“ถูกจับตามอง” ตั้งแต่วันแรกของการเป็นแกนนำรัฐบาลของ “พรรคเพื่อไทย” ภายใต้นายกรัฐมนตรี เศรษฐา ทวีสินหลังจากที่ยอม “ฉีก MOU” ที่ทำไว้กับ “พรรคก้าวไกล” ในช่วงหลังเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) 14 พ.ค. 2566 ใหม่ๆ เพราะการผลักดันใน “ประเด็นอ่อนไหว” ของพรรคก้าวไกลโดยไม่ยอมถอยทั้งที่หลายฝ่ายทักท้วง ทำให้การจัดตั้งรัฐบาลที่มีพรรคก้าวไกลเป็นแกนนำมองไม่เห็นความเป็นไปได้ และพรรคเพื่อไทยก็หันไปจับมือกับพรรคการเมืองอื่นๆ ที่แม้จะเคยเป็นฝ่ายตรงข้ามก็ตาม เพื่อให้ประเทศไทยมีรัฐบาลชุดใหม่โดยเร็ว
“100 วันผ่านไป” ในวันที่ 15 ธ.ค. 2566 ปรากฏข่าวพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล ออกมา “ชำแหละ” วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล ไล่กันเป็นหมวดๆ ตั้งแต่ “คิดดีทำได้” ว่าด้วยการบริหารสถานการณ์ความสงบในอิสราเอล ข้อนี้ถือว่ารัฐบาลทำได้ดี แต่ในส่วนอื่นๆ ทั้ง “คิดไปทำไป -คิดสั้นไม่คิดยาว - คิดใหญ่ทำเล็ก - คิดอย่างทำอย่าง”เป็นการตั้งข้อสังเกตล้วนๆ ทั้งนโยบายแจกเงินดิจิทัล1 หมื่นบาท การลดค่าครองชีพ การส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์และซอฟต์ พาวเวอร์ เป็นต้น
อนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ตอบชัดให้หายคาใจ ในรายการ “แนวหน้า Talk” ทางช่องยูทูบ “แนวหน้าออนไลน์” ซึ่งมีบุญยอด สุขถิ่นไทย เป็นพิธีกร วันที่ 22 ธ.ค. 2566 ว่ากรณีอดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ผลงาน 100 วันแรกของรัฐบาลที่มีพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำ ตนเห็นว่า ใครก็มีสิทธิ์วิพากษ์วิจารณ์
แต่ก็ต้องยอมรับว่า “การออกมาวิพากษ์วิจารณ์ของ พิธา อยู่ในช่วงจังหวะที่ย้อนแย้ง” เพราะก่อนหน้านี้พรรคก้าวไกลถามพรรคเพื่อไทยว่าทำไมไม่รอ 10 เดือน ให้สมาชิกวุฒิสภา (สว.) ชุดปัจจุบันหมดวาระไปก่อน เพื่อให้พิธาได้เป็นนายกรัฐมนตรี นั่นก็หมายความว่าไม่ได้เร่งรีบอะไร แต่พอรัฐบาลของนายกฯ เศรษฐา ทวีสิน ทำงานไปเพียง 100 วัน ยังไม่ถึง 10 เดือนด้วยซ้ำ กลับบอกว่าต้องเห็นผล
“เราตั้งข้อสังเกตว่า การที่พรรคก้าวไกลไปให้ คุณชัยธวัช ตุลาธน เป็นหัวหน้าพรรค แล้วก็ได้รับการโปรดเกล้าฯ เป็นผู้นำฝ่ายค้าน แปลว่าก้าวไกลก็ไม่ได้รอคุณพิธาแล้ว คุณพิธาให้รอทั้งประเทศรอ 10 เดือนให้พิธาเป็นนายกฯ แต่วันนี้ก้าวไกลไม่รอพิธา ให้ชัยธวัชเป็นผู้นำฝ่ายค้านไปแล้ว ประเด็นก็คือว่าวันนี้สถานการณ์ของคุณพิธาก็คือว่าอาจจะไม่มีที่ยืนในพรรคก้าวไกลหรือเปล่า” อนุสรณ์ ตั้งคำถามย้อนกลับ
สส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทยผู้นี้ กล่าวต่อไปว่า “การออกมาวิพากษ์วิจารณ์ของอดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกลถือเป็นสิทธิ์ แต่ต้องไม่มีอคติและวิจารณ์บนพื้นฐานของความสุจริต” อย่างเรื่องดิจิทัล วอลเล็ต ขณะนี้ส่งคำถามไปถามกฤษฎีกาเดี๋ยวก็มา แต่หัวใจสำคัญที่ต้องเข้าใจกันก่อนว่าวันนี้รัฐบาลยังไม่ได้ใช้งบประมาณ คือใช้งบประมาณปี 2566 ไปพลางก่อนงบประมาณ 2567 ยังไม่มา นั่นคือไม่มีงบประมาณยังทำได้ขนาดนี้ก็ไม่ขี้เหร่
ส่วนที่บอกว่า “รัฐบาลคิดสั้นเรื่องนโยบายลดค่าครองชีพ” เช่น ลดค่าไฟฟ้า หรือค่ารถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย นั่นแสดงว่าไม่ได้ฟังที่นายกฯ พูด เพราะ “นโยบายแบบนี้เรียกว่าควิก วิน (Quick Win)” อะไรที่ปลดเปลื้องปัญหาให้ประชาชนได้เราทำก่อน แต่ระยะยาวก็ต้องตามไปแก้ อย่างเรื่องค่าไฟฟ้า -ค่าน้ำมัน ในช่วงก่อนหน้ารัฐบาลนายกฯ เศรษฐา นั้นสูง ถึงเวลาก็ต้องมาปรับแบบ Quick Win ก่อน แล้วอนาคตค่อยไปวางแผนให้สอดรับทั้งระยะกลางและระยะยาว ส่วนที่ว่าคิดใหญ่ทำเล็ก ซอฟต์ พาวเวอร์ วีซ่าฟรี ส.ป.ก. ค่าแรง ตนขอบอกว่าเป็นการคิดใหญ่ทำใหญ่
“แต่การทำใหญ่มันเกี่ยวข้องกับหลายภาคส่วน ผมยกตัวอย่างเช่น ซอฟต์ พาวเวอร์ เมื่อก่อนคนยังไม่รู้เลยว่าซอฟต์ พาวเวอร์ คืออะไร หรือจนถึงขณะนี้ยังไม่ทราบ บางคนบอกนี่คือ OTOP เฟสสอง หรือโมเดิร์น OTOP วันนี้เรามาหาว่าประเทศไทยมีอะไรที่จะเอามาขายได้ในสภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ หลายประเทศมหาอำนาจ อย่างจีนก็ได้รับผลกระทบ แม้แต่อเมริกาบางส่วนก็มีปัญหา ดังนั้ นเรามาดูว่าอะไรที่เป็นรากเหง้าศิลปวัฒนธรรมของเรา ที่เอามาเป็นซอฟต์ พาวเวอร์มาขายได้เราก็ทำ แต่ว่าบางเรื่องมันเป็นเรื่องใหญ่ มันก็ต้องใช้เวลา” อนุสรณ์ ระบุ
อนุสรณ์ กล่าวเพิ่มเติมในส่วนนี้ว่า บางรัฐบาลไม่ต้องเอ่ยนาม 4 ปียังทำได้ไม่ครบ แต่รัฐบาลนี้เพิ่งมาได้ 3 เดือน ต้องไม่ลืมตรงนี้ เดี๋ยวเห็นผลแน่นอน อย่างเรื่องค่าแรงที่ถูกมองว่าคิดใหญ่ทำเล็ก เรื่องนี้มีคณะกรรมการไตรภาคี มีรัฐบาล ตัวแทนนายจ้างและลูกจ้าง เมื่อเสนอตัวเลขมานายกฯ ก็ตั้งข้อสังเกตว่าปรับแบบนี้มันน้อยไปหน่อย แต่การตั้งข้อสังเกตก็ต้องอยู่บนพื้นฐานข้อกฎหมายด้วย หลังนายกฯ ตั้งข้อสังเกตไป คณะกรรมการไตรภาคีก็ยืนยันตัวเลขกลับมา แล้วเขาบอกว่าเสียงนายกฯ ที่พูดมาจะไปปรับแก้ในระยะต่อไป
ส่วนเรื่องคิดอย่างทำอย่างที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ คือ “แก้รัฐธรรมนูญ-ปฏิรูปกองทัพ” ตนก็ต้องชี้แจงว่า “เรื่องที่สุ่มเสี่ยงทำให้เกิดความแตกแยกขัดแย้งต้องระมัดระวัง” หลายเรื่องแทนที่พูดแล้วจะเกิดความปรองดองสมานฉันท์กลับกลายเป็นการ “ฟื้นฝอยหาตะเข็บ” และต้องย้ำว่า “วันนี้พรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาลในสถานการณ์ที่ยังไม่ปกติ” เพราะก็มีอีกส่วนหนึ่งที่ถามพรรคเพื่อไทยเช่นกันว่ารัฐธรรมนูญมีปัญหาอย่างไร หรือบอกว่าเป็นรัฐบาลไม่นานก็จะแก้รัฐธรรมนูญเสียแล้ว
จากสิ่งที่เกิดขึ้น รัฐบาลจึงตั้งคณะทำงานที่มี ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธาน ทำหน้าที่ศึกษาการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เช่น จะร่างใหม่ทั้งฉบับหรือไม่ จะตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) หรือจะต้องทำประชามติกี่ครั้ง “เป็นเรื่องน่าเสียดายที่คณะทำงานชุดนี้พรรคก้าวไกลไม่ส่งตัวแทนเข้าร่วม” ดังนั้นการแก้ไขรัฐธรรมนูญจะเป็นเรื่องที่ค่อยๆ ทำไป
จากการชี้แจงประเด็นข้างต้นที่อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกลออกมาวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลพรรคเพื่อไทย “ความล่าช้าของงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567” ก็เป็นอีกเรื่องที่ผู้สนใจติดตามการเมืองตั้งคำถาม ประเด็นนี้ อนุสรณ์ ระบุว่า “เพราะมีช่วงรอยต่อและเป็นภาวะสุญญากาศ” ไล่ตั้งแต่รัฐบาลชุดก่อนหน้าของนายกฯ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ประกาศยุบสภาผู้แทนราษฎร และหลังจากนั้นแม้จะมีการเลือกตั้งได้ สส. ชุดใหม่ แต่จะมีอยู่ช่วงหนึ่งที่ประเทศไทยไม่มีรัฐบาลซึ่งกินเวลาหลายเดือน ยังไม่มีความชัดเจนว่าพรรคไหนร่วมรัฐบาลหรือเป็นฝ่ายค้าน
ส่วนที่มีคำถามว่า เป็นรัฐบาลมาแล้ว 100 วัน เหตุใดจึงไม่รีบนำร่างงบประมาณ 2567 เข้าสภาฯ ตนมองว่ามีหลายปัจจัย “พรรคอื่นๆ ที่ร่วมรัฐบาลเขาก็มีนโยบายของตนเองเช่นกัน” เช่น การลดค่าครองชีพด้านพลังงาน ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน มาจากพรรครวมไทยสร้างชาติ แต่ก็ต้องทำงานสอดประสาน ตรงนี้ได้ในส่วนเห็นผลเร็ว “แต่ละกระทรวงซึ่งแต่ละพรรคดูแลอยู่ต้องมีนโยบายที่มาสอดประสานกัน” แต่ไม่ช้าแน่นอน เพราะเมื่อเข้าสู่ปีใหม่ 2567 ร่างกฎหมายงบประมาณนี้จะเข้าสภาฯ และเป็นการเข้าแบบมีความพร้อม
“การแต่งกายของผู้นำประเทศ” แม้แต่เรื่องนี้ก็ยังถูกหยิบยกมาวิพากษ์วิจารณ์นายกฯ เศรษฐา ทวีสิน เช่น บางงานใส่สูทแต่เห็นถุงเท้าสีแดง อนุสรณ์ มองว่า “จะใส่สีอะไรก็ไม่ใช่ปัญหาและไม่ส่งผลกระทบต่อฝีมือการบริหารราชการแผ่นดิน” หากไปดูผู้นำของหลายๆ ประเทศ เขาก็มีบุคลิกเฉพาะของตนเอง การใส่ถุงเท้าในลักษณะนี้ก็มีผู้นำบางประเทศใส่เช่นกัน ดังนั้นตั้งข้อสังเกตได้ แนะนำได้แต่อย่างไปถือเป็นสาระสำคัญ
“ก่อนหน้าที่เราจะเป็นรัฐบาล มันก็จะมีแฮชแท็กประมาณเพื่อไทยสูญพันธุ์ เลือกตั้งครั้งหน้าเพื่อไทยสูญพันธุ์แน่ เราก็พยายามท้าทายกับตัวเองว่าถ้าเราเป็นรัฐบาล มีนโยบาย มีงบประมาณ มีแผนงานที่ชัดเจน และมีเวลาให้ 4 ปี ถ้า 4 ปี คุณทำให้ประเทศไทยดีขึ้น ทำให้ประเทศไทยเดินไปข้างหน้าไม่ได้ คุณก็สมควรแล้วที่จะแพ้เลือกตั้งแต่ผมคิดว่าการถอดบทเรียนจากการเลือกตั้งคราวที่แล้วก็ช่วยเพื่อไทยได้เยอะ เพื่อไทยมีคณะทำงานกลั่นกรองถอดบทเรียนหลายชุดด้วยกัน พบว่าบางช่วงบางพื้นที่มันเป็นเรื่องของกระแส
วันนี้ต้องยอมรับว่ามันมีเพจ ยกตัวอย่างเพจวันนี้ก้าวไกลโกหกอะไร ตอนเลือกตั้งคะแนนเสียงต่างกันประมาณ 10 ที่นั่ง แต่อยู่ไปๆ ระยะห่างเริ่มใกล้เข้ามาเรื่อยๆรองประธานก็ถูกขับออกจากพรรค อยู่พรรคก้าวไกลไม่ได้ สส. คุกคามทางเพศก็ถูกขับออกจากพรรคไป 2 คน มีคุณพิธาถูกสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ มี สส.เขต ถูกศาลชั้นต้นตัดสินจำคุกไม่รอลงอาญา และจะมีอีกหลายคดีติดตามมา แต่นั่นก็เป็นเรื่องของการต่อสู้ทางคดี แต่ผมเรียนว่าวันนี้สังคมจะต้องช่วยกันขบคิดว่าวันนี้เราเลือกแต่แบรนด์ เลือกแต่โลโก้ไม่ได้ดูเนื้อใน อาจจะไม่พอเสียแล้ว” อนุสรณ์ กล่าว
อนุสรณ์ ยังกล่าวอีกว่า สส. บางท่านในพรรคก้าวไกล ถูกตั้งคำถามบนโลกออนไลน์ ทั้งการไม่เชื่อมโยงกับประชาชน ขอความช่วยเหลือก็ไม่สามารถเข้าไปแก้ปัญหาได้ แต่พรรคเพื่อไทยรวมถึงพรรคการเมืองอื่นๆ ก็เช่นกัน หาก 4 ปียังทำหน้าที่ไม่ได้ สุดท้ายประชาชนก็จะเป็นผู้ตัดสิน “สื่อสังคมออนไลน์ (Social Media) เป็นเครื่องมือและตัวช่วยในการทำงาน แต่ก็เหมือนโฆษณาร้านอาหาร อย่างเก่งก็ขายได้เพียง 1-2 ครั้งแล้ว คนก็ไม่มาอีกหากอาหารนั้นรสชาติไม่ดีหรือบริการไม่ดี” ดีที่สุดคือทำงานดีมีผลงานให้เห็นด้วย และสื่อสารถึงประชาชนได้ด้วย
อีกประเด็นที่มักถูกกล่าวถึงเสมอเมื่อพูดถึงพรรคเพื่อไทยคือ “พรรคเพื่อไทยกับตระกูลชินวัตร” ไล่ตั้งแต่กรณี ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งถูกลงโทษจำคุกรวม 8 ปี ก่อนได้รับการลดโทษเหลือ 1 ปี แต่ปัจจุบันพักอยู่ที่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจมาแล้วราว 4 เดือนโดยอ้างเหตุผลด้านสุขภาพ ยังไม่ได้เข้าเรือนจำแม้แต่วันเดียว ทำให้รัฐบาลชุดปัจจุบันที่นำโดยพรรคเพื่อไทยถูกตั้งคำถาม
อนุสรณ์ ให้ความเห็นว่า การวิพากษ์วิจารณ์ของแต่ละฝ่ายก็เป็นสิทธิ์ อย่างฝ่ายที่สนับสนุนอดีตนายกฯ ทักษิณ ก็มองว่าไม่น่าโดนคดีขนาดนั้น แต่อีกฝ่ายก็กดดันให้คุณทักษิณเข้าสู่กระบวนการและวันนี้ก็เข้าแล้ว แต่ก็ยังบอกอีกว่าเข้ามาแบบได้รับสิทธิพิเศษ เป็นนักโทษเทวดาเหนือนักโทษคนอื่น เรื่องนี้ตนขอตอบแบบเดียวกับที่ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมตอบ นั่นคือกฎระเบียบต่างๆ ที่เกี่ยวเนื่องไม่ได้ออกโดยรัฐบาลชุดปัจจุบัน แต่เกิดขึ้นในรัฐบาลชุดก่อนหน้า
ส่วนที่มีคำถามว่า ระเบียบกรมราชทัณฑ์ว่าด้วยการดำเนินการสำหรับการคุมขังในสถานที่คุมขัง พ.ศ.2566 เกิดขึ้นในรัฐบาลชุดปัจจุบัน ต้องมองแยกจากการออกกฎหมายหลักคือ พ.ร.บ.ราชทัณฑ์ พ.ศ.2560 หรือไม่ ตนเชื่อว่ากฎหมายทุกฉบับที่ออกมาไม่ใช่เพื่อเอื้อประโยชน์กับคนใดคนหนึ่ง ดังนั้นไม่ใช่เฉพาะอดีตนายกฯ ทักษิณ เพียงคนเดียวเท่านั้นที่จะได้ประโยชน์หรือเสียประโยชน์ และหากประชาชนเห็นว่ากฎหมายไม่เป็นธรรมก็สามารถเข้าชื่อเสนอกฎหมายได้ หรือพรรคฝ่ายค้านก็สามารถเสนอกฎหมายได้
“แต่วันนี้ในมุมของเพื่อไทย นายกฯ ทักษิณ เป็นเพียงประชาชนคนหนึ่งซึ่งได้รับผลกระทบ จะได้รับความเป็นธรรม – ไม่เป็นธรรม ซึ่งก่อนหน้านี้ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าไม่เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม วันนี้เขาเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมก็ว่ากันไปตามกระบวนการ แล้วคุณทักษิณไม่ได้เกี่ยวข้องกับพรรคเพื่อไทย ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการบริหาร รัฐบาลชุดปัจจุบันมีอำนาจเต็ม แน่นอนกฎหมายที่ไม่ได้รับการปฏิรูป ไม่ได้รับการแก้ไข กฎหมายที่ไม่ได้นำมาสู่ความเสมอภาคเท่าเทียม สามารถแก้ไขได้และมีช่องทางมากมายให้ดำเนินการ
ผมคิดว่าคำว่าเลือกปฏิบัติมันมีหลายนัยหลายมิติวันนี้สังคมอาจจะกำลังเลือกปฏิบัติกับอดีตนายกฯ ทักษิณก็ได้ ผมถามว่าสมมุติว่าคนที่ไปอยู่โรงพยาบาลตำรวจ จากอาการป่วยและได้รับผลกระทบแบบเดียวกัน แต่ถ้าเขาไม่ใช่นายกฯ ทักษิณ จะมีคนออกมากดดัน จะมีคนออกมาตั้งข้อสังเกตแบบนี้หรือไม่ ซึ่งประชาชนตอบได้ว่าเรื่องของหลักเกณฑ์ระเบียบวิธีในการปฏิบัติมันมีมาทุกยุคทุกสมัย อาจจะไม่ได้มีคนเห็นด้วยทั้งหมด แต่วันนี้เรากำลังเลือกปฏิบัติ เขาไม่เข้าสู่กระบวนการก็บอกไม่เข้า เขาเข้าสู่กระบวนการก็บอกได้รับสิทธิพิเศษ” อนุสรณ์ กล่าว
เช่นเดียวกับประเด็น “หัวหน้าพรรคเพื่อไทยคนใหม่ที่ชื่อ อุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร ชินวัตร” ซึ่งเรื่องนี้ อนุสรณ์ กล่าวว่า พรรคเพื่อไทยพยายามปรับเปลี่ยนวิธีการทำงานอยู่ตลอดเวลา อย่างสมัยที่นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว เป็นหัวหน้าพรรค ก็จะถูกถามว่าเป็นหัวหน้าตัวจริงหรือเปล่า หรือถูกชักใย แต่ผลการเลือกตั้งก็ทำให้เห็นแล้วว่าภายใต้การนำของ นพ.ชลน่าน เป็นอย่างไร
จากนั้นพอมาถึงยุคของ แพทองธาร ชินวัตร ได้เห็นการขับเคลื่อนของคนรุ่นใหม่ แต่ก็เจอคำถามทำนองเดียวกัน เช่น เป็นตัวของตัวเองหรือถูกชักใย แต่จริงๆ คุณแพทองธาร เข้าใจการเมืองและทำงานกับพรรคเพื่อไทยมาระยะหนึ่งแล้ว หากเปรียบเทียบกับหัวหน้าของพรรคการเมืองอีกหลายๆ พรรค แพทองธาร ชินวัตร ก็ไม่ได้ขี้เหร่กว่า และการเปลี่ยนของพรรคเพื่อไทย ตนคิดว่าถูกช่วงถูกเวลา
ส่วนกรณีที่ อุ๊งอิ๊ง - แพทองธาร บอกว่า พรรคเพื่อไทยไม่ใช่ของตระกูลชินวัตร แล้วสังคมมีคำถาม เรื่องนี้ตนกับณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ อดีตผู้อำนวยการครอบครัวเพื่อไทย เคยคุยกับว่าเราไม่ใช่คนนามสกุลดัง คนหนึ่ง ใสยเกื้อ อีกคน เอี่ยมสะอาด พ่อแม่ก็ไม่ได้เป็นนักการเมือง คนเราอยู่ในองค์กรที่เปิดโอกาสไม่ได้ดูที่นามสกุลหากแต่ดูที่ผลงาน เอาผลงานเป็นที่ตั้ง มีตัวชี้วัดมาจับและทุกคนสามารถเติบโตได้
“ฉะนั้นไม่ได้หมายความว่าคนจะได้ขึ้นเป็นกรรมการบริหารจะได้รับการโปรโมทต้องเป็นชินวัตรเท่านั้น ไม่ใช่ หลายคนที่ได้รับการแต่งตั้งหรือมีโอกาสทำงานก็พิสูจน์ชัดเจนว่าพรรคเพื่อไทยก็ไม่ใช่ของตระกูลใดตระกูลหนึ่งอย่างแน่นอน” อนุสรณ์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทยกล่าวย้ำ
หมายเหตุ : สามารถติดตามรายการ “แนวหน้า Talk” ดำเนินรายการโดย บุญยอด สุขถิ่นไทย ได้ผ่านทางช่องยูทูบ “แนวหน้าออนไลน์” ทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 19.00 น. !!!
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี