วันจันทร์ ที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2568
แนวหน้า
  • แนวหน้า
  • หน้าแรก
  • คอลัมน์
    • คอลัมน์วันนี้
    • คอลัมน์ออนไลน์
    • คอลัมน์การเมือง
    • คอลัมน์ลงมือสู้โกง
    • โลกธุรกิจ
    • ผู้หญิง
    • บันเทิง
    • Like สาระ
    • ดูทั้งหมด
  • ข่าวเด่น
  • พระราชสำนัก
  • การเมือง
  • โลกธุรกิจ
  • อาชญากรรม
  • กทม.
  • ในประเทศ
  • เกษตร
  • ต่างประเทศ
  • กีฬา
  • ผู้หญิง
  • บันเทิง
  • ยานยนต์
  • Like สาระ
หน้าแรก / ข่าว Like สาระ
‘ธนัฐ จันทร์มาลา’ แก้ปัญหาชาวนาไทยยากจน  ราคารับซื้อข้าวต้องเป็นธรรม

‘ธนัฐ จันทร์มาลา’ แก้ปัญหาชาวนาไทยยากจน ราคารับซื้อข้าวต้องเป็นธรรม

วันเสาร์ ที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2567, 06.00 น.
Tag : ธนัฐ จันทร์มาลา ชาวนาไทย ความยากจน ข้าวไทย
  •  

 

เอ่ยถึง “ประเทศไทย” หนึ่งในสินค้าขึ้นชื่อย่อมต้องเป็น “ข้าว” ซึ่งนอกจากจะได้ชื่อว่าเป็นชาติที่ส่งออกข้าวเป็นอันดับต้นๆ ของโลกแล้ว ข้าวไทยยังได้รับการยอมรับจากนานาประเทศว่าเป็นข้าวคุณภาพดี มีกลิ่นหอมและรสชาติอร่อย แต่ในขณะที่ข้าวไทยมีชื่อเสียงเลื่องลือในระดับโลก “ชาวนา” กลับเป็นอาชีพที่ผูกติดอยู่กับภาพของ “ความยากจน” และต้องพึ่งพานโยบายช่วยเหลือจากภาครัฐอยู่ร่ำไป แล้วแต่รัฐบาลชุดไหนจะเรียกนโยบายนั้นว่าอะไรและมีรูปแบบอย่างไร


รายการใหม่ของช่องยูทูบ “แนวหน้าออนไลน์” อย่าง “สีสันการเมือง แบบ เด้งเด้ง” ดำเนินรายการโดย บุญระดม จิตรดอน ซึ่งเริ่มออนแอร์ตั้งแต่ช่วงต้นเดือน พ.ค. 2567 เป็นต้นมา ในตอนที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 9 พ.ค. 2567 ธนัฐ จันทร์มาลา เลขาธิการสมาพันธ์ชาวนาแห่งประเทศไทย ตั้งข้อสังเกตถึงปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ชาวนาไทย
ไม่อาจลืมตาอ้าปาก นั่นคือ “ความที่ไม่สามารถเป็นผู้กำหนดราคาสินค้าได้เอง” เมื่อเทียบกับสินค้าอื่นๆ

“เรื่องราคาข้าวไม่ว่ายุคไหนสมัยไหน มันถูกบิดเบือนบิดเบี้ยวมาโดยตลอด เนื่องจากว่ากระทรวงพาณิชย์มีอำนาจและหน้าที่กำหนดราคาข้าว ตาม พ.ร.บ.
การค้าข้าว พ.ศ.2489 กระทรวงพาณิชย์เป็นผู้กำหนดราคาข้าวที่จะรับซื้อจากชาวนาทั้งประเทศ มันก็แปลกนะจุดแข็งของประเทศไทยคือการเกษตร แล้วข้าวผลิตได้มาก ส่งออกเป็นอันดับ 1 ของทั่วโลก แต่ผู้ผลิตข้าวไม่สามารถกำหนดราคาของตัวเองได้ ซึ่งมันต่างจากสินค้าภาคอุตสาหกรรม ที่ผู้ผลิตอยากจะขายเท่าไรเขา
ก็กำหนดเอง แต่ชาวนาไทยต้องให้กระทรวงพาณิชย์เป็นผู้กำหนด

คนทำไม่ได้กำหนดราคาขาย คนกำหนดราคาขายไม่ได้ทำ นี่คือความบิดเบี้ยวของราคาข้าวประเทศไทยบิดเบี้ยวอย่างไร? กระทรวงพาณิชย์ไปเอาราคาข้าวสารส่งออกมาเป็นตัวอ้างอิงในการรับซื้อข้าวเปลือกจากชาวนา ผมอธิบายอย่างนี้ ข้าวเปลือก 2 กระสอบ เวลาไปสีเป็นข้าวสารจะได้ข้าวสาร 1 กระสอบ 2 ต่อ 1 นะ แล้วข้าวสารในประเทศไทยมันแบ่งเป็น 2 ส่วน ส่วนที่ 1 ส่งออก ส่วนนี้อยู่ประมาณ 40% ของข้าวสารทั้งประเทศ แล้วส่วนที่ 2 บริโภคในประเทศ ราคาข้าวสาร 2 ส่วนนี้จะต่างกันมากเกือบครึ่งต่อครึ่ง” ธนัฐ ระบุ

ธนัฐ อธิบายต่อไปว่า หากผู้บริโภคไปซื้อข้าวสารในร้านค้า ข้าวสาร 1 ถุงมีน้ำหนัก 5 กิโลกรัม ราคาเฉลี่ยถุงละ200-250 บาท หรือเฉลี่ย 40-50 บาทต่อกิโลกรัม แต่ข้าวสารสำหรับส่งออก ราคาเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณกิโลกรัมละ 20 บาท ถูกกว่าข้าวสารส่วนที่บริโภคในประเทศเกือบครึ่งหนึ่งแต่การที่กระทรวงพาณิชย์ยึดราคาข้าวสารเพื่อการส่งออกเป็นเกณฑ์ตั้งราคารับซื้อข้าวเปลือกจากชาวนา

เช่น หากราคาข้าวสารส่งออกกิโลกรัมละ 20 บาท ราคาข้าวเปลือกที่รับซื้อจากชาวนาจะอยู่ที่กิโลกรัมละ 10 บาท ส่วนที่เหลือจะเป็นค่าดำเนินการหรืออะไรต่างๆ หักเป็นกำไรของพ่อค้าไป ทั้งนี้ หากเทียบระหว่างราคาข้าวส่งออกกับข้าวบริโภคในประเทศ จะมีส่วนต่างประมาณ 30 บาทต่อกิโลกรัม เงินส่วนต่างนี้ไปอยู่กับใครบ้าง? เช่น นายทุนพ่อค้าข้าว หรือบุคคลอื่นๆ ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการขายข้าว

ดังนั้น “หากกระทรวงพาณิชย์ต้องการให้เศรษฐกิจไทยดีขึ้นและชาวนาไทยมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น การกำหนดราคารับซื้อข้าวเปลือกจากชาวนาต้องอ้างอิงจากราคาข้าวสารที่ใช้บริโภคภายในประเทศ” จะทำให้ได้ราคาขายข้าวเปลือกที่เป็นธรรมจริงๆ โดยอยู่ที่ 20-30 บาทต่อกิโลกรัม หรือตันละ 2-2.5 หมื่นบาท ในขณะที่ปัจจุบันราคาข้าวเปลือกกิโลกรัมละ 10 บาท หรือตันละ 1 หมื่นบาท ซึ่งเมื่อชาวนาไทยหลายล้านคนมีรายได้เพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว เศรษฐกิจในภาพรวมของประเทศก็ย่อมจะต้องดีขึ้นไปโดยปริยาย

“มีแต่คำปลอบประโลมว่าชาวนาไทยคือกระดูกสันหลังของชาติ อันนี้เป็นแค่คำปลอบประโลมใจให้ชาวนารู้สึกภูมิใจ แต่ความเป็นจริงของชีวิตชาวนาก็คือเราต้องการรายได้ แล้วทุกวันนี้ทำนาไม่มีกำไรนะ ขาดทุนตลอด ปุ๋ยก็แพง น้ำมันก็แพง จ้างรถเกี่ยวข้าว ซื้อเมล็ดพันธุ์ข้าว ซื้ออุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับการทำนาทั้งหมด ขาดทุนแต่ทำไมต้องทำนาอยู่? เพราะชาวนามีนาก็ไม่รู้จะไปทำอะไร อย่างน้อยก็มีข้าวกิน ก็เลยยังต้องทำนาอยู่”ธนัฐ กล่าว

จากเรื่องราคาข้าวที่เป็นธรรมกับชาวนา เลขาธิการสมาพันธ์ชาวนาแห่งประเทศไทย กล่าวต่อไปถึงประเด็นร้อนในช่วงต้นเดือนพ.ค. 2567 เมื่อ ภูมิธรรม เวชยชัย
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ มีแนวคิดจะนำข้าวที่เก็บไว้ในสต๊อกนานถึง 10 ปี ไปขายในทวีปแอฟริกา ว่า เรื่องนี้เป็นการทำร้ายชาวนาและทำร้ายประเทศไทยซ้ำสอง เพราะที่ผ่านมาข้าวไทยมีชื่อเสียงไปทั่วโลกในฐานะข้าวที่อร่อยที่สุด แต่วันนี้กลับมีแนวคิดจะนำข้าว 10 ปีที่ชาวนาเขาเรียกกันว่าข้าวเน่าไปขาย

โดยชาวนาจะแบ่งข้าวเป็น 3 ประเภท คือ 1.ข้าวใหม่ หมายถึงข้าวที่เพิ่งเก็บเกี่ยวจากการทำนาในฤดูกาลปลูกนั้น คือประมาณเดือน 11-12 ซึ่งเป็นช่วงสิ้นฤดูกาลปลูก ชาวนาก็จะนำข้าวใหม่มากิน โดยข้าวใหม่ จะมีสีขาวสวย รสชาติอร่อยนุ่ม กลิ่นหอม แล้วก็เม็ดเรียงตัวกันสวยมาก 2.ข้าวเก่า หมายถึงข้าวที่เก็บไว้ 1-2 ปี และปกติชาวนาจะกินข้าวเก่าสุดคือเก็บไว้ 1 ปี หากเข้าสู่ปีที่ 2 ก็จะดูว่านำไปขายได้หรือไม่ หากขายได้ก็ขาย แต่หากขายไม่ได้ก็จะนำไปเป็นอาหารสัตว์ที่เลี้ยงไว้ เช่น หมู ไก่ สุนัข และ 3.ข้าวเน่า หมายถึงข้าวที่เก็บไว้เกิน 3 ปี

ส่วนคำถามว่า เหตุใดข้าวเก็บไว้นานถึง 10 ปีแล้วยังเรียงเม็ดอยู่ได้ มองว่าอาจเกิดจากการรมควัน เพราะเมล็ดข้าวมีความโป่ง เวลารมควันสิ่งที่รมคือก๊าซ “เมทิลโบรไมด์”จัดเป็นก๊าซอันตรายหากได้รับในปริมาณสูงอาจถึงขั้นเป็นอัมพาตหรือเสียชีวิตได้ โดยเมื่อใช้ก๊าซรมแล้วก็จะซึมเข้าไปในเมล็ดข้าว ดังนั้นข้าวที่กินก็จะมีก๊าซนี้อยู่ ซึ่งตามขั้นตอนเก็บข้าวตามปกติ จะมีการรมก๊าซ 2 เดือนต่อครั้ง

แต่ที่มีข่าวว่ารมเดือนละครั้ง หากเป็นจริงก็เท่ากับ 1 ปีรมก๊าซ 12 ครั้ง และ 10 ปี รมก๊าซถึง 120 ครั้ง ก๊าซจะเข้าไปอยู่ในเมล็ดข้าวมาก-น้อยเพียงใด หากนำไปรับประทาน อย่าว่าแต่กินหมดจาน กินเข้าไป 2-3 ช้อน ก็อันตรายแล้ว เพราะเป็นสารเคมี เมทิลโบรไมด์หรือสารรมควัน เป็นก๊าซมีคุณสมบัติในการแทรกซึมกระจายเข้าไปในเมล็ดข้าว อีกทั้ง“การรมควันทำได้เพียงรักษาคุณภาพเมล็ดข้าว แต่ไม่สามารถรักษาคุณค่าทางโภชนาการไว้ได้” โดยข้าวไม่ได้มีแต่คาร์โบไฮเดรต ยังมีวิตามินและเกลือแร่ด้วย ซึ่ง 2 อย่างหลังนี้สูญเสียไปแล้ว

“มันส่งผลแน่นอน เพราะวันนี้ท่านเอาข้าว 10 ปีมาประกาศขาย ทั่วโลกได้ยินหมด ผมถามว่าแล้วมีใครอยากกินของเก่าไหม? ทุกคนกินอาหารมันต้องสดถูกไหม? ข้าวก็ต้องสดใหม่ มันถึงจะให้คุณค่าทางโภชนาการได้ครบถ้วน วันนี้ท่านทำลายชื่อเสียงของประเทศ ทำลายชื่อเสียงของข้าวไทย แล้วถามว่าถ้าชาวนาเอาข้าวไปขายทั่วโลกจะเชื่อถือไหม? ในปีต่อๆ ไป หรือในอนาคตข้างหน้าท่านเอาข้าวไปขายถามว่าจะได้ราคาเดิมไหม? เพราะเครดิตข้าวไทยมันถูกลดไปแล้ว” เลขาธิการสมาพันธ์ชาวนาแห่งประเทศไทย กล่าว

ธนัฐ กล่าวต่อไปว่า แล้วคนที่พูดไม่ใช่คนธรรมดาแต่เป็นรัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์ ถือว่ามีน้ำหนัก อย่างข้าวที่นำมาล้าง ที่ล้างไป 15 น้ำ ในความเป็นจริงชาวบ้านที่หุงข้าวไม่มีใครล้างเกิน2 น้ำ หรือหากล้าง 3 น้ำก็คือว่าแย่แล้วอีกทั้งที่เห็นภาพจากคลิปวีดีโอการล้านข้าว ก็มีทั้งมอด มีทั้งคราบสีดำลอยตัวขึ้นมา ซึ่งข้าวที่ดีจะไม่มี อย่างข้าวใหม่จะล้างเพียงน้ำเดียวเพราะต้องการให้คุณค่าทางอาหารอยู่ครบ แต่ข้าวในคลิป ล้าง 15 น้ำแล้วยังมีสีเหลืองปนอยู่เลย และอย่าว่าแต่เป็นข้าวให้คนกิน แม้แต่นำไปแปรรูปเป็นอาหารสัตว์ก็ไม่ควรทำ เพราะสัตว์กินแล้วก็มีสารพิษตกค้าง

ต่อคำถามที่ว่า “เหตุใดจึงบอกว่าเป็นการทำร้ายซ้ำสอง?” ก็ต้องบอกว่าเพราะครั้งแรกคือกรณี “นโยบายรับจำนำข้าว” เมื่อกว่า 10 ปีก่อน สมัยรัฐบาลนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ประกาศรับซื้อข้าวตันละ 15,000 บาท แต่พอเอาเข้าจริงพบชาวนาถูกหักค่าความชื้นและอื่นๆ ได้รับเงินจริงประมาณตันละ 8,000 บาทเท่านั้น จนถึงปัจจุบันก็ยังเป็นคำถามคาใจว่า ส่วนต่างที่ถูกหักนั้นไปอยู่ที่ใดบ้าง

ทั้งๆ ที่ ณ เวลานั้น ชาวนาคิดค่าใช้จ่ายแล้วว่าต้องลงทุนเท่าไรเพื่อปลูกข้าวสำหรับนำไปรับเงิน 15,000 บาท แล้วจะนำไปใช้หนี้ แต่เมื่อไม่ได้ราคาตามที่ประกาศไว้ก็
ไม่สามารถใช้หนี้ได้ ชาวนาบางรายตัดสินใจจบชีวิตตนเองไปก็มี กระทั่งล่าสุดเมื่อมีข่าวว่าจะมีการนำข้าวค้างโกดังจากนโยบายจำนำข้าวออกไปขาย ก็เท่ากับเป็นการทำร้ายชาวนาเป็นครั้งที่ 2 เพราะทำลายชื่อเสียงของข้าวไทย แทนที่ชาวนาจะมีความหวังเรื่องขายข้าวได้ราคาสูงขึ้น แต่เมื่อทั่วโลกรู้ว่าไทยกำลังจะนำข้าวเก่าออกมาขาย ก็คงไม่มีใครกล้าให้ราคาดี-ราคาสูงแล้ว

“เคยกินข้าวเก่า รสชาติดีๆ ของข้าวมันจะหายไปเลย กลิ่นมันจะอับๆ ฉุนๆ แล้วก็รสชาติ ความขาว ความนุ่มความหอม มันไม่มีเลย แล้วเม็ดมันก็จะหัก ยิ่งข้าวเหนียว คนอีสานกินข้าวเหนียวเยอะ เวลากินไม่หมดเขาจะอุ่นอีกรอบ 2 ถ้าข้าวเกิน 2 ปีขึ้นไปมันจะเหนียวมากเพราะมันเป็นเม็ดเล็ก เวลาปั้นมันติดกัน เคี้ยวยาก เพราะฉะนั้นเขาก็ไปทำเป็นข้าวแห้ง ข้าวพอง ก็แปรรูปกันไป คือข้าวสารจริงๆ ไม่ควรเก็บเกิน 6 เดือน แต่นี่เก็บมา10 ปี มันก็เหลืองแล้วมีมอดมีแมลงอะไรเข้ามาปน”ธนัฐ ระบุ

ธนัฐ ยังกล่าวอีกว่า ข้าวที่เก็บไว้เป็นเวลานานจะมีสาร “อะฟลาท็อกซิน (Aflatoxin)” เป็นสารพิษที่จะสลายตัวที่อุณหภูมิ 250 องศาเซลเซียสขึ้นไปเท่านั้น แต่การหุงข้าวโดยทั่วไปเมื่อน้ำเดือดอุณหภูมิจะอยู่ที่เพียง 100 องศาเซลเซียสซึ่งอะฟลาท็อกซินนั้นเป็น “สารก่อมะเร็ง” ส่วนที่มีนักวิชาการบางท่านเสนอให้นำไปทำเอทานอล ก็ไม่แน่ใจว่าจะทำได้หรือไม่และที่ผ่านมาก็ยังไม่เคยมีชาวนานำข้าวไปทำเอทานอล มีแต่ใช้มันสำปะหลังผลิต ดังนั้นข้าว 10 ปีลอตนี้ ทำได้อย่างเดียวคือนำไปทิ้ง และต้องมีมาตรการป้องกันเหมือนการทิ้งกากสารเคมีอันตรายด้วย

ในช่วงท้ายของรายการ เลขาธิการสมาพันธ์ชาวนาแห่งประเทศไทย ให้บทสรุปเกี่ยวกับความเป็นไปของชาวนาไทยว่า “ชาวนาไทยเจ็บปวดมาตลอดรุ่นแล้วรุ่นเล่า”โดยย้ำเรื่องการที่ชาวนาไม่สามารถกำหนดราคาขายข้าวได้ทั้งที่เป็นผู้ปลูก ดังนั้นการตั้งสมาพันธ์ชาวนาแห่งประเทศไทย จึงมีเป้าหมายเพื่อผลักดันให้การขายข้าวของชาวนาได้ราคาที่เป็นธรรม “หากบอกว่าชาวนาเป็นกระดูกสันหลัง ก็ต้องทำให้ชาวนายืนขึ้นได้อย่างมั่นคงด้วย” นั่นคือการที่ชาวนาไทยสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ด้วยฐานะที่ดีขึ้น

“ถ้าชาวนามีรายได้ที่ดี มีรายได้สูงขึ้นจากการขายข้าว ไม่มีหรอกแรงงานต่างจังหวัดจะเข้ากรุงเทพฯก็ต้องให้ลูกหลานอยู่ที่บ้านทำนาดีกว่า แล้วมีความสุขด้วย ขายข้าวปีหนึ่งตันละ 2-2.5 หมื่น ทำ 10 ตัน ก็ได้ 2 แสนแล้ว คุณมีนา 10 ไร่ ไร่หนึ่งเฉลี่ยจะได้ข้าว 1 ตัน” ธนัฐ /ฝากทิ้งท้าย

หมายเหตุ : สามารถรับชมรายการ “สีสันการเมือง แบบ เด้งเด้ง” ดำเนินรายการโดย บุญระดม จิตรดอนได้ทางช่องยูทูบ “แนวหน้าออนไลน์” ทุกวันอังคาร-พฤหัสบดี

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

  •  

Breaking News

เยียวยาจิตใจจากไฟสงคราม! ‘David’s Circle’พื้นที่ฟื้นฟูของชาวอิสราเอลในไทย

ปักหมุด 13 พ.ค.นี้ ‘เพื่อไทย’เปิดตัวโครงการใหม่‘Pheu Thai YPP’

ผบ.ตร.สั่งฟันเด็ดขาด! เหตุทำร้าย'ตำรวจ'ภายในหน่วยเลือกตั้ง จ.สงขลา

เช็คผลที่นี่!!! 'เลือกตั้งเทศบาล'ส่วนใหญ่แชมป์เก่าคว้าชัย

Back to Top

ผู้ดูแลเว็บไซต์ www.naewna.com
webmaster นางสาวอัญชะลี ไพรีรัก
ดูแลรับผิดชอบข่าว/ภาพ/โฆษณา/ข้อมูลอื่นที่เกียวข้องกับเว็บไซต์
กรรมการบริษัทฯ, กรรมการผู้มีอำนาจ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการนำเสนอข่าว/ภาพ/ข้อมูลใดๆในเว็บไซต์ทั้งสิ้น

Social Media

  • หน้าแรก |
  • เกี่ยวกับแนวหน้า |
  • โฆษณากับเรา |
  • ร่วมงานกับเรา |
  • ติดต่อแนวหน้า |
  • นโยบายข้อตกลง
Copyright © 2017 Naewna.com All right reserved