“ถ้าพูดถึงนวัตกรรมที่เราลงไปทำงานโครงการเรื่องห้องเช่าคนละครึ่ง ผมคิดว่ามันเป็นนวัตกรรมที่ทำให้พี่น้องคนไร้บ้านได้มีพื้นที่ตั้งหลักชีวิตแล้วก็พยายามคิดถึงอนาคตตัวเอง ซึ่งถ้าเราเทียบกับตอนทำงานใหม่ๆ พูดถึงประเด็นคนเร่ร่อนไร้บ้านเรายังคิดว่าเขาคงขาดแค่เรื่องสิทธิ์ เรื่องบัตรประชาชน หรือแม้ขาดเรื่องรายได้ เอาเข้าจริงๆ มันมีมากกว่านั้น
ผมคิดว่าในเรื่องของการขยับช่วงที่เรารวมกลุ่มแรกๆ ที่เรียกร้องเรื่องมีพื้นที่ตั้งหลักชีวิต ซึ่งเป็นรูปแบบของศูนย์พักเพื่อให้เขาได้มาบริหารจัดการร่วมกัน แต่ปัจจุบันเรามีโครงการห้องเช่าคนละครึ่ง ที่เรานำร่องที่ย่านหัวลำโพง ผมคิดว่ามันเป็นนวัตกรรมหนึ่งที่ทำให้สังคมเข้าใจว่าคนไร้บ้านจริงๆ แล้วก็ไม่ได้เป็นคนขี้เกียจ ไม่ได้เป็นคนไม่ดี แต่เขาแค่ขาดโอกาส ถ้าเราไปมอบโอกาสนั้นให้เขา เขาพร้อมที่จะเปลี่ยนตัวเอง ผมคิดว่านี่เป็นนวัตกรรมที่ มพศ. ไปทำงานกับพี่น้องคนไร้บ้านย่านหัวลำโพง”
สมพร หารพรม เจ้าหน้าที่มูลนิธิพัฒนาที่อยู่อาศัย (มพศ.) กล่าวในการบรรยาย (ออนไลน์) หัวข้อ “ห้องเช่าคนละครึ่งนวัตกรรมทางสังคมด้านการจัดการที่อยู่อาศัย และความช่วยเหลือที่จำเป็นภายใต้กระบวนการมีส่วนร่วม” จัดโดยสถาบันวิจัยสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อช่วงกลางเดือน เม.ย. 2567 ที่ผ่านมา ถึงโครงการ “ห้องเช่าคนละครึ่ง” ที่มีกลไกช่วยคนไร้บ้านจ่ายค่าเช่าที่พักส่วนหนึ่ง เพื่อให้คนเหล่านี้ได้มีโอกาสตั้งหลักในชีวิต เป็นก้าวแรกของการเปลี่ยนจากคนไร้บ้านใช้ชีวิตในพื้นที่สาธารณะ ไปสู่การมีอาชีพและมีที่อยู่อาศัยเป็นหลักแหล่ง
จุดเริ่มต้นของโครงการนี้ เนื่องจาก มพศ. ทำงานกับคนไร้บ้านและกลุ่มเปราะบางในเมืองอยู่แล้ว ตั้งแต่การเริ่มเก็บข้อมูลในปี 2543 ตั้งแต่สนามหลวงยังไม่ปิดและมีคนไร้บ้านจำนวนมากไปอยู่อาศัยในช่วงแรกๆ พบปัญหาสำคัญคือการไม่มีบัตรประชาชน จึงเข้าไม่ถึงสิทธิต่างๆ ที่คนไทยคนหนึ่งพึงได้รับ เช่น หลักประกันสุขภาพ รวมถึงการไม่มีรายได้ที่มั่นคง เป็นแรงงานนอกระบบรับค่าจ้างรายวัน จึงเกิดแนวคิด “จุดตั้งหลักชีวิต” ขึ้น กระทั่งในช่วงสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 ยิ่งตอกย้ำชัดเจนว่าทุกครั้งที่เกิดวิกฤต คนไร้บ้านจะเป็นกลุ่มแรกที่มักไม่ถูกพูดถึง
โดยในเวลานั้น ทีมของ มพศ. ได้ลงไปทำงาน เช่น ดูว่าคนไร้บ้านจะป้องกันตนเองจากโรคระบาดได้อย่างไร แต่ก็พบว่า สถานการณ์โควิด-19 ได้ทำให้คนไร้บ้านหน้าใหม่เกิดขึ้น เพราะแต่เดิมอาจเคยมีงานทำและมีเงินเช่าที่พักอยู่ พอเกิดวิกฤตขึ้นก็ถูกเลิกจ้างและต้องออกมาใช้ชีวิตในพื้นที่สาธารณะ นำไปสู่การผลักดันต่อภาครัฐจนเกิดจุดประสานงานขึ้น พร้อมกับชวนหลายหน่วยงาน เช่น ศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)
สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) หรือ พอช. รวมถึงภาคประชาสังคมอย่างเครือข่ายสลัม 4 ภาค มาช่วยกันทำงาน รวมถึงสนับสนุนงบประมาณตั้งต้นเป็นกองทุนประเดิมของโครงการ ซึ่งในช่วงแรกๆ ของการเริ่มโครงการ คนไร้บ้านกังวลเรื่องการหารายได้ให้เพียงพอมาสมทบจ่ายค่าเช่าห้องพักจึงต้องแบ่งเงินมาตั้งกองทุนส่งเสริมอาชีพด้วยอีกก้อนหนึ่ง (เช่น ค่าเดินทาง ค่าชุดทำงาน) โดยจากเฟสแรกที่มีคนเข้าร่วม 16 คน โครงการดำเนินต่อได้ถึง 6 เฟส ด้วยจำนวนผู้เข้าร่วมที่เพิ่มเป็น 37 คน
“มันไม่ใช่แค่เรื่องป้องกันแล้ว แล้วถ้าเขาอยู่ตรงนี้แล้วเขาจะไปอย่างไรต่อ? เราก็เลยเห็นกลุ่มหนึ่งที่พอเขาไปทำงานมาเขาก็พยายามไปเช่าห้องรายวัน ซึ่งเราก็เริ่มจากตรงนั้น แสดงว่าเขาไม่อยากอยู่ในพื้นที่สาธารณะเท่าไร เพียงแต่มันขึ้นกับโอกาสว่าเขามีรายได้ช่วงนั้นกี่บาท เขาจะต้องเก็บเงินไว้ส่วนหนึ่งไปจ่ายค่าห้องเราก็เริ่มจากจุดนั้น เราก็ชวนเขาทำเรื่องห้องเช่าคนละครึ่งไหม? คุณจ่ายครึ่ง-เราจ่ายครึ่ง อันนี้ก็เลยเป็นที่มา แต่ตอนนั้นเราก็ยังพะวงอยู่ว่าเราจะชวนทั้งหมดก็คงยาก ก็เลยเริ่มจากกลุ่มเล็กๆ ก่อน” สมพร กล่าว
สมพร เล่าต่อไปว่า การทำงานกับคนไร้บ้านในระยะหลังๆ เช่น ช่วงที่เริ่มทำโครงการห้องเช่าคนละครึ่ง ถือว่าง่ายขึ้นกว่าช่วงก่อนหน้านั้นมากๆ เพราะทัศนคติทั้งของหน่วยงานภาครัฐและคนในสังคมเปลี่ยนไป เพียงแต่ต้องสื่อสารให้ผู้เกี่ยวข้องเข้าใจว่าโครงการนี้มีขึ้นเพื่ออะไร ส่วนการมองหาคนไร้บ้านที่จะมาเป็นแกนนำของกลุ่ม ข้อแรกดูที่การมีใจก่อนว่าอยากช่วยเหลือคนไร้บ้านด้วยกัน ส่วนเรื่องการพัฒนาเทคนิค (เช่น การสื่อสาร) จะเป็นเรื่องถัดมา
ทั้งนี้ การเห็นตัวอย่างจากคนไร้บ้านด้วยกัน เป็นแรงจูงใจที่ทำให้คนไร้บ้านอยากเข้าร่วมโครงการห้องเช่าคนละครึ่ง เพราะเมื่อเห็นคนไร้บ้าน จากที่เช้าไปหางานทำแล้วตกค่ำก็มานอนในพื้นที่สาธารณะ เริ่มจากการเข้าโครงการ เริ่มมีงานประจำเป็นรายวันบางคนขยับเป็นได้รับเงินเดือนและมีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง ก็ทำให้คนอื่นๆ อยากเปลี่ยนแปลงชีวิตตนเองบ้าง โดยทำความเข้าใจกับผู้ที่ต้องการเข้าร่วมโครงการว่าต้องมีงานทำเพื่อมาจ่ายค่าเช่าก่อนแล้วโครงการจะสมทบส่วนที่เหลือให้
โครงการยังมีกิจกรรมนัดพบกันทุกวันที่ 27 ของเดือน เพื่อสอบถามความเป็นไปในชีวิตของแต่ละคนที่เข้าร่วมโครงการว่ามีชีวิตเป็นอย่างไร อนึ่ง โครงการไม่ได้เป็นผู้จัดหาห้องเช่าแต่เป็นผู้เข้าร่วมที่ต้องไปหาเอง ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะเลือกห้องที่อยู่ใกล้แหล่งงานหรือใกล้จุดที่สามารถเอาชีวิตรอดได้หากจำเป็น เช่น ย่านหัวลำโพง เพราะหากวันใดที่ไม่มีงานให้ทำ บริเวณนั้นก็ยังมีจุดแจกอาหาร ขณะที่ผู้ประกอบการห้องเช่าก็ให้ความร่วมมือเพราะเห็นว่ามีผู้มาเช่าก็ยังดีกว่าไม่มี และคนไร้บ้านที่เข้าร่วมก็รู้จักผู้ประกอบการอยู่แล้ว เพราะหลายคนก็เคยเช่าห้องตรงนั้นอยู่มาก่อน
โดยมีทีมงานจากสถาบันวิจัยสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เข้าไปช่วยวางระบบบริหารจัดการและการโอนเงินสมทบ ทั้งนี้ แต่ละห้องจะมีงบประมาณช่วยเหลือไม่เกิน 1,500 บาทต่อเดือน และช่วยไม่เกิน 6 เดือน ก่อนที่ระยะต่อมาจะขยายเป็นช่วยไม่เกิน 1 ปี ด้วยการตั้งกองทุนที่อยู่อาศัย โดยแต่ละเดือนผู้เช่าต้องจ่ายค่าเช่าร้อยละ 60 ซึ่งจะแบ่งเป็นค่าเช่าจริงร้อยละ 50 และเข้ากองทุนอีกร้อยละ 10 เช่นเดียวกับงบประมาณของโครงการก็แบ่งในสัดส่วนเดียวกัน และเมื่อครบ 1 ปี ก็จะมีการประเมินความพร้อมเพื่อลดสัดส่วนการอุดหนุนค่าเช่าโดยโครงการลง
“ถ้าพูดถึงการตอบรับ ผมคิดว่าก็น่าจะมาในทิศทางที่ดี เราขยับตั้งแต่เฟสแรกจนถึงเฟส 6 ตอนแรกเราก็กลัวอยู่ว่าถ้ากลุ่มแรกไปไม่รอดเราคงทำโครงการเรื่องนี้ค่อนข้างยาก บังเอิญว่าเราพอขยับกลุ่มแรก ก็คือเฟสแรก เขาสามารถเห็นการเปลี่ยนแปลงได้ ซึ่งเราไม่ได้ทำแค่เรื่องห้องเช่า เราไปทำเรื่องพัฒนาอาชีพ เรื่องสวัสดิการด้วย เรื่องของการดึงหน่วยงานภาครัฐ นักวิชาการหรือภาคี ลงไปเยี่ยมเขา ก็เห็นว่าพอเขาตั้งหลักได้ มีเพื่อนพร้อมที่จะสนับสนุนเขา ผมคิดว่าอันนี้แหละที่ทำให้พี่น้องเริ่มมั่นใจ” สมพร ระบุ
สมพร ยังกล่าวอีหกว่า ปัจจุบันคนไร้บ้านที่เคยเข้าร่วมโครงการห้องเช่าคนละครึ่ง สามารถตั้งหลักได้และจ่ายค่าเช่าห้องได้เองเต็มจำนวนโดยที่ไม่ต้องอุดหนุนอีก!!!
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี