมาว่าตรงนี้มันอาจจะยังเห็นไม่ตรงกัน พรรคร่วมรัฐบาล เอ่ยนามคงไม่เสียหาย อย่างภูมิใจไทย รวมไทยสร้างชาติ พลังประชารัฐ หรือชาติไทยพัฒนา ก็เห็นกันว่าถ้าจะนิรโทษมันก็ต้องเซตซีโร่ (Set Zero-ล้างไพ่เคลียร์กระดานเริ่มต้นกันใหม่) กันทุกฝ่าย แต่เพื่อไทยเนื่องจากช่วงหาเสียงก็ออกตัวแรงไว้เยอะ ในเรื่องของกองทัพ ในเรื่องอะไรต่างๆ
แต่ผมเชื่อว่าสุดท้ายมันจะจบที่เซตซีโร่กันทั้งหมด เพราะประเทศไทยเราใช้กฎหมายนิรโทษกรรมมาหลายครั้ง แล้วไม่มีครั้งไหนเลยที่ไม่เซตซีโร่กันทุกฝ่าย แน่นอนว่ามันไม่ถูกใจผมด้วย ไม่ถูกใจคนอีกหลายคนด้วย แต่นี่มันคือกติกาในเมื่อมีเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร ในรัฐสภา มันก็ต้องเดินไปตามนี้ เราถูกใจหรือไม่ถูกใจก็ไปตัดสินกันใหม่ในการเลือกตั้งครั้งต่อไป” รศ.ดร.ธนพร กล่าว
รศ.ดร.ธนพร อธิบายเพิ่มเติมสาเหตุที่ทำให้การร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ไม่สามารถแล้วเสร็จได้โดยเร็ว เนื่องจากมีกระบวนการหลายขั้นตอน เช่น การทำประชามติซึ่งต้องมีอย่างน้อย 2 ครั้ง ก็ยังมีข้อถกเถียงกันว่าต้องทำ 2 ครั้ง หรือ 3 ครั้ง อีกทั้งยังต้องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ นอกจากนั้นในมุมการเมือง ยังต้องมีการตั้ง “สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.)” เป็นเวทีให้ถกเถียงแสดงความคิดเห็นถึงหน้าตาของรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ซึ่งเชื่อว่าคงให้เวลา ส.ส.ร. ได้ทำงานกันไปยาวๆ 2-3 ปี
ในช่วงท้ายก่อนจบรายการ รศ.ดร.ธนพร สรุปนิยามการเมืองไทยในยุคนี้ว่าเป็น “การเมืองแบบชุมนุม” ซึ่งเป็นคำที่ ศ.นิธิ เอียวศรีวงศ์ เคยอธิบายไว้ว่า หมายถึง “ในแต่ละชุมนุมจะขึ้นอยู่กับบุญญาบารมีของหัวหน้าชุมนุม” ไม่ได้เป็นระบบระเบียบ ขึ้นอยู่กับบารมีส่วนบุคคล “และในบรรดาชุมนุมเหล่านั้น ใครเป็นหัวหน้าชุมนุมที่เข้มแข็งที่สุดก็จะได้เป็นใหญ่” ดังตัวอย่าง “พรรคภูมิใจไทย” ไม่มีใครที่มีบารมีเทียบเท่า “ตระกูลชิดชอบ” ดังนั้นตระกูลชิดชอบจึงมีความสำคัญต่อการดำรงอยู่ของพรรคภูมิใจไทย
หรือ “พรรคพลังประชารัฐ” หากไม่มี “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ จะเป็นอย่างไรก็คงไม่ต้องพูดกันเยอะ หรือ “พรรครวมไทยสร้างชาติ” ที่ไม่มี “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา รวมถึง “พรรคชาติไทยพัฒนา” หลังพ้นยุคของ บรรหาร ศิลปอาชา ก็มีสภาพไม่ต่างกัน และแน่นอนว่าสำหรับ “พรรคเพื่อไทย” ก็ต้องเป็น “ตระกูลชินวัตร” ทั้งหมดนี้คือรูปแบบของการเมืองแบบชุมนุม
หมายเหตุ : สามารถติดตามรายการ “แนวหน้า Talk” ดำเนินรายการโดย บุญยอด สุขถิ่นไทย ได้ผ่านทางช่องยูทูบ “แนวหน้าออนไลน์” ทุกวันจันทร์-ศุกร์ ช่วงหัวค่ำโดยประมาณ!!!
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี