ผ่านพ้นไปแล้วกับ “สมัชชาสุขภาพกรุงเทพมหานคร ครั้งที่ 4 พ.ศ.2567” ในหัวข้อ “ร่วมสร้างมหานครแห่งโอกาสและความเป็นธรรม เพื่อสังคมสุขภาวะ” เมื่อวันที่ 31 มี.ค. 2567 ที่ผ่านมา ณ ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร (เสาชิงช้า) โดยเป็นเวทีให้ภาคส่วนต่างๆ ได้มาร่วมแสดงความคิดเห็นในการพัฒนา กรุงเทพมหานคร(กทม.) ให้เป็น “เมืองสุขภาวะ” ลดเหลื่อมล้ำ-ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง
“หาบเร่แผงลอย” หรือผู้ทำการค้าบนทางเท้าหรือพื้นที่สาธารณะ ซึ่งสามารถทำได้โดยอาศัยการอนุญาตเปิดพื้นที่ตามกฎหมาย พ.ร.บ.รักษาความสะอาดและความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมือง พ.ศ.2535 มาตรา 20 ซึ่งหลังจากที่ช่วงวันที่ 23 ก.พ.-16 มี.ค. 2567 ทางกทม. ได้จัดเวทีรับฟัง “ร่างประกาศกรุงเทพมหานคร เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการกำหนดพื้นที่ทำการค้าและการขายหรือจำหน่ายสินค้าบนถนนหรือสถานสาธารณะ” ไปแล้ว 6 เวที แบ่งตาม 6 กลุ่มเขต ก็ได้เข้าร่วมสะท้อนมุมมองและให้ข้อเสนอแนะในเวทีสมัชชาสุขภาพครั้งนี้ด้วย
สมชาย ประจวบลาภเจริญ ตัวแทนประชาชนเขตหลักสี่ กล่าวว่า หาบเร่แผงลอยเป็นสิ่งที่พบเห็นมาตั้งแต่ยังเด็กจนถึงปัจจุบันที่เป็นผู้สูงอายุ ซึ่งต้องยอมรับว่า “หาบเร่แผงลอยเป็นภาคเศรษฐกิจสำคัญตั้งแต่ระดับฐานรากถึงระดับกลาง” ทางออกจึงไม่ใช่การออกนโยบายขับไล่ห้ามทำการค้าขาย แต่ต้องเป็นการหาพื้นที่ที่เหมาะสม จัดระเบียบให้ดีพูดคุยให้เป็นกิจจะลักษณะ ซึ่งหน่วยงานระดับเขตจะมีบทบาทสำคัญ
“ส่วนหนึ่งจากประสบการณ์ที่ผ่านมาเขตจะต้องมีความเอาใจใส่ จะต้องไปดูแลจริงๆ เท่าที่ตอนนี้ดูก็คือยังไม่เป็นระเบียบเรียบร้อยเท่าที่ควร ทีนี้การจะจัดระเบียบให้เข้าที่เข้าทางได้อย่างไร? ผมว่า..อย่างนายสมชายขายอยู่ที่เคหะทุ่งสองห้อง ป้ายต้องมี! อันนี้ชัดเจน ไม่เช่นนั้นแล้ว อ้าว! นี่นางยุพินไม่ใช่นายสมชาย คนที่จะขึ้นมาต่อที่คุณทำผิด พวกที่ทำผิดกฎระเบียบ คุณจะต้องเลิก ถอนสัญญา หรือว่ากฎระเบียบทำไว้กับเขตนั้นๆ มันต้องเป็นแบบนี้ ไม่เช่นนั้นมันก็เป็นการลูบหน้าปะจมูก” สมชายกล่าว
นงนุช มะนาวหวาน ตัวแทนเครือข่ายแผงลอยไทยเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน และตัวแทนผู้ค้าเขตบางกอกใหญ่ กล่าวถึงจุดผ่อนผันที่เคยอนุญาตให้ทำการค้าได้กว่า 500 จุดแล้วทยอยถูกยกเลิกไปตั้งแต่ปี 2558 จนปัจจุบันคือปี 2567 ผ่านมาเกือบ 10 ปีแล้วว่า ผู้ค้าในพื้นที่เหล่านี้ได้รับผลกระทบอย่างมากแต่ไม่ได้รับโอกาส พร้อมตั้งคำถามถึงฝ่ายการเมืองใน กทม. ว่า ตอนหาเสียงเลือกตั้งต้องการเสียงสนับสนุนจากผู้ค้า แต่จนปัจจุบันแล้วก็ยังไม่มีนโยบายอะไรที่ชัดเจน มีเพียงคำสั่งมาแบบกะปริบกะปรอย ส่วนเจ้าหน้าที่ก็ปฏิบัติแบบข้าราชการ ใช้เวลายาวนาน
“คุณสั่งมาเลยสิ! นโยบายเร่งด่วน ทบทวนจุดแล้วอย่างไร? ตอนนี้เข้าสู่เรื่องจริง คุณทำเปิดรับฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับเงื่อนไข 16 ข้อ ที่มันเป็นปัญหากับคนที่ถูกยกเลิกไปแล้ว แต่ปัญหาเหล่านี้มันยืดเยื้อมา 3 เดือนแล้ว คุณบอกจะปิดรับฟังความคิดเห็นตั้งแต่วันที่ 31 ม.ค. 2567 ผู้ค้าที่ถูกยกเลิกไปมีความหวังแล้วถ้าอำนาจไปลงกับเขตนั้นๆ แต่ ณ ปัจจุบัน เลื่อนมาตลอดจนถึงวันที่ 31 มี.ค. 2567 แล้วกว่าจะเข้าแต่ละจุดการทำงานของภาคราชการมันช้า ปากท้องมันรอไม่ได้” นงนุช กล่าว
ปรีชา ไทยสงเคราะห์ ประธานสหพันธ์ผู้ค้าหาบเร่แผงลอยกรุงเทพมหานคร และตัวแทนผู้ค้าเขตบางขุนเทียน กล่าวถึงแนวคิด “Hawker Center” ที่พยายามจับกลุ่มผู้ค้าไปรวมไว้ในพื้นที่ใดสักแห่งหนึ่ง ซึ่งสิ่งที่พบคือเป็นพื้นที่ที่ไม่สามารถทำการค้าได้จริง โดยตนย้ำว่า “หาบเร่แผงลอยคืออาชีพสุดท้ายของคน” ทุกคนต้องเลี้ยงครอบครัว และทุกชีวิตล้วนมีความหมาย อีกทั้งหลายคนที่เป็นใหญ่เป็นโต เมื่อมองย้อนไปก็เป็นลูกพ่อค้า-แม่ค้า แต่กลับไม่หันมามองว่า ณ เวลานี้คนเหล่านี้จะอยู่กันอย่างไร ดังนั้นหากพื้นที่ใดที่พร้อมก็ควรให้กลับมาขายได้โดยอยู่ภายใต้การจัดระเบียบ
“ยกตัวอย่างโบ๊เบ๊ มีทั้งหมด 3 ผลัด เราจัดให้เขาขายสักผลัดเพื่อให้พวกเขาอยู่ได้ เอาสักผลัดหนึ่งก่อน คลองโอ่งอ่าง เราเห็นพอจัดระเบียบเสร็จเรียบร้อยแล้วเอารถเข้าไปจอด มันได้ประโยชน์ตรงไหน? ไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย ผมคิดว่า กทม.ยุคนี้เป็นยุคที่มีความเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น ผมหวังว่า กทม. จะยึดมั่นในหลักประชาธิปไตย เพื่อให้ทุกคนได้ออกมาทำการค้า มีรอยยิ้มที่สมบูรณ์ มีรอยยิ้มที่มันมีความหมายกลับครอบครัวของเขา” ปรีชา กล่าว
อีกด้านหนึ่ง “สลัม” หรือชุมชนแออัด อันเป็นแหล่งรวมของประชาชนผู้มีรายได้น้อย มักได้รับผลกระทบเมื่อเมืองต้องการพัฒนาให้มีความศิวิไลซ์ และไม่ค่อยจะมีนโยบายรองรับผลกระทบของคนระดับฐานรากเหล่านี้ โดย ประทีป อึ้งทรงธรรมอดีตสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ในฐานะคนทำงานช่วยเหลือเด็กยากไร้ในชุมชนคลองเตย ผู้ก่อตั้งมูลนิธิดวงประทีปและมูลนิธิเด็กอ่อนในสลัม ฉายภาพประวัติศาสตร์การอพยพของคนต่างจังหวัด “หนีความยากจนและหนี้สิน” เข้ามาแสวงหาโอกาสในกรุงเทพฯ เช่น การก่อสร้าง “ท่าเรือคลองเตย” ก็เกิดขึ้นจากแรงงานอพยพ
และเมื่อท่าเรือเริ่มเปิดใช้งาน จากแรงงานก่อสร้างก็เปลี่ยนอาชีพสู่กรรมกรขนถ่ายสินค้า เป็นจุดเริ่มต้นของชุมชนคลองเตย ซึ่งปัจจุบัน มี 40 ชุมชนที่ได้รับการขึ้นทะเบียน ซึ่งก็จะได้งบประมาณสนับสนุนจาก กทม. เหลืออีก 3 ชุมชนที่ยังไม่ได้ขึ้นทะเบียน กระทั่งปัจจุบัน การท่าเรือแห่งประเทศไทยต้องการนำพื้นที่ไปพัฒนาในเชิงธุรกิจ โดยให้ทางเลือกคนในชุมชน 3 ทาง คือ 1.ย้ายไปอยู่บนอาคารสูงซึ่งแบ่งพื้นที่ 50 ไร่ เตรียมไว้ก่อสร้าง 2.ย้ายไปอยู่ย่านหนองจอก จะได้พื้นที่ 19 ตารางวา และ 3.รับเงินแล้วไปเลือกที่อยู่ใหม่เอง แต่คนในชุมชนไม่เห็นด้วย
“เราคิดว่าผู้คนที่มาทำงานเหล่านี้เขาล้วนแต่เป็นผู้ที่สร้างเมือง ทำให้เศรษฐกิจฐานรากขับเคลื่อนไปสู่ระบบที่การที่เราจะไปแข่งขันกับตลาดโลกเสรีได้ ซึ่งมันมีความหมายมีคุณค่าทั้งนั้น ฉะนั้นชีวิตของคนเหล่านี้จะทำอย่างไรให้คุณภาพชีวิตเขาดีขึ้น” ประทีป กล่าว
ประทีป ย้ำถึงปัญหา “ความเหลื่อมล้ำ” ซึ่งเคยมีการจัดอันดับว่าประเทศไทยมีปัญหานี้รุนแรงที่สุดในโลก สูงยิ่งกว่าชาติอย่างอินเดียหรือรัสเซียเสียอีก ว่า “ถึงเวลาหรือยังที่ประเทศไทยจะลงมือทำเพื่อลดความเหลื่อมล้ำ?” ด้วยการสร้างเมืองที่ดูแลสุขภาพของคนทุกคน ให้คนระดับล่างซึ่งเป็นฐานแรกของเมืองมีสุขภาวะที่ดีขึ้น โดยนอกจากคลองเตยแล้ว เชื่อว่ายังมีอีกหลายพื้นที่ที่ยังใช้วิธีคิดในการบริหารจัดการที่มุ่งแต่เม็ดเงินหรือตัวเลขเศรษฐกิจ แต่คำถามคือได้มองถึงชีวิตของผู้คนหรือไม่
“ทำอย่างไรจะส่งเสริมศักยภาพของผู้คนให้เขาเข้มแข็ง ให้เขาลุกขึ้นมาร่วมกันขับเคลื่อนประเทศชาติ เศรษฐกิจ-สังคมที่ดี สุขภาวะที่ดีไปด้วยกัน” ประทีป กล่าวย้ำ
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี