หมายเหตุ : สรุปความจากปาฐกถา “ศาสตร์-ศิลป์ของการกำกับดูแลที่ดินและสันติประชาธรรม” โดย ศ.ดร.ผาสุก พงษ์ไพจิตร นักวิชาการชั้นนำด้านเศรษฐศาสตร์การเมืองและประวัติศาสตร์เศรษฐกิจ ในงานแสดงปาฐกถาพิเศษ ป๋วย อึ๊งภากรณ์ ครั้งที่ 19 จัดโดยคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อวันที่ 8 มี.ค. 2567 ซึ่งยังมี ผศ.ดร.ธานีชัยวัฒน์ อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมอ่านร่างปาฐกถาของ ศ.ดร.ผาสุก ด้วย
ปาฐกถาของ ศ.ดร.ผาสุก เริ่มต้นจากข้อค้นพบในงานวิจัย “ระบบกำกับดูแลที่ดินเพื่อการพัฒนา : ทางเลือกการใช้ที่ดินและนโยบายที่ดินใน 20 ปีข้างหน้า”
ซึ่งมีคณะผู้วิจัยรวม 15 ท่าน โดยตีพิมพ์เป็นหนังสือชื่อ “Getting land right ระบบกำกับดูแลที่ดินไทยต้องปฏิรูป” ว่าด้วยความซับซ้อนของกลไกกำกับดูแลที่ดินในประเทศไทย ท่ามกลางบริบทของทุนและปัญหาสิ่งแวดล้อมของโลกสมัยใหม่ รวมถึงการกระจายรายได้และทรัพย์สินที่จะเหลื่อมล้ำมากขึ้น
ตลอดจนคดีความที่เกี่ยวกับปัญหาความขัดแย้งเรื่องที่ดิน เช่น ในช่วงปี 2557-2562 มีคดีความที่หน่วยงานรัฐฟ้องประชาชน กรณีบุกรุกที่ดินซึ่งรัฐนิยามว่าเป็นป่า มากถึง 5 หมื่นคดี ยังไม่ต้องนับข้อพิพาทระหว่างประชาชนด้วยกัน และความขัดแย้งเหล่านี้นำมาซึ่งความรุนแรง อย่างไรก็ตาม หากจะทำความเข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ก็ต้องย้อนมองกลับไปในอดีต ในยุคสมัยที่แผ่นดินไทยยังมีประชากรน้อยและพื้นที่ส่วนใหญ่ยังเป็นป่าปกคลุม
กระทั่งยุคหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยเฉพาะหลังปี 2500 เป็นต้นมา เป็นยุคสมัยที่จำนวนประชากรเพิ่มขึ้นอย่างสูง ประกอบกับรัฐบาลไทยก็สนับสนุนการพัฒนา ทำให้การใช้ที่ดินขยายตัวอย่างรวดเร็ว ผู้คนต่างจับจองที่ดินเพื่อทำมาหาเลี้ยงชีพ และรัฐบาลก็จดทะเบียนที่ดินเอกชนได้ดีในพื้นที่นาของภาคกลางและภาคตะวันออกเฉียงเหนือแต่ในที่ไกลปืนเที่ยง การจดทะเบียนที่ดินเอกชนกลับยังลักลั่น หลายคนสูญเสียสิทธิ์ตามกฎหมายในที่ดินที่จับจอง
“ในทางกลับกัน ครอบครัวที่มีอิทธิพลและอำนาจ สามารถชักจูงข้าราชการที่เกี่ยวข้องออกเอกสารสิทธิให้ ยิ่งรัฐไทยไม่สามารถขจัดการคอร์รัปชั่นได้ เงิน การหาประโยชน์ส่วนตัว และการทำกำไรเฉพาะหน้า จึงสามารถมีอำนาจเหนือกฎหมายได้เสมอมา การถือครองที่ดินก็ยิ่งมีความเหลื่อมล้ำสูง ดังที่การสำรวจพบว่า ค่าสัมประสิทธิ์ GINI สำหรับที่ดินที่มีโฉนดนั้นอยู่ในระดับสูงมาก คือ 0.89”
ปลายทศวรรษที่ 2520 สัดส่วนพื้นที่ป่าลดลงอย่างมากจนเกิดข้อกังวล รัฐจึงกำหนดให้ต้องมีพื้นที่ป่าร้อยละ 40 ของพื้นที่ทั้งประเทศ และกำหนดว่าพื้นที่ใดจะเป็นพื้นที่อนุรักษ์ประเภทต่างๆ (ป่าสงวน อุทยาน ฯลฯ) แม้จะมีประชาชนอยู่อาศัยและใช้ประโยชน์ในพื้นที่เหล่านั้นมาก่อนก็ตาม มีถึงขนาดสร้างวัดและโรงเรียน ลงหลักปักฐานอย่างชัดเจน นอกจากนั้นในช่วงสงครามเย็นซึ่งรัฐไทยต่อสู้กับฝ่ายคอมมิวนิสต์ที่อยู่ในป่า ทำให้ป่ากลายเป็นประเด็นการเมืองและความมั่นคง โดยรัฐมองว่าในป่าไม่ควรมีคนอยู่ แนวคิดเรื่องคนอยู่ในป่าแล้วทำลายป่าจึงซับซ้อนยิ่งขึ้น
แนวคิดดังกล่าวนำไปสู่การโยกย้ายคนออกจากป่า ในบางกรณีมีการทำลายพืชผลทางการเกษตรและสิ่งก่อสร้างที่ประชาชนปลูกสร้างไว้ คำถามคือ “แนวคิดป่าต้องปลอดคนและประเทศต้องมีพื้นที่ป่าร้อยละ 40 มาจากไหน?” ต้องบอกว่ารัฐไทยได้รับแนวคิดมาจากตะวันตก เช่น แนวคิดป่าไม้ดั้งเดิมของเยอรมนีที่มองว่ามนุษย์เป็นศัตรูของป่า แต่ขณะเดียวกันรัฐก็อนุญาตให้มีคนงานตัดไม้ไปอยู่ในป่าได้เพราะรัฐได้ประโยชน์
หรือแนวคิดป่าดงพงไพรต้องปลอดคนของชนชั้นกลางในสหรัฐอเมริกา เพื่อให้มีอุทยานแห่งชาติสำหรับใช้พักผ่อนเมื่อต้องการหลบลี้จากมลภาวะในเมือง ตลอดจนแนวคิดเรื่องการอนุรักษ์ที่ไม่ควรให้มนุษย์เข้าไปอยู่ในป่าเว้นแต่เพื่อการศึกษาวิจัยเท่านั้น ขณะที่ จี.เอ็น. ดันฮอฟ (G.N. Danhof) ผู้เชี่ยวชาญชาวเนเธอร์แลนด์ เป็นผู้ให้คำแนะนำเรื่องสัดส่วนพื้นที่ป่าร้อยละ 40 ของพื้นที่ทั้งประเทศ ที่รัฐไทยได้รับแนวคิดมาตั้งแต่ปี 2495
ซึ่งข้อเสนอของ ดันฮอฟ เป็นไปตามแนวคิดเรื่องความหลากหลายทางชีวภาพ (Biodiversity) ในระดับสากล ที่ให้ทั่วโลกรักษาพื้นที่ป่าให้ได้อย่างน้อยร้อยละ 40 ในทุกภูมิประเทศ แต่แนวคิดนี้ก็ถูกตั้งคำถามว่าเหตุใดต้องคงพื้นที่ป่าให้เท่ากันในทุกแห่ง และเหตุใดต้องกำหนดขั้นต่ำที่ร้อยละ 40 โดยฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกับแนวคิดนี้ มองว่าการจะอนุรักษ์ป่าให้ได้ผลในโลกปัจจุบัน อาจต้องมีความยืดหยุ่น ปรับรูปแบบให้สอดคล้องกับความจำเป็นทางด้านสิ่งแวดล้อม สังคมและเศรษฐกิจของแต่ละแห่ง
“ในกรณีของไทย มีการโยงประเด็นนี้เข้ากับการอนุรักษ์ป่าต้นน้ำเพื่อให้มีปริมาณน้ำเพียงพอ แต่ก็น่าคิดเช่นกันว่า ประเทศที่มีทะเลทรายเป็นส่วนมากอย่างอิสราเอล ก็มีวิธีการหาน้ำใช้ได้โดยไม่จำเป็นต้องจำกัดพื้นที่ป่าขั้นต่ำที่ร้อยละ 40 ของพื้นที่ทั้งประเทศ อิทธิพลของกระแสแนวคิดทั้ง 2 สะท้อนให้เห็นใน พ.ร.บ.ป่าไม้ พ.ศ.2484 ที่นิยามว่า ป่าคือที่ดินที่ยังไม่มีบุคคลใดได้มาตามกฎหมายที่ดิน กล่าวคือ ไม่ได้นิยามป่าตามสภาพภูมิศาสตร์ แต่นิยามด้วยอำนาจรัฐที่จะกำหนดว่าใครจะเป็นเจ้าของที่ดิน และเป็นผู้กำกับควบคุมที่ดิน”
จากการมองป่าของรัฐไทยข้างต้น ได้กีดกันผู้คนที่อยู่อาศัยในป่าออกไปและต้องกลายเป็นผู้กระทำผิดกฎหมายบ้านเมือง โดยสรุปแล้ว “นโยบายการจัดการป่าของไทยเป็นแบบรัฐผูกขาดโดยประชาชนไม่มีส่วนร่วม” ทั้งนี้ ข้อมูล ณ ปี 2560 สัดส่วนที่ดินของประเทศไทย ร้อยละ 60 อยู่ในการกำกับดูแลของหน่วยงานภาครัฐ
ส่วนอีกร้อยละ 40 เป็นที่ดินของเอกชน แต่ในจำนวนนี้ก็ยังมีที่ดินแบบกึ่งรัฐ-กึ่งเอกชน คือที่ ส.ป.ก.
หน่วยงานกำกับดูแลที่ดินแต่ละหน่วยงานมีกฎหมายของตนเองแยกออกจากกัน เป็นพหุระบบที่ซับซ้อน สร้างความสับสนและไร้ประสิทธิภาพ ไม่ตอบโจทย์ความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชน อีกทั้งยังมีความขัดแย้งระหว่างหน่วยงานรัฐด้วยกันและระหว่างรัฐกับประชาชนเนื่องจากมีที่ดินส่วนหนึ่งเป็นพื้นที่ทับซ้อน กระทั่งในปลายทศวรรษ 2550 รัฐไทยเริ่มนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อทำให้แผนที่ของทุกหน่วยงานเป็นมาตรฐานเดียวกัน หรือโครงการ “วันแมป (One Map)” แต่ปัจจุบันก็ยังไม่สมบูรณ์
อีกด้านหนึ่ง ยังมีการต่อสู้ของภาคประชาชน ที่คัดค้านการอนุญาตให้ทำอุตสาหกรรมเหมืองแร่และปิโตรเลียม ในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงหนือ ด้วยกังวลผลกระทบต่อชุมชน หลายพื้นที่เริ่มมีตัวอย่างให้เห็นว่าคนสามารถอยู่ร่วมกับป่าได้ แต่ก็ยังมีความยุ่งยากในอนาคต ทั้งการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษซึ่งรัฐได้รับการสนับสนุนจากทุนทั้งในประเทศและทุนข้ามชาติ ทำให้ประชาชนถูกกีดกันออกจากที่ดิน เกิดการละเมิดสิทธิชุมชน นอกจากนั้นในอีกมิติหนึ่ง การกำกับดูแลที่ดินและป่าอย่างมีประสิทธิภาพ จะมีความสำคัญกับการรับมือวิกฤตโลกร้อนและมลภาวะด้วย
ฟังปาฐกถาฉบับเต็มได้ที่ https://www.facebook.com/ECONTUofficial/videos/1804894190015039 (นาทีที่ 1.00.25 – 1.35.16)
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี