ชาวนครพนมรวมใจ สืบสานประเพณีบุญเดือนสาม นมัสการพระธาตุพนม บูชาพระอุรังคธาตุ เชิญร่วมพิธีศักดิ์สิทธิ์ อัญเชิญพระอุปคุตจากแม่น้ำโขง
9 กุมภาพันธ์ 2567 นายจักรพงษ์ ปทุมไกยะ นายอำเภอธาตุพนม จ.นครพนม เปิดเผยว่า ปีนี้ทางจังหวัดนครพนมร่วมกับ อ.ธาตุพนม วัดพระธาตุพนมวรมหาวิหาร รวมถึงพี่น้องประชาชนในพื้นที่ ได้เตรียมพร้อมจัดงานบุญประเพณีที่ยิ่งใหญ่ของภาคอีสาน คืองานนมัสการองค์พระธาตุพนม สิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองกว่า 2,500 ปี ถือเป็นบุญประเพณีที่สืบทอดมาหลายชั่วอายุคน
ปีนี้กำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 17-25 กุมภาพันธ์ 2567 (ขึ้น 8 ค่ำ-แรม 1 ค่ำ เดือน 3) รวม 9 วัน 9 คืน ถือเป็นประเพณีโบราณของศาสนิกชนชาวพุทธทั้งไทยและลาวให้ความสำคัญ หรือเรียกชื่อกันว่าบุญเดือนสาม บุญข้าวจี่ เป็นต้น
โดยจัดขึ้นเพื่อถวายเป็นพุทธบูชาแด่พระสัมมาสัมมาพุทธเจ้า ศาสดาเอกของโลก เนื่องจากภายในองค์พระธาตุพนม ได้บรรจุพระอุรังคธาตุหรือกระดูกส่วนหน้าอกไว้ภายใน โดยมีการค้นพบพระอุรังคธาตุ หลังเกิดเหตุการณ์พระธาตุพนมองค์เก่าล้ม เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2518
พิธีศักดิ์สิทธิ์สำคัญ จะเริ่มแต่วันแรกภาคเช้าของวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2567 พุทธศาสนิกชนทั้งชาวไทยและลาวนับแสนคน จะร่วมกันประกอบพิธีอัญเชิญพระอุปคุตจากแม่น้ำโขง เพื่อไปประดิษฐาน ณ พระวิหารหอพระแก้ว หน้าองค์พระธาตุพนม รวมถึงแห่เครื่องสักการบูชาของชนเผ่าต่างๆ ทั้ง 9 เผ่าที่อาศัยอยู่ใน จ.นครพนม รวมทั้งชาวไทยเชื้อสายจีนและเวียดนาม มาร่วมขบวนแห่พิธีอัญเชิญ
โดยกลุ่มข้าโอกาส (ลูกพระธาตุ) ได้จัดขบวนศิลปวัฒนธรรมประเพณีท้องถิ่นอีสาน มากกว่า 20 ขบวน ถือเป็นพิธีศักดิ์สิทธิ์ที่สืบทอดกันมาแต่โบราณ ซึ่งพิธีดังกล่าวนี้จัดขึ้นก่อนเปิดงานนมัสการองค์พระธาตุพนมอย่างเป็นทางการ ในช่วงบ่ายของวันเดียวกันเพื่อขอให้พระอุปคุต ซึ่งเป็นพระภิกษุองค์สำคัญองค์หนึ่งในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช มีอิทธิฤทธิ์ตามตำนานความเชื่อมาช่วยคุ้มครองปกปักษ์รักษา ปกป้องภยันตรายต่างๆ ไม่ให้เกิดขึ้นตลอด 9 วัน 9 คืนในช่วงจัดงานนมัสการองค์พระธาตุพนม
โดยในตำนานกล่าวไว้ว่า พระอุปคุตถือกำเนิดหลังจากพระพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพานไปแล้ว 200 ปี ณ นครปาตลีบุตราชธานี (ปัจจุบันคือเมืองปัฏนา รัฐพิหาร ประเทศอินเดีย) หลังจากบวชแล้วได้บำเพ็ญเพียรจนสำเร็จเป็นพระอรหันต์ขีณาสพ จนสามารถแสดงอภินิหาร มีปฏิปทาไปในทางสันโดษ จึงไปบำเพ็ญเพียร อยู่ใต้มหาสมุทรเวียงวังพญานาค โดยมีพญานาคพิทักษ์รักษาอยู่อย่างมั่นคง และท่านเป็นผู้ปราบพญาวัสสวดีเทพบุตรมาร ที่มาก่อกวนงานสมโภชพระสถูปเจดีย์ จำนวน 84,000 องค์ ทั่วชมพูทวีปของพระเจ้าอโศกมหาราช
ดังนั้น ชาวพุทธจึงถือเอาเหตุการณ์ดังกล่าว ประกอบพิธีอัญเชิญพระอุปคุตจากสะดือทะเล โดยจำลองแม่น้ำโขงเป็นที่ประทับ นำขึ้นมาปกปักรักษา คุ้มครองประชาชน นักท่องเที่ยว ศรัทธา ตลอดการจัดงาน 9 วัน 9 คืน
นายอำเภอธาตุพนม กล่าวอีกว่า กิจกรรมสำคัญในงานนมัสการพระธาตุพนม มีการทำบุญตักบาตร สวดมนต์เจริญภาวนา ถวายเป็นพุทธบูชา รวมทั้งการส่งเสริมกิจกรรมทางพระพุทธศาสนา พิธีเวียนเทียนบูชาพระธาตุพนม ให้ประชาชน นักท่องเที่ยว ทั้งชาวไทยชาวลาวไปจนถึงลูกหลานเยาวชน ได้ร่วมทำบุญ ส่งเสริมพระพุทธศาสนา ทำให้ทุกปีส่งผลดีต่อภาคเศรษฐกิจการค้าการท่องเที่ยวในพื้นที่ โรงแรม ที่พัก ร้านค้า ร้านอาหาร รวมถึงสินค้าต่างๆ ขายดี ทุกอาชีพกลายเป็นธุรกิจสร้างรายได้ มีเงินหมุนเวียนสะพัดในพื้นที่ ปีละเกือบ 100 ล้านบาท ถือเป็นงานบุญประเพณีที่ยิ่งใหญ่ กระตุ้นเศรษฐกิจการท่องเที่ยวเป็นอย่างดี ยิ่งในวันสุดท้ายของงานทุกปีจะมีประชาชน นักท่องเที่ยว พุทธศาสนิกชนที่มีจิตศรัทธามากราบขอพร เพื่อความเป็นสิริมงคล ต่อชีวิตและครอบครัวร่วมแสนคน
ด้าน อาจารย์หมง อภัยโส อายุ 65 ปี ประธานชมรมศิษย์วัดพระธาตุพนม เปิดเผยว่าองค์พระธาตุพนม ถือเป็นพระธาตุศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองมายาวนาน อายุเก่าแก่กว่า 2,500 ปี ภายในได้มีการบรรจุพระอุรังคธาตุ หรือกระดูกส่วนหน้าอก ขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าไว้ และเป็นพระธาตุประจำวันเกิดของผู้ที่เกิดวันอาทิตย์ และคนที่เกิดปีนักษัตรวอก(ลิง) ส่วนงานนมัสการองค์พระธาตุพนม สืบทอดกันมาตั้งแต่ปี 2522 เป็นต้นมา
โดยจากตำนานพระอุรังคนิทาน ระบุไว้ว่าองค์พระธาตุพนมสร้างครั้งแรกในราว พ.ศ.8 ในสมัยอาณาจักรศรีโคตรบูรกำลังเจริญรุ่งเรืองอยู่ โดยท้าวพญาทั้ง 5 อันมีพญาศรีโคตบูรเป็นต้น และพระอรหันต์ 500 องค์ อันมีพระมหากัสสปะเถระเป็นประมุข ลักษณะการก่อสร้างในสมัยแรกนั้น ใช้ดินดิบก่อขึ้นเป็นรูปเตาสี่เหลี่ยมแล้วเผาให้สุกทีหลัง กว้างด้านละสองวาของพระมหากัสสปะ สูงสองวา ข้างในเป็นโพรง มีประตูเปิดทั้งสี่ด้าน เมื่อสร้างเสร็จแล้วก็ได้อัญเชิญพระอุรังคธาตุของพระพุทธเจ้าที่พระมหากัสสปะเถระ นำมาจากประเทศอินเดีย ประดิษฐานไว้ข้างในแล้วปิดประตูทั้งสี่ด้าน
ต่อมามีการบูรณะครั้งแรกในราวปี พ.ศ.500 โดยมีพญาสุมิตธรรมวงศา แห่งเมืองมรุกขนคร และบูรณะครั้งที่สอง เมื่อ พ.ศ.2157 โดยพระยานครหลวงพิชิตราชธานีศรีโคตบูร แห่งเมืองศรีโคตบูร เป็นประธาน กระทั่งการบูรณะครั้งที่สาม เมื่อ พ.ศ.2236-45 โดยเจ้าราชครูหลวงโพนสะเม็ก หรือพระครูขี้หอม แห่งนครเวียงจันทน์เป็นประธาน ซึ่งการบูรณะครั้งนี้ได้ใช้อิฐก่อต่อเติมจากพระธาตุชั้นที่สอง ซึ่งทำการบูรณะใน พ.ศ.500 ให้สูงขึ้นอีกประมาณ 43 เมตร รวมทั้งได้มีการปรับปรุงที่ประดิษฐานพระอุรังคธาตุใหม่ โดยสร้างอูบสำริดครอบเจดีย์ศิลา อันเป็นที่บรรจุบุษบกและผอบพระอุรังคธาตุไว้ อย่างแน่นหนา และได้บรรจุพระพุทธรูปเงิน ทอง แก้ว มรกต และอัญมณีอันมีค่าต่างๆ ไว้ภายในอูบสำริดและนอกอูบสำริดไว้มากมาย พร้อมมีจารึกพระธาตุพนมว่า "ธาตุปะนม" (ประนม)
จากนั้นได้ทำการบูรณะต่อเนื่องอีก 6 ครั้ง จนกระทั่งเมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2518 พระธาตุพนมได้พังทลายลง เนื่องจากฐานชั้นที่หนึ่ง ที่สร้างขึ้นสมัยแรกเก่าแก่มาก และไม่สามารถทานน้ำหนักส่วนบนได้ จึงเกิดพังทลายลงมา ทำให้ได้พบเห็นผอบแก้วซึ่งมีสัณฐานคล้ายรูปหัวใจ ภายในผอบมีน้ำมันจันทน์หล่อเลี้ยงอยู่ และมีพระอุรังคธาตุบรรจุอยู่ 8 องค์
ต่อมาในปี 2519 มีการลงเข็มรากสร้างพระธาตุพนมองค์ใหม่ เป็นเจดีย์ทรงฐาน 4 เหลี่ยม ความสูง จากพื้นถึงยอดฉัตร 57 เมตร ฐานกว้างด้านละ ประมาณ 12 เมตร ยอดฉัตรเป็นทองคำ และเมื่อถึงปี 2522 ทางรัฐบาลได้จัดพระราชพิธีบรรจุพระอุรังคธาตุ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ร.9 และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จมาเป็นประธานในพิธีบรรจุ จึงได้มีการจัดพิธีเฉลิมฉลอง บูชาองค์พระธาตุพนม สืบทอดมาถึงถึงปัจจุบันทุกปี ที่สำคัญถือเป็นงานประเพณีที่ยิ่งใหญ่ ส่งผลดีทั้งการท่องเที่ยวและสร้างเศรษฐกิจ เงินหมุนเวียนสะพัดปีละหลาย 100 ล้านบาท ส่วนยอดเงินทำบุญมีพลังศรัทธาร่วมบริจาค ปีละไม่ต่ำกว่า 20 -30 ล้านบาท.012
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี