ยังคงอยู่กับงานเสวนา “อาชญากรเด็กเป็นเองไม่ได้ : ใครต้องรับผิดชอบ?” จัดโดยคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งในตอนที่แล้ว (หน้า 5 ฉบับวันเสาร์ที่ 2 มี.ค. 2567) เป็นการฉายภาพ “ปัจจัยที่นำไปสู่การก่อเหตุของเด็กและเยาวชน” และความพยายามสร้างความเข้าใจต่อรัฐในฐานะผู้มีอำนาจหน้าที่ และต่อผู้คนให้สังคม ว่าวิธีคิดเรื่องการลงโทษแบบ “แก้แค้นทดแทน” ตาต่อตา-ฟันต่อฟัน ของระบบงานราชทัณฑ์และสถานพินิจ ไม่อาจนำไปสู่เป้าหมาย“คืนคนดีสู่สังคม” ได้
ส่วนในฉบับนี้ จะเป็นการวิเคราะห์ในมุมของกฎหมายทั้งทางแพ่งและทางอาญาโดย ผศ.ดร.เอมผกา เตชะอภัยคุณ อาจารย์ประจำศูนย์กฎหมายแพ่ง คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวถึง “ความรับผิดชอบของผู้ปกครอง” โดยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ กำหนดอำนาจหน้าที่ ของผู้ปกครอง เช่น การเลี้ยงดู (มาตรา 1564)การปกครอง (มาตรา 1567 และมาตรา 1571)การถอนอำนาจปกครอง (มาตรา 1574) การตั้งผู้ปกครอง (มาตรา 1585) และความรับผิดฐานละเมิด (มาตรา 429-430)
นอกจากนั้นยังมี พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก พ.ศ.2546 ที่กำหนดมาตรฐานขั้นต่ำให้พ่อแม่ผู้ปกครองต้องปฏิบัติและไม่ปฏิบัติในการเลี้ยงดูบุตรหลาน (มาตรา 23, มาตรา 25-26) และมีบทลงโทษทางอาญาอยู่บ้าง กรณีสนับสนุนให้บุตรหลานไปกระทำผิดกฎหมาย หรือการทอดทิ้งลูก อีกทั้งยังมีการใช้อำนาจตามพ.ร.บ. นี้ ออกกฎกระทรวงกำหนดมาตรฐานขั้นต่ำในการอุปการะเลี้ยงดู อบรมสั่งสอน และพัฒนาเด็กที่อยู่ในความปกครองดูแล พ.ศ.2549
โดยสรุปแล้ว “กฎหมายไทยมีการลงโทษพ่อแม่ผู้ปกครองที่ไม่ทำหน้าที่” ทั้งโทษอาญาตามกฎหมายคุ้มครองเด็ก และโทษทางแพ่งตาม ป.แพ่งฯ อย่างการเพิกถอนอำนาจปกครองและตั้งบุคคลอื่นมาเป็นผู้ปกครองแทน อย่างไรก็ตาม “ในต่างประเทศ พบว่า การพยายามออกกฎหมายลงโทษพ่อแม่ผู้ปกครองไม่ทำให้ปัญหาเด็กและเยาวชนทำผิดกฎหมายลดลง” แถมยังกลายเป็นออกกฎหมายมาแล้วบังคับใช้จริงไม่ได้ด้วย เช่น ฝรั่งเศส แม้มีกฎหมายกำหนดความรับผิดทางอาญากับพ่อแม่ผู้ปกครองที่ไม่ดูแลบุตรหลานมา 10 ปี แต่ไม่มีการบังคับใช้แม้แต่กรณีเดียว
ขณะที่ สหรัฐอเมริกา เคยมีความพยายามลงโทษพ่อแม่ผู้ปกครองที่ไม่ส่งบุตรหลานเข้าโรงเรียนเมื่ออายุถึงเกณฑ์ แต่กลายเป็น “ดราม่า” เกิดการตั้งคำถามย้อนกลับไปยังรัฐว่า เป็นเพราะรัฐไม่มีมาตรการที่ดีพอในการสนับสนุนพ่อแม่ผู้ปกครองให้เอื้อต่อการส่งบุตรหลานเข้าเรียนหรือไม่? สุดท้ายจึงไม่มีการลงโทษจริง อนึ่ง “การตั้งความหวังให้พ่อแม่ผู้ปกครองดูแลบุตรหลานให้ดีและลงโทษพ่อแม่ผู้ปกครองที่ทำไม่ได้ตามความคาดหวังนั้น อาจเป็นการซ้ำเติมปัญหาอัตราการเกิดที่ลดลงด้วย” เพราะรัฐกำหนดหน้าที่แต่ไม่มีมาตรการสนับสนุน
“วันนี้ก็ไม่ค่อยมีใครอยากมีลูกแล้วนะ คือแน่นอนถ้าคุณไปถามเด็กรุ่นใหม่ ป.โท ในห้อง Zero (เป็นศูนย์) เลยนะที่อยากมีลูกเพราะมีลูกคือภาระ แล้วคุณก็ยังโยนความรับผิดชอบ แล้วทุกคนก็บอกว่าคุณต้องรับผิดชอบลูกเป็นอย่างดีเลยนะ บนพื้นฐานที่ก็ไม่มีใครสนับสนุนการมีลูกของเราเลย แล้วก็ไม่ได้มี Information (ข้อมูลข่าวสาร) ของการเลี้ยง เพราะทุกคนบอกการเลี้ยงลูกเป็นศาสตร์และศิลป์ ซึ่งศาสตร์และศิลป์นี้ไม่รู้ว่าต้องพัฒนาอย่างไร” อาจารย์เอมผกา กล่าว
ด้าน อุกฤษฎ์ ศรพรหม ผู้จัดการโครงการกลุ่มงานด้านการส่งเสริมหลักนิติธรรมฯ สถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (TIJ) เล่าถึงการเก็บข้อมูล “ผู้กระทำผิดที่อยู่
ในศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชน (อายุ 13-23 ปี)”จำนวน 1,573 คน พบว่า “ร้อยละ 73 หรือเกือบ 3 ใน 4 เติบโตมาในครอบครัวแตกแยก” เช่น พ่อแม่หย่าร้างแยกกันอยู่ พ่อหรือแม่เสียชีวิต หรือไม่เคยรู้ว่าใครเป็นพ่อแม่, “ร้อยละ 35 มีพี่น้องต่างพ่อหรือแม่” หมายถึงพ่อหรือแม่ไปแต่งงานใหม่แล้วมีลูกกับสามี-ภรรยาใหม่,
“ร้อยละ 94 เป็นเพศชาย” ในที่นี้หมายถึงเพศกำเนิด, “ร้อยละ 57 มีบุตรแล้ว” ซึ่งตอนสำรวจก็ไม่น่าเชื่อ เพราะนี่คือคนอายุ 13-23 ปี และกลายเป็นคำถามที่ส่งต่อกันเป็นทอดๆ ว่าตอนที่เด็กหรือเยาวชนกลุ่มนี้ลืมตาดูโลก พ่อแม่พร้อมจะดูแลพวกเขาหรือไม่? และปัจจุบันเมื่อพวกเขาก็มีลูก พวกเขาพร้อมแล้วจริงหรือที่จะดูแลชีวิตใหม่ที่ถือกำเนิดขึ้นมา? และ “ร้อยละ 36 อาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีปัญหา” เช่น อยู่ในพื้นที่ที่มีปัญหายาเสพติดหรืออยู่ในครอบครัวที่มีปัญหาความรุนแรง
ยิ่งไปกว่านั้น “1,057 คน จากกลุ่มตัวอย่างทั้งหมด 1,573 คน หรือคิดเป็นราว 2 ใน 3 มีประวัติเคยเป็นผู้ถูกกระทำความรุนแรงทางร่างกายมาก่อน” เช่น ถูกฟาดด้วยเข็มขัด ถูกตีด้วยไม้แขวนเสื้อ ถูกตบ-เตะ-ต่อย กลุ่มนี้ผู้กระทำมากที่สุดคือพ่อแม่ผู้ปกครอง, “กลุ่มตัวอย่าง 127 คน หรือเกือบร้อยละ 10 จาก 1,573 คน เผชิญความรุนแรงทางร่างกายในระดับรุนแรงมาก” เช่นถูกบีบคอ จับกดน้ำ ใช้ของร้อนจี้ตามร่างกาย กลุ่มนี้ผู้กระทำจะมีตั้งแต่เพื่อน รุ่นพี่ เจ้าหน้าที่รัฐและคนรัก
และ “534 คน จากกลุ่มตัวอย่างทั้งหมด 1,573 คน หรือคิดเป็นราว 1 ใน 3 มีประวัติเคยเป็นผู้ถูกกระทำความรุนแรงด้วยอาวุธมาก่อน” โดยกลุ่มนี้ผู้กระทำส่วนใหญ่เป็นคู่อริ “นี่คือเส้นทางชีวิตของเด็กคนหนึ่งก่อนจะกลายเป็นอาชญากร” และเป็นเพียงข้อมูลเฉพาะที่เกี่ยวกับความรุนแรงทางร่างกายเพียงด้านเดียวเท่านั้น ยังมีเรื่องของ “ความรุนแรงทางเพศ-ความรุนแรงทางอารมณ์”ที่น่าเป็นห่วงไม่แพ้กัน
อนึ่ง “เมื่อดูตัวอย่างจากต่างประเทศ แม้ผลการศึกษามากมายจะชี้ว่าพ่อแม่เป็นปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการกระทำผิดของลูก (เช่น ปล่อยปละละเลยไม่ดูแลเท่าที่ควร) แต่แทบไม่มีชาติใดเลยที่ลงโทษทางอาญาต่อพ่อแม่เมื่อลูกไปกระทำผิด” อย่างไรก็ตาม ความเสียหายที่ลูกก่อขึ้นพ่อแม่ก็ต้องมีส่วนรับผิดชอบ ซึ่งจะอยู่ในความรับผิดทางแพ่ง รวมถึงต้องร่วมมือกับรัฐในการทำแผนบำบัดฟื้นฟูปรับเปลี่ยนพฤติกรรม
แต่ก็มีบางประเทศที่มีโทษทางอาญากับพ่อแม่ที่ปล่อยปละละเลยให้ลูกไปทำผิด เช่น อียิปต์ รัสเซีย แต่ถึงกระนั้นก็มักจะเป็นเพียงโทษปรับ ไม่ถึงขั้นจำคุก เพื่อต้องการให้ครอบครัวยังคงเป็นครอบครัว ตามหลักการเรื่องการต้องคำนึงถึงผลประโยชน์ของเด็กมาเป็นอันดับแรก ส่วนบทบาทของ “ครู-สังคม-ชุมชน ไม่มีการกำหนดให้ต้องรับผิดทางอาญาและทางแพ่งโดยตรง (เว้นแต่บุคคลนั้นเป็นตัวการ ผู้ใช้หรือผู้สนับสนุนการกระทำผิด)” แต่อาจมีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยวิชาชีพ เช่น เป็นครูแต่ปล่อยปละละเลยไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดวิชาชีพครู
“ผมอยากจะเสริมในส่วนของการป้องกันเหตุและป้องกันการกระทำผิดมากกว่า เพราะบุคคลแวดล้อม สังคม ชุมชน ครู สมาชิกในครอบครัว ญาติ เพื่อน มีบทบาทมากๆ ในทุกงานวิจัยออกมาเหมือนกันว่ามีบทบาทมากในการป้องกันเหตุ ฉะนั้นกันดีกว่าแก้ป้องกันอาชญากรรมดีกว่าไปแก้ไขพฤติกรรมที่เป็นอาชญากร”อุกฤษฎ์ กล่าว
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี