วันที่ 11 สิงหาคม 2567 ตรงกับวันอาทิตย์ เป็นวันหยุด ได้เดินทางไปทำบุญ ทำทาน สร้างกุศล เพื่อความเป็นสิริมงคล เป็นมงคลชีวิต ที่วัดดอยสวรรค์ ตั้งอยู่บนยอดเขาไม่สูงมากนัก ในเขตพื้นที่ ต.ห้วยไร่ อ.เมืองอำนาจเจริญ จ.อำนาจเจริญ แม้จะเป็นวัดขนาดเล็ก ปกคลุมด้วยป่าไม้ แมกไม้นาๆพันธุ์ขึ้นเต็มไปหมด จึงมีสภาพ ร่มรื่น เงียบ สงบ ตามธรรมชาติ ที่หาได้ ในวัดชนบท ของพื้นที่ จ.อำนาจเจริญ และด้วยเส้นทางเข้าวัดไม่ไกลจากตัวเมืองอำนาจเจริญเพียงแค่ไม่ถึง 10 กิโลเมตร จึงมีพุทธศาสนิกชน เดินทางไปทำบุญ ทำทาน สนทนาธรรม ปฏิบัติธรรม สู่หนทางดับทุกข์กับท่านเจ้าอาวาสวัดอย่างต่อเนื่อง แถมในวันสำคัญทางศาสนา มีหน่วยงานราชการในพื้นที่เข้าไปจัดกิจกรรมเป็นประจำอีกด้วย
เมื่ออดีตที่ผ่านมา เจ้าอาวาสวัดดอยสวรรค์ ต.ห้วยไร่ อ.เมืองอำนาจเจริญ จ.อำนาจเจริญ เดินธุดงส์ไปทั่วประเทศและข้ามแม่น้ำโขง ไปจำพรรษาที่ถ้ำแกลบ ภูเขาควาย สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) ร่วม 10 ปี จึงได้กลับประเทศไทย กระทั่งเดินมาถึงใกล้ตัวเมืองอำนาจเจริญ บนยอดเขาเตี้ยๆ ปักกด ปฏิบัติธรรม ยามค่ำคืนตกดึกนิมิต เห็น เจ้าป่า เจ้าเขา รุกขเทวดา ต้องการให้อยู่ที่นี่ ทำเป็นสถานที่ยึดเหนี่ยวทางศาสนา จึงกลายเป็นวัดดอยสวรรค์ ด้วยเพราะแรงศรัทธา หน่วยพัฒนาเคลื่อนที่ 51 จ.อำนาจเจริญ ร่วมกับชาวอำนาจเจริญ ก่อสร้างพระพุทธรูป นามว่า พระพลังแผ่นดิน ขึ้น ที่หน้าผาบนยอดดอยสวรรค์ ที่ความสูง 25 เมตร ฐานกว้าง 20 เมตร สีเหลืองทั้งองค์ เด่นสง่า สวยงามยิ่งนัก ที่ผ่านมา มีพุทธศาสนิกชน เดินทางไปกราบไหว้บูชาและฝึกปฏิบัติธรรม นั่งสมาธิ สู่ การดับทุกข์ทั้งปวง อย่างต่อเนื่อง
วัดดอยสวรรค์ สัดกัด ธรรมยุติ เทศกาลเข้าพรรษา จะมีพระภิกษุสงฆ์และสามเณรเดินทางเข้ามาจำพรรษาทุกปี ครั้งละ 6 - 10 รูป เมื่อถึงวันออกพรรษา พระสงฆ์และสามเณร จะแยกย้าย ออกเดินธุดงส์ไปตามที่ต่างๆ เพื่อโปรดสัตว์และเผยแผ่พุทธศาสนา บางรูปจะไปเป็นหลายปี จึงจะย้อนกลับมา ซึ่งเจ้าอาวาสดรูปปัจจุบัน หลังจากที่บวช ที่วัดผาน้ำทิพย์ จ.ร้อยเอ็ด จะเดินทางธุดงส์ไปหลายที่รวมถึงข้ามไปที่ประเทศลาว จำพรรษาที่ถ้ำแกลบ ภูเขาควาย อยู่หลายปี จึงได้กลับเข้าประเทศไทย และได้เดินไปโปรดสัตว์สั่งสอนชาวบ้านหลายพื้นที่ในภาคอีสาน จนกระทั่งมาปักกดที่นี่ บนเนินเขาเตี้ยๆ เห็นว่า เหมาะที่จะจำพรรษา ก็เลยเข้าพรรษาอยู่ 1 พรรษา ก่อนออกพรรษา 1 วัน ได้นิมิต ว่า มีเจ้าที่ เจ้าป่า เทวดา ต้องการให้อยู่ที่นี่ ประกอบกับชาวบ้านที่มาถวายอาหารเป็นประจำ มีความประสงค์ให้อยู่ที่นี่เช่นกัน ด้วยแรงศรัทธา ชาวบ้านห้วยไร่ ทำการก่อสร้างเพิงมุงไพรหญ้า ทำเป็นศาลา และกุฏิ พอได้หลบแดดหลบฝน กว่า 10 ปี จึงเป็นรูปร่างวัดดอยสวรรค์ และหน่วยพัฒนาการเคลื่อนที่ 51 จ.อำนาจเจริญ ร่วมกับพุทธศาสนิกชน ก่อสร้างพระพุทธรูปองค์ใหญ่ขึ้นมา นามว่า "พระพลังแผ่นดิน" บนยอดเขาหน้าผา เพื่อเป็นสัญลักษณ์การอนุรักษ์ป้าไม้และปัญหายาเสพติด
เจ้าอาวาสวัดดอยสวรรค์ เทศนา ตอนหนึ่งว่า ที่แท้ธรรมะมันจะมีอยู่ที่ตัวเราและจิตเรา รูปธรรม คือ กาย จิต คือ นามธรรม 2 อย่างทั้งหมดอยู่ที่รูปกับจิต การปฏิบัติธรรม คือ การให้เรามีสติ สติ ตัวสำคัญที่สุดในธรรมะ ให้รู้จักตัวเองแล้ว รู้จักทุกสิ่ง ทุกอย่างที่เกิดขึ้น ถ้ามีสติน้อยเข้า เอาศีลมา ศีลก็มา ถ้าสติขาดศีลธรรม ศีลก็ขาดไปด้วย ถ้ามีสติ ธรรมก็มี ยิ่งมีสติมาก ธรรมะก็มีมากตามไปด้วย สติเป็นผู้รู้อยู่ตลอดกาลเวลา รู้ตัวตนของเรา รู้ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นมา รู้ความนึก ความคิด รู้ร่างกายของเราว่ามันเป็นไปตามกฎธรรมชาติ ให้ดูมันอย่างนี้ เราไม่ได้ไปทำมันหรอก มันเปลี่ยนแปลงเองมัน ธรรมทั้งหลาย ค่อยเปลี่ยนแปลงไปแต่ต้นจนถึงที่สุด คือ รูปธรรม นามธรรม มีเกิดและมีดับ ให้สังเกตร่างกายของเราว่าเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างไร วันไหนมีจิตใจ น้อมไปในการปฏิบัติธรรม นั่นแหละ คือ กุศลจิต เป็นจิตฝ่ายธรรม ช่วงไหนจิตมันเกิดความโลภ ความโกรธ ความหลง ก็ให้รู้ว่านี้เป็น อกุศลธรรม เป็นธรรมที่ไม่ควรเสพ เราไม่เอาเราก็ติดออก ละออก ละไปด้วย สติ ผู้รู้ เอาผู้รู้มาละความโกรธ ความหลง เมื่อความโกรธเกิดขึ้น เราก็ละ เราละในขณะนั้น หรือ เรียกว่า ฆ่ากิเลส การฆ่ากิเลสต้องฆ่าขณะทีกิเลสมันเกิด ถ้ากิเลสไม่เกิดเราก็ไม่เห็นมัน คำว่า ฆ่าก็คือ ปล่อยวาง เราละนี้เอง แต่ธรรมดา กิเลสมันเกิดขึ้นของมันตลอด แต่ผู้รู้ก็รู้ทันตามทัน มีสติอยู่ตลอด ถ้าเรานั่งอยู่ความโกรธไม่เกิด ความโลภ ความหลงไม่เกิด เจาจะไปละอะไรตอนไหน ถ้าอารมณ์มากระทบให้เรารู้ทัน มันสติก็ตามทัน มันก็ดับ ก็ละ ถ้าไม่เกิดเราก็รู้ คือ เราครองสติอยู่ตลอดวัน เขาก็หมุนตาม เรื่องของวัฎฏะแต่สติของเรา ก็รู้ตามทันอยู่ขณะ ความโลก โกรธ หลง เกิดขึ้นมา ท่านเรียกว่า ฝ่ายโลกิยะ ผู้รู้ไม่เอากับฝ่ายโลกิยะ ท่านเรียกว่า ฝ่ายโลกุตตระ มันจะแยกอยู่ในจิตของเราเอง เมื่อมันเกิดขึ้น เราสละละทุกอย่าง ที่ไม่ดี มันก็จะสลายไปเอง เมื่อเราอยู่ในโลกกระแส ความโลก โกรธ หลง มันก็มีอยู่ ก็เอาผู้รู้ คือ สตินี้แหละปัดออก เมื่อช่วงไหนจิตเราไม่หม่นหมอง เราก็รักษาเอาไว้ให้ได้น่านเท่าที่จะนาน อย่าให้อารมณ์ มากระทบออกไปได้ ถ้าเราทำได้อย่างนี้ ถือว่า เรามีสมาธิอยู่ตลอด สังขารมันเปลี่ยนแปลงไป เราก็รู้ว่านี้ เป็นธรรมะ พอนั่งนานมันจะปวด มันก็เป็นเรื่องของสังขาร เกิด แก่ เจ็บ ตาย มันก็เป็นเรื่องของสังขาร ความเกิดก็เป็นทุกข์นี้แหละ คือ การฟังธรรมะ จากพระพุทธเจ้าแล้วทุกอย่างให้น้อมลงสู่อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ถ้าใครทำอยู่ตลอด ยิ่งเห็นเร็ว ยิ่งรู้เร็ว เพราะ สังขารธรรมจะปรุงแต่งอยู่ตลอดเวลา เรานั่งอยู่เราก็พิจารณาธรรมได้
ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดเอง สรุปแล้วก็คือ มีเพียงรูปธรรม นามธรรม เป็นของไม่เที่ยง เมื่อไม่เที่ยงก็เป็นทุกข์ เมื่อเป็นทุกข์ก็เป็นอนัตตา เมื่อเป็นอนัตตา ไม่มีตัวตน แล้วเราจะไปยึดถือเอาอะไร ทุกข์เกิดขึ้นจากจิต ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นจากจิต คือ ความโลภเกิดขึ้นมา ปล่อยวางไปนี้ เรียกว่า ความดับทุกข์ การดับความโลภ จัดเป็นนิโรธ ความดับทุกข์ สมาธิ แปลว่า จิตอยู่กับตัวเรา คือ สมาธิ ปัญญา มันจะหมุนไปด้วยกันในการปฏิบัติ ถ้าสติละเอียด ธรรมกิจจะละเอียด ถ้าจิตหยาบ ก็จะเห็นธรรมอันหยาบ การนั่งสมาธิก็คือ การรวมจิตใจให้เป็นหนึ่ง เมื่อจิตเป็นหนึ่งเรารวบรวมได้แล้ว ก็ดูธรรมะ คือ รูปธรรม นามธรรม ความนึก ความคิด ปรุงแต่งต่างๆให้รู้ทัน ทุกสิ่งทุกอย่างเห็นแล้ว เกิดจากปัญญา ความรู้ ความเห็น เกิดจากสมาธิ แสงสว่างเกิดขึ้นแล้ว ปัญญาเกิดขึ้นแล้วแก่เรา ในสิ่งที่ไม่เคยรู้ ไม่เคยเห็น ก็คือ เห็นรูป เห็นกายของเรานี่แหละ เห็นความเกิดดับ การนั่งสมาธิ ก็เพื่อเห็นสิ่งเหล่านี้ ถ้าเรานั่งเอาฤทธิ์ เอาเดช มันก็ไม่พ้นวัฎฏะสงสาร เพราะไม่มีปัญญา การดับ การเกิด แก่ เจ็บ ตาย ก็คือ การดับทุกข์นั่นเอง...
- 006
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี