“รุมทำร้ายป้าบัวผัน”, “กราดยิงพารากอน”, “วัยรุ่นสาวลวงเพื่อนวัยเดียวกันไปฆ่ากดน้ำ” เหล่านี้เป็นตัวอย่างของ “คดีที่มีผู้ก่อเหตุเป็นเด็กหรือเยาวชน” ตามที่เป็นข่าวเมื่อต้นเดือน ม.ค. 2567 ที่ จ.สระแก้ว, ต้นเดือน ต.ค. 2566 ที่กรุงเทพฯ และปลายเดือน ก.ย. 2566 ที่ จ.นครราชสีมา ยังไม่นับคดีประเภท “โจ๋ห้าว” ยกพวกทะเลาะวิวาทกับคู่อริทั้งที่เป็น “เด็กช่าง” นักศึกษาอาชีวะต่างสถาบัน และ “เด็กบ้าน” วัยรุ่นต่างชุมชน ใช้อาวุธ “มีด-ปืน” ทำร้ายกันถึงขั้นเสียชีวิต ซึ่งเป็นข่าวบ้าง-ไม่เป็นข่าวบ้าง แต่เป็นที่ “รับรู้” และดูจะ “ชินชา” กันไปแล้วในสังคมไทย
หลายครั้งที่ข่าวทำนองนี้ปรากฏขึ้น กระแสสังคมได้ตั้งคำถามว่า “สมควรให้ผู้ก่อเหตุที่เป็นเด็ก-เยาวชนรับโทษเท่ากับผู้ก่อเหตุที่เป็นผู้ใหญ่หรือไม่?” โดยเด็กและเยาวชน ที่หมายถึงผู้มีอายุไม่ถึง 18 ปีบริบูรณ์ ตามกฎหมายไทยและกฎหมายระหว่างประเทศ ได้กำหนด “มาตรการพิเศษ”ขึ้นมาเพื่อ “คุ้มครอง” ทั้งการห้ามเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลที่อาจนำไปสู่การระบุตัวตนได้ การสอบสวนที่ต้องใช้ทีมสหวิชาชีพ การควบคุมตัวในสถานพินิจที่กฎระเบียบไม่เข้มงวดเท่าเรือนจำ การปกปิดประวัติอาชญากรรมไม่ให้นำมาใช้คัดกรองเวลาหางานทำหลังพ้นโทษไปแล้ว
ซึ่งมาตรการคุ้มครองดังกล่าวถูกมองว่า “ทำให้ไม่เกรงกลัวกฎหมาย” หรือบ้างก็ว่า “เด็กเดี๋ยวนี้ไม่ได้เป็นผ้าขาวเหมือนเมื่อก่อนแล้ว เพราะเข้าถึงสื่อยั่วยุรุนแรงได้ง่ายขึ้น” แต่อีกด้านหนึ่ง ในมุมของคนที่อยู่ในแวดวงกระบวนการยุติธรรม ตลอดจนแวดวงวิชาการที่เกี่ยวข้อง ก็มีคำถามย้อนกลับไปว่า “เด็กคนหนึ่งเดินเข้าสู่ด้านมืดเพราะอยากเดินเข้าไปเอง หรือเพราะผู้ใหญ่และสังคมที่ผลักหรือปล่อยให้เดินเข้าไป” ดังที่มีการพูดคุยกันในวงเสวนา “อาชญากรเด็กเป็นเองไม่ได้ : ใครต้องรับผิดชอบ?” จัดโดยคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อเร็วๆ นี้
ในมุมมองของคนที่ทำงานกับ “ผู้พลาดพลั้ง” กระทำผิดโดยเฉพาะ “คดีอุกฉกรรจ์” มาเกือบ 20 ปี ทิชา ณ นคร ผู้อำนวยการศูนย์ฝึกอบรมเด็กและเยาวชนชายบ้านกาญจนาภิเษก ยังคงยืนยันเสมอว่า “หากระบบครอบครัวเข้มแข็งพอ ประเทศมีระบบสนับสนุนครอบครัวที่ใช้การได้จริง และสังคมมีระบบนิเวศที่สนับสนุนการเติบโต โดยเหลือพื้นที่ที่เป็น “หลุมดำ” ให้น้อยที่สุด ก็จะทำให้เด็กและเยาวชนไม่ก่ออาชญากรรมร้ายแรง” แต่การที่สังคมไทยไม่ลงทุนเรื่องดังกล่าว ก็ต้องยอมรับใน “ราคาที่ต้องจ่าย” และเป็นราคาที่แสนแพงด้วย
ทั้งนี้ “เมื่อพูดถึงคำว่าครอบครัว..เราไม่อาจจำกัดวงได้เพียงระดับปัจเจก” แต่ต้องพูดถึงครอบครัวในบริบทจำนวนมหาศาล หรือนับล้านครอบครัว “การก่ออาชญากรรมของเด็กสะท้อนความล้มเหลวของผู้ใหญ่และความล้มเหลวเชิงระบบของประเทศ” โดยมีเด็กที่เปราะบางจากบางครอบครัวได้สร้างโศกนาฏกรรมให้ได้เห็น และเด็กกลุ่มนี้ก็จะต้องถูกควบคุมตัวตามกฎหมาย ตามความผิดที่ได้กระทำลงไป โดยหลักคิดของบ้านกาญจนาฯ คือ “การทำให้ผู้พลาดพลั้งยังรู้สึกว่าตนเองมีคุณค่า” ซึ่งต้องย้ำว่า “ไม่ใช่การไม่ลงโทษ” หรือการเอาใจเด็กและเยาวชนที่ทำผิด
ซึ่งในช่วง 5 ปีแรกของการขับเคลื่อนบ้านกาญจนาฯ ในทิศทางนี้ จะให้นิยามว่าเป็น “สงครามทางความคิด” ก็คงไม่ผิดนัก เพราะต้องต่อสู้กับคนทำงานด้วยกันที่ยังเชื่อเรื่องการลงโทษแบบตาต่อตา-ฟันต่อฟัน ในขณะที่บ้านกาญจนาฯ ใช้การโอบกอดและสร้างวินัยเชิงบวก แต่เมื่อเวลาผ่านไป แนวทางที่บ้านกาญจนาฯ ใช้ ได้พิสูจน์ให้เห็นว่า “มนุษย์เปลี่ยนแปลงได้” ทำให้คนทำงานจำนวนมากเริ่มหันมายอมรับและเชื่อมั่นในวิธีการดังกล่าวมากขึ้น
“มีเหยื่อหลายคนเดินทางมาถึงบ้านกาญจนาฯ เพื่อมาเกรี้ยวกราดใส่เราด้วยความเกลียดชัง ติดตามข่าวสารมาเยอะแยะแล้วก็เห็นว่าบ้านคุณดูแลคนที่ฆ่าคนแบบนี้ บางครอบครัวเขาใช้คำแรงมาก เขาถามเลยว่าเอาหัวหรือเอาเท้าคิด? ที่คุณดูแลคนที่ฆ่าคนแบบนี้ ซึ่งแน่นอนเมื่อเรารู้ว่าเขาเป็นครอบครัวผู้เสียหาย เราไม่มีเหตุผล ไม่มีความรู้สึกที่อยากจะโกรธเขา เพราะนั่นคือความสูญเสียที่พ่อแม่คนหนึ่งได้สูญเสียลูกไปแล้ว
หน้าที่เราคือต้องอธิบายให้เขาฟังว่า การลงโทษแบบตาต่อตา-ฟันต่อฟัน ซึ่งเราใช้มาตลอดในรูปแบบของคุก เราแทบจะไม่ได้เขากลับคืนมา เรายิ่งทำให้ความเป็นปีศาจในตัวเขานั้นทรงพลังยิ่งขึ้น แน่นอนเด็กเหล่านี้หลุดจากการเฝ้าระวังมาอย่างชัดเจนแล้ว และการเฝ้าระวังในประเทศไทยมันก็มีน้อยและอ่อนแอด้วยนะ เมื่อเขาหลุดมาแล้วเขามาสู่การเยียวยา รับผิดรับโทษตามกฎหมาย หน้าที่ของเราคือไม่ผลิตซ้ำในสิ่งที่เขาขาด และเติมในสิ่งที่เขายังไม่เคยมี”ผอ.บ้านกาญจนาฯ กล่าว
ขณะที่ สิริลักษณ์ วิริยะดี รองอัยการจังหวัด สำนักงานอัยการคุ้มครองสิทธิและช่วยเหลือทางกฎหมายและการบังคับคดีจังหวัดชลบุรี เปิดเผยสถิติในช่วงปี 2565-2566 ที่พบว่า เยาวชนหรือผู้ที่มีอายุเกิน 15 ปี แต่ยังไม่ถึง 18 ปี เป็นช่วงวัยที่พบการทำผิดมากกว่าเด็กหรือผู้ที่อายุเกิน 10 ปี แต่ยังไม่ถึง 15 ปี อย่างมีนัยสำคัญ ส่วนประเภทของการกระทำผิด อันดับ 1 คือคดียาเสพติด รองลงมาในอัตราส่วนที่ใกล้เคียงกัน คือความผิดต่อชีวิตและร่างกาย ความผิดต่อทรัพย์ (โดยเฉพาะการลักทรัพย์) และคดีอาวุธปืน-วัตถุระเบิด (ทำอาวุธใช้เอง เช่น ปืนปากกา หรือการพกพาอาวุธ)
เมื่อดูปัจจัยที่เอื้อให้เด็กและเยาวชนทำผิด จะมีหลายอย่าง ไล่ตั้งแต่ 1.ครอบครัว มีสภาพไม่สมบูรณ์ อาจขาดพ่อหรือแม่ หรือเด็กเกิดมาในครอบครัวที่พ่อแม่ไม่พร้อมจะมีลูก เกิดมาแล้วพ่อแม่ก็แยกย้ายหายไปและเด็กต้องอยู่กับปู่ย่าตายาย 2.การศึกษา โดยเฉพาะเรื่องของกฎหมาย ซึ่งการบัญญัติกฎหมายมีทั้งที่อิงกับศีลธรรม และที่ไม่เกี่ยวกับศีลธรรมเพียงแต่กฎหมายห้ามไว้ หลายคนก็ทำไปโดยไม่รู้ว่า “แบบนี้ผิดด้วยหรือ?” อาทิ เยาวชนคบหาเป็นแฟนกันแล้วพากันไปมีความสัมพันธ์ลึกซึ้ง ซึ่งต่างฝ่ายต่างก็ยินยอม ก็ทำกันไปโดยไม่เข้าใจว่าผิดกฎหมายได้อย่างไร
3.เพื่อน โดยเฉพาะ “เมื่อบ้านไม่ใช่พื้นที่ปลอดภัย”เด็กและเยาวชนจึงเลือกอยู่กับเพื่อนด้วยเห็นว่าเป็นที่พึ่งทางใจแล้วก็เป็นกลุ่มเพื่อนที่พากันไปทำผิด 4.สภาพทางชีววิทยา หมายถึงปัจจัยด้านร่างกายและสมอง หรือ “ฮอร์โมน” ทำให้อารมณ์ขึ้นง่าย 4.สิ่งแวดล้อมซึ่งส่งผลต่อพัฒนาการทางสมอง เช่น เด็กและเยาวชนที่เติบโตมากับปัญหา “ความรุนแรงในครอบครัว” โดยเฉพาะ “ความรุนแรงทางกายภาพ-ถึงเนื้อถึงตัว” กลายเป็นการบ่มเพาะสัญชาตญาณการหลบหลีก ในขณะที่สมองส่วนการคิด-วิเคราะห์-แยกแยะ-ยับยั้งชั่งใจ ไม่ได้ถูกพัฒนาอย่างเต็มที่
“สุดท้ายสิ่งที่สำคัญที่สุดคือสังคม ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าสังคมมีส่วนเกี่ยวข้องในการกระทำความผิดของเด็กหรือแม้กระทั่งของคนในสังคม ในทฤษฎีอาชญวิทยามีมากมายเลยที่พูดถึงการไม่เป็นระเบียบเรียบร้อยของสังคม หรือว่าทฤษฎีเลียนแบบ หรืออะไรต่างๆ ที่ทำให้คนลงมือกระทำความผิด ซึ่งเมื่อได้มาทำงานเกี่ยวกับการคุ้มครองสิทธิ์ แต่ก่อนเราเป็นพนักงานอัยการเราก็จะฟ้องคดีอย่างเดียว
ทีนี้เรามาทำคุ้มครองสิทธิ์ มันมีมิติอื่นที่เราไปอยู่กับสังคมมากขึ้น ได้ไปตั้งผู้ปกครองให้เขา ได้ไปดูเรื่องการรับบุตรบุญธรรม หรือแม้แกระทั่งได้ไปดูเรื่องเกี่ยวกับความรุนแรงในครอบครัว เราต้องไปเข้าประชุมในศูนย์ เขาเรียกว่าศูนย์พึ่งได้ OSCC ตามโรงพยาบาล ซึ่งเขาจะรายงานเคสที่เด็กๆ ที่ถูกกระทำความรุนแรงหรือถูกล่วงละเมิดทางเพศเข้ามา ก็ทำให้เราได้เห็นอีกหลายๆ มิติมากขึ้น ในการที่บาดแผลทางใจหรือการกระทำผิดอย่างอื่นที่เขาเป็นเหยื่อมาก่อน ส่งผลอย่างไรต่อพัฒนาการและความคิดของเขา” สิริลักษณ์ กล่าว
มุมมองข้างต้นจากวิทยากร 2 ท่าน เป็นการฉายภาพปัจจัยที่นำไปสู่การก่อเหตุของเด็กและเยาวชน และความพยายามสร้างความเข้าใจต่อรัฐในฐานะผู้มีอำนาจหน้าที่ และต่อผู้คนให้สังคม ว่าวิธีคิดเรื่องการลงโทษแบบ “แก้แค้นทดแทน” ตาต่อตา-ฟันต่อฟัน ของระบบงานราชทัณฑ์และสถานพินิจ ไม่อาจนำไปสู่เป้าหมาย “คืนคนดีสู่สังคม” ได้ ส่วนในตอนต่อไป จะเป็นการวิเคราะห์ในมุมของกฎหมายทั้งทางแพ่งและทางอาญา
(อ่านต่อฉบับวันอาทิตย์ที่ 3 มี.ค. 2567)
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี