วันศุกร์ ที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2568
แนวหน้า
  • แนวหน้า
  • หน้าแรก
  • คอลัมน์
    • คอลัมน์วันนี้
    • คอลัมน์ออนไลน์
    • คอลัมน์การเมือง
    • คอลัมน์ลงมือสู้โกง
    • โลกธุรกิจ
    • ผู้หญิง
    • บันเทิง
    • Like สาระ
    • ดูทั้งหมด
  • ข่าวเด่น
  • พระราชสำนัก
  • การเมือง
  • โลกธุรกิจ
  • อาชญากรรม
  • กทม.
  • ในประเทศ
  • เกษตร
  • ต่างประเทศ
  • กีฬา
  • ผู้หญิง
  • บันเทิง
  • ยานยนต์
  • Like สาระ
หน้าแรก / ข่าว Like สาระ
‘ไทกร พลสุวรรณ’  สามก๊กการเมือง‘แดง-นํ้าเงิน-ส้ม’  เกมเดิมพันอนาคตรัฐบาล

‘ไทกร พลสุวรรณ’ สามก๊กการเมือง‘แดง-นํ้าเงิน-ส้ม’ เกมเดิมพันอนาคตรัฐบาล

วันเสาร์ ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568, 06.00 น.
Tag : ไทกร พลสุวรรณ สามก๊กการเมือง
  •  

มีการพูดกันว่า “การเมืองไทยวันนี้เหมือนสามก๊ก” อันประกอบด้วย 3 ขั้วอำนาจหลัก คือ “สีแดง” หมายถึง “พรรคเพื่อไทย” และผู้นำทางจิตวิญญาณของพรรคอย่าง ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี, “สีส้ม” หมายถึง “พรรคประชาชน” กลุ่มการเมืองของคนรุ่นใหม่ที่เติบโตขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แม้จะถูกยุบไปถึง 2 ครั้ง (พรรคอนาคตใหม่และพรรคก้าวไกล)แต่ก็ฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว และ “สีน้ำเงิน” หมายถึง“พรรคภูมิใจไทย” จากพรรคการเมืองแถบอีสานใต้ระยะหลังๆ ก็เริ่มขยายฐานไปยังพื้นที่อื่นๆ ของประเทศ

ในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) เมื่อปี 2566 ขั้วการเมืองสีส้มได้ที่นั่ง สส. มากที่สุด ตามด้วยสีแดงและสีน้ำเงินตามลำดับ แต่สีส้มไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ ตามกติกาในขณะนั้นที่การเลือกนายกรัฐมนตรีต้องทำโดยที่ประชุมร่วมระหว่าง สส. และสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ซึ่งด้วยความที่ไม่ยอมถอยเรื่องการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 จึงไม่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐสภา ทำให้จากตัวเต็งรัฐบาลต้องกลายไปเป็นฝ่ายค้าน เปิดช่องให้ขั้วการเมืองสีแดง แม้จะได้อันดับ 2 แต่ได้รับเสียงสนับสนุนจากพรรคการเมืองอื่นๆ และ สว. ผงาดขึ้นเป็นรัฐบาล


แต่ท่ามกลางการบริหารที่ผ่านมาเกือบ 2 ปี เปลี่ยนนายกฯ จากเจ้าพ่ออสังหาริมทรัพย์ เศรษฐา ทวีสิน ที่ต้องพ้นจากตำแหน่งตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในข้อหาละเมิดมาตรฐานจริยธรรม มาเป็น แพทองธาร ชินวัตรลูกสาวสุดที่รักของอดีตนายกฯ ทักษิณ บรรดาผู้สนใจการเมืองต่างตั้งข้อสังเกตว่า “เห็นทั้งรอยร้าวและการเกรงใจ” รอยร้าวนั้นหมายถึงความขัดแย้งระหว่างพรรคเพื่อไทยกับพรรคภูมิใจไทย ส่วนการเกรงใจนั้น นับตั้งแต่พรรคก้าวไกลถึงพรรคประชาชน การทำหน้าที่ฝ่ายค้านตรวจสอบรัฐบาลที่นำโดยพรรคเพื่อไทยดูจะไม่ค่อยดุดันขึงขังมากนัก

รายการ “สีสันการเมือง แบบ เด้งเด้ง”ทางช่องยูทูบ “แนวหน้าออนไลน์” ในตอนที่เผยแพร่วันที่ 18 ก.พ. 2568 ตัวแทนคณะหลอมรวมประชาชน ไทกร พลสุวรรณ ได้พูดถึงสถานการณ์ดังกล่าว โดยเริ่มจากกรณีล่าสุด เมื่อหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย อนุทิน ชาญวีรกูล ถูกร้องเรียนเรื่องสนามกอล์ฟซึ่งอยู่บนที่ดิน ส.ป.ก. ว่า นายอนุทินรู้ดีว่าใครอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ แต่ไม่น่าใช่พรรคกล้าธรรมที่คุมกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ หน่วยงานที่กำกับดูแลที่ดิน ส.ป.ก. และไม่ใช่ น.ส.แพทองธาร ที่เป็นนายกฯ เพราะเรื่องนี้มีเดิมพันสูง หากจะทำต้องเป็นคนที่มีอำนาจอย่างแท้จริงเท่านั้น

นายไทกร ตั้งข้อสังเกตไว้ 2 เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้ ว่าน่าจะเชื่อมโยงกัน อย่าง 1.บุคคลที่ไปตรวจสอบที่ดินสนามกอล์ฟ เป็นเพียงตำแหน่งที่ปรึกษาลอยๆ แต่สนิทกับที่ปรึกษาของพรรคกล้าธรรม ซึ่งปกติคนระดับนี้จะไม่ลุกขึ้นมาทำอะไรกับพรรคอันดับ 2 ในกลุ่มพรรคร่วมรัฐบาลกับ 2.การร้องเรียนเรื่องการฮั้วในการเลือก สว. ที่มีผู้ไปร้องเรียนกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) โดยอ้างว่าอาจมีการกระทำที่เข้าข่ายความผิดฐานอั้งยี่-ซ่องโจร ซึ่งอาจเชื่อมโยงไปถึงบุคคลที่อยู่ในพรรคภูมิใจไทย

“มันไม่มีเหตุผลที่พรรคกล้าธรรมจะต้องลุกขึ้นมาตรวจสอบ เพราะพรรคกล้าธรรมวันนี้มี สส. 20 กว่าคน ถึงแม้จะบอกว่ายังมีฝากเลี้ยงอยู่ประมาณ 10 กว่าคน ก็แค่ 34และการเลือกตั้งครั้งหน้าก็ไม่มีหลักประกันใดๆเลยว่าพรรคกล้าธรรมจะรักษา สส. จำนวน 24หรือ 34 คนนี้ไว้ได้ พรรคกล้าธรรมก็จะเป็นเพียงแค่พรรคหนึ่งในการจะเข้าร่วมรัฐบาล

และในรัฐบาลนี้ก็มีขั้วใหญ่อยู่ 2 ขั้ว ก็คือขั้วของเพื่อไทยโดยตระกูลชินวัตร กับขั้วภูมิใจไทยของคุณอนุทินและคุณเนวิน (เนวิน ชิดชอบ อดีตผู้ร่วมก่อตั้งพรรคภูมิใจไทย)กล้าธรรมจะลุกขึ้นมาทะเลาะกับคุณอนุทิน กับคุณเนวินทำไม? ถ้าหากว่าเกิดการเลือกตั้งครั้งหน้า พรรคภูมิใจไทยเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล กล้าธรรมเป็นฝ่ายค้านไม่เป็นนะ จะเป็นฝ่ายค้านได้อย่างไร? ต้องการจะเป็นรัฐบาลเพื่อจะมีอำนาจในการเดินงานการเมืองแบบบ้านใหญ่ของตนเองต่อไป ดังนั้นจะต้องมีคนสั่งการ”

ส่วนที่มองว่า ในการเลือกตั้งครั้งหน้า พรรคเพื่อไทยอาจมาเป็นอันดับ 1 ได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ดังนั้น พรรคกล้าธรรมจึงเลือกข้างไว้ก่อน นายไทกร เห็นว่า ไม่มีเหตุปัจจัยที่ชี้ว่าครั้งหน้าพรรคเพื่อไทยจะชนะเลือกตั้ง อีกทั้งต้องลุ้นด้วยว่าจะยังรักษาที่นั่ง สส. ไว้ได้เกิน100 ที่นั่งหรือไม่ด้วย เพราะทุกอย่างล้มเหลวหมดมีนายกฯ แล้ว 2 คน เคยประกาศว่าจะทำให้ผลิตภัณฑ์มวลรวม (GDP) โตร้อยละ 5 ต่อปีแต่ผ่านมาแล้วปีกว่าๆ ล่าสุด สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์)สรุป GDP ว่าโตเพียงร้อยละ 2.5 (ตัวเลขของปี 2567)

ขณะที่วิธีคิดของอดีตนายกฯ ทักษิณ เป็นที่ทราบกันดีว่า นายทักษิณต้องการเป็นผู้กำหนดเกม ไม่ใช่เล่นในเกมของผู้อื่น แต่สถานการณ์ปัจจุบันในรัฐสภา ไม่ว่า สส. หรือ สว. พรรคภูมิใจไทยกลับเป็นผู้กำหนดเกม ซึ่งจากการพบกันระหว่างนายทักษิณกับนายเนวิน ตามคำแนะนำของนายอนุทิน บทสรุปคือไม่สามารถเป็นเนื้อเดียวกันได้ แผลใจครั้งนี้ใหญ่เกินกว่าจะเยียวยาความรู้สึกกันได้

ซึ่งเมื่อเห็นพฤติกรรมของพรรคภูมิใจไทยหลายครั้ง ล่าสุดคือเรื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญ จึงมองว่าพรรคภูมิใจไทยต้องการขึ้นเป็นพรรคอันดับ 1 ของฟากรัฐบาล ขณะที่ในพรรคเพื่อไทย สส. ที่ได้มาหลายคนก็ได้มาเพราะกระแส อีกทั้งยังถูกวิพากษ์วิจารณ์เรื่องตระบัดสัตย์ทำให้กระแสหายไปครึ่งหนึ่ง ดังนั้น หากจะสู้กันด้วยวิธีจัดตั้งแบบบ้านใหญ่ พรรคเพื่อไทยจะสู้พรรคภูมิใจไทยไม่ได้และตนเชื่อว่าครั้งนี้นายอนุทินพร้อมแตกหัก จากการที่ใช้คำว่า “หน้าตัวเมีย” ซึ่งคงไม่ได้ด่าคนที่ตรวจสอบเพราะก็ถูกสั่งมาให้ทำ แต่ตั้งใจด่าไปถึงคนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้

“ในลักษณะการเป็นรัฐบาลด้วยกัน แล้วคุณอนุทินเป็นรองนายกฯ เป็นรัฐมนตรีมหาดไทย เป็นพรรคใหญ่ลำดับ 2 แล้วให้พรรคซึ่งยังไม่รู้ว่ามีสถานะในการเมืองต่อไปในครั้งหน้าจะเข้มแข็งไหมมาทำลายพรรคลำดับ 2 นั่นแสดงว่างานนี้ผมเรียกว่าผีไม่เผา-เงาไม่เหยียบ คือพยายามเคลียร์แต่เหมือนเคลียร์ไม่ได้ เพราะตอนนี้พรรคภูมิใจไทยต้องสร้างให้ตนเองได้เป็นความหวังของการเมืองที่เล่นอยู่หลังฉาก เพราะคุณทักษิณทำล้มเหลวหมด

คุณทักษิณจะใช้ศักยภาพตัวเองเพื่อดึงความนิยม แต่กลายเป็นว่ายิ่งคุณทักษิณแสดงออกมามากเท่าไร ยิ่งเรียกแขกเรียกศัตรูยิ่งทำให้เสื่อม การที่เป็นคนอยู่เหนือกฎหมายไม่ติดคุกแม้แต่วันเดียวมันทำลายล้างกระบวนการยุติธรรมทั้งหมด คือคนอุ้มทักษิณอยู่ตอนนี้เหมือนอุ้มศพ คุณทักษิณเป็นคนที่ตายแล้วทางการเมือง เพียงแต่ยังทำตัวเป็นซอมบี้เดินไป-มาเฉยๆ”

นายไทกร ขยายความเรื่องนายทักษิณเป็นบุคคลที่ตายแล้วทางการเมือง เช่น การระดมคนที่ต้องคัดกรองว่าใครที่มาจะไม่ก่อความวุ่นวาย เป็นภาพสะท้อนความศรัทธาที่ลดลงเหลือเพียงพลังจากการจัดตั้ง หรืออย่างการเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ที่มีการคาดโทษนักการเมืองของพรรคเพื่อไทย ว่าพื้นที่ใดพรรคพ่ายแพ้จะมีผลต่อการส่งลงสนามเลือกตั้งในครั้งหน้า เป็นการส่งสัญญาณว่าจะใช้แต่พระเดชไม่ใช้พระคุณ ซึ่งเมื่อคนขาดศรัทธาก็ใช้อำนาจ แต่หากอำนาจยังใช้ไม่ได้อีกก็คือเสื่อมและถึงจุดจบ

ทั้งนี้ เมื่อนายทักษิณพาพรรคเพื่อไทยหนีจากฝั่งเสรินิยม ตระบัดสัตย์ข้ามขั้วมาอยู่ฝั่งอนุรักษ์นิยม แต่กลับไม่ยอมประกาศว่าเป็นพรรคอนุรักษ์นิยมใหม่ โดยบอกว่าพรรคเพื่อไทยจะเป็นพรรคแห่งการเปลี่ยนแปลง จึงเหมือนกับสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ ปลาก็ไม่ใช่ เสือ-สิงห์ก็ไม่เชิงการพูดจาของนายทักษิณจึงหาสาระอะไรไม่ได้และเห็นว่าได้เสียกระแสมวลชนที่ในอดีตเคยเลือกมาตั้งแต่พรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน จนถึงพรรคเพื่อไทย ไปให้กับพรรคประชาชน นายทักษิณรู้ดีว่าตนเองต้องเสียตลาดตรงนี้ไป แต่เมื่ออยากได้อำนาจก็ต้องยอมแลก

แต่เมื่อมายืนอยู่ในจุดนี้ ก็เป็นจุดที่หากถลำเข้ามาแล้วมีแต่จะต้องยึดให้ได้ทั้งหมด ซึ่งก็สอดคล้องกับนิสัยของนายทักษิณที่ต้องการกินรวบ แต่ก็ต้องเผชิญกับพรรคภูมิใจไทยที่เหมือนก้างขวางคอ จึงเป็นเกมบังคับที่ต้องทำลาย ไม่ต่างจากที่ทำลายพรรคพลังประชารัฐหรือพรรครวมไทยสร้างชาติ เพราะนายทักษิณจะไปหานักการเมืองมาจากไหนหากไม่ทำลายพรรคภูมิใจไทย

" ในวันที่ 18 ก.พ. 2568 นายปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล สส.บัญชีรายชื่อพรรคประชาชน ในฐานะประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน(วิปฝ่ายค้าน) เปิดเผยว่า ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล คงไม่ยื่นอภิปรายรัฐมนตรีทั้งคณะที่มีมากกว่า 30 คน โดยคาดว่าจะมีราวๆ 10 คน แต่ต้องรอดูรายชื่อที่ชัดเจนกว่านี้ ซึ่งพรรคประชาชนในฐานะพรรคแกนนำพรรคร่วมฝ่ายค้าน ก็จะนำเนื้อหาแต่ละพรรคมารวบรวมกับพรรคประชาชนเพื่อให้เป็นญัตติเดียวกัน เพื่อที่จะลงชื่อร่วมกันอีกครั้ง และน่าจะยื่นต่อประธานสภาฯได้ภายในวันที่ 27 ก.พ. 2568 "

นอกจากนั้น นายทักษิณยังเปิดเกมใหม่ ด้วยการพยายามติดต่อกับพรรคประชาชน แต่ก็ต้องดูการตัดสินใจของฝั่งพรรคประชาชนเองด้วย ว่าจะเลือกยอมไปร่วมรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทย หรือจะยืนหยัดแม้เผชิญสิ่งต่างๆ ซึ่งรวมถึงการถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองเพื่อรักษาอุดมการณ์ไว้ และการตัดสินใจนั้นก็จะมีผลกับพรรคประชาชนในอนาคต อีกทั้งเมื่อดูห้วงเวลาที่กำลังจะมีการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล อดีตนายกฯ ทักษิณ ก็ไม่อยากให้ลูกสาวอย่าง น.ส.แพทองธาร ตายกลางสภา เรื่องนี้เป็นความกังวลของนายทักษิณที่คนเป็นนักการเมืองด้วยกันจะอ่านอากัปกิริยาออก

“คำพูดที่คุณทักษิณชอบใช้เรียกภูมิใจไทยและอนุทินว่าทำตัวหล่อ นั่นหมายความว่าแกมองว่าอนุทินกำลังจะขึ้นมาแทนตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของแพทองธาร เพราะตอนนี้คนที่ขาดคุณสมบัติการเป็นนายกฯ ไปคนหนึ่งแล้วก็คือ พล.อ.ประวิตร (พล.อ.ประวิตรวงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ)เพราะมี สส. แค่ 20 กฎหมายต้องมี 25 ก็เหลือแต่พีระพันธุ์ (พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาคหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ) กับ พล.อ.ประยุทธ์(พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ตัวแทนของพรรครวมไทยสร้างชาติที่เสนอชื่อให้เป็นนายกฯ)

แกก็สร้างความแตกแยกในรวมไทยสร้างชาติ ให้พีระพันธุ์เหลือคะแนนน้อย แยกได้หรือไม่ยังไม่รู้แต่ว่าให้เหลือน้อย ให้คุณพรรคเพื่อไทยไม่ได้ หรือจะถีบไปเป็นฝ่ายค้าน นี่คือสิ่งที่แกทำ คุณทักษิณเดินเกมทางการเมืองตลอด แล้วเวลานี้ก็พยายามติดต่อกับพรรคประชาชน”

อย่างไรก็ตาม ตนต้องขอเตือนพรรคประชาชนว่าอย่าไปทำแบบนั้น เพราะนายทักษิณจะไม่ตรงไปตรงมา แล้วการเมืองก็จะเสียกันหมดซึ่งก็เคยเกิดเหตุการณ์ที่คล้ายกันมาแล้ว สมัยรัฐบาล พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ ที่ขับพรรคประชาธิปัตย์ออกจากการเป็นพรรคร่วมรัฐบาล แล้วดึงพรรคที่เป็นฝ่ายค้านให้ร่วมรัฐบาลแทน ก่อนจะจบลงด้วยการที่ พล.อ.ชาติชาย ถูกรัฐประหาร

ในความพยายามเจรจากับพรรคประชาชนข้อเสนอจะมีทั้งการให้กระทรวงที่เดิมเป็นของพรรคภูมิใจไทยและพรรครวมไทยสร้างชาติรวมถึงช่วยเหลือเรื่องคดีจริยธรรมที่ สส. พรรคประชาชน 44 คน เคยร่วมลงชื่อแก้ไข ม.112 จนทำให้พรรคก้าวไกลถูกยุบ นอกจากนั้นยังมีการล็อบบี้ ส่งหลักฐานเพื่อให้ฝ่ายค้านอภิปรายรัฐมนตรีของพรรคภูมิใจไทยและพรรครวมไทยสร้างชาติด้วย เพื่อไม่ให้ฝ่ายค้านล็อกเป้าที่นายกฯ แพทองธาร เพียงคนเดียว และเพื่อรับประกันว่า สส. ของพรรคภูมิใจไทยและพรรครวมไทยสร้างชาติ จะยกมือไว้วางใจรัฐมนตรีจากพรรคเพื่อไทย

เพราะหากปล่อยให้ฝ่ายค้านอภิปรายเพียง น.ส.แพทองธาร คนเดียว ไม่ต้องถึงกับโหวตไม่ไว้วางใจ เพียงงดออกเสียงก็เสี่ยงแล้ว ซึ่งหากได้เสียงสนับสนุนน้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวน สส. ทั้งหมดที่มีอยู่ในการอภิปรายนั้น น.ส.แพทองธารก็จะหลุดจากตำแหน่งนายกฯ ทันที และผลที่ตามมาอาจทำให้ถึงกับพรรคเพื่อไทยแตก รวมถึงการเมืองของนายทักษิณก็จะถึงจุดจบไปด้วย

“ขึ้นอยู่กับว่าพรรคฝ่ายค้านจะเลือกอย่างไร พรรคฝ่ายค้านหลักอย่างพรรคประชาชนจะเลือกเป็นพรรคที่มองว่าเป็นลูกไล่ของพรรคเพื่อไทยต่อไป หรือจะสถาปนา
ตัวเองให้เป็นพรรคที่มีการนำประชาชนที่มีความคิดแบบเสรีนิยมไปเลย เหยียบพรรคเพื่อไทยไปเลย ก็ต้องดูตอนนี้ จะกล้าหาญนำไหม? หรือจะทำตัวเป็นลูกไล่เขาต่อไป? ให้เขาหลอกแล้วหลอกอีก ถ้าพรรคประชาชนอยากจะทำตัวเป็นลูกไล่ของพรรคเพื่อไทยต่อไป ก็อภิปรายไม่ไว้วางใจพรรคภูมิใจไทย-พรรครวมไทยสร้างชาติด้วย เขาก็จะรวมกันแน่นสุดท้ายก็จะต้องถูกคดี ต้องหลุดในอีก 7-8 เดือนข้างหน้า ก็ต้องถูกตัดสิทธิ์ตลอดชีวิต 44 คน 25 สส. พรรคประชาชนก็เตรียมแถว 4 แถว 5”

ดังนั้นแล้ว การอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลที่กำลังจะเกิดขึ้นในเร็วๆ นี้ อีกด้านหนึ่งก็เป็นการแสดงความจริงใจของพรรคฝ่ายค้านด้วย เพราะในสมัยรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ มีการยื่นอภิปรายและยื่นให้หน่วยงานต่างๆ ตรวจสอบอย่างต่อเนื่องในทุกทางที่มีช่องให้ทำได้ แต่ในสมัยรัฐบาลพรรคเพื่อไทยดูจะมีท่าทีเงียบไป อย่างเรื่องที่ดินวัด สส. รวมกันให้ได้ 50 คน สามารถยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยประเด็นจริยธรรมของ น.ส.แพทองธาร ได้แต่ก็ยังไม่ทำ จึงเกิดข้อสงสัย จะบอกว่าไม่ต้องการใช้องค์กรอิสระทำลายกันทางการเมือง แต่ก็เคยทำในสมัย พล.อ.ประยุทธ์

กลับไปที่ความไม่พอใจสะสมระหว่างพรรคเพื่อไทยกับพรรคภูมิใจไทย ยังมีกรณีอื่นๆ เช่น พรรคภูมิใจไทยเชื่อว่าพรรคเพื่อไทยที่คุมกระทรวงคมนาคม อยู่เบื้องหลังการที่สหภาพการรถไฟแห่งประเทศไทยออกมาร้องเรียนประเด็นที่ดินเขากระโดง ขณะที่พรรคเพื่อไทยก็เชื่อว่าพรรคภูมิใจไทยที่คุมกระทรวงมหาดไทยเกี่ยวข้องกับการลงนามเพิกถอนโฉนดที่ดินสนามกอล์ฟอัลไพน์ ซึ่งนี่คือเกมบังคับที่ทั้งพรรคเพื่อไทยกับพรรคเพื่อไทยต้องต่อสู้กัน

แต่จะไปถึงการแตกกันของพรรคร่วมรัฐบาลหรือไม่ก็อยู่ที่พรรคฝ่ายค้าน หากมุ่งอภิปรายเฉพาะนายกฯ แพทองธาร เพียงคนเดียวอะไรก็เกิดขึ้นได้ เช่น นายกฯ ยุบสภาก่อนยื่นอภิปราย หรือไม่ยุบสภาแต่ลาออกเพื่อเปิดให้เลือกนายกฯ คนใหม่ ซึ่งพรรคเพื่อไทยยังเหลือ ชัยเกษม นิติสิริ เป็นตัวแทนอีก 1 คน ทั้งนี้ ตนมองว่านายทักษิณไม่ยอมให้ลูกไปเสี่ยงกับการถูกประหารกลางสภา หากคะแนนเสียงไว้วางใจไม่ถึงกึ่งหนึ่งของที่ประชุม และในอนาคตก็อาจไม่สามารถกลับมาได้ในทางการเมืองอีกเลย เมื่อเทียบกับการเว้นวรรคไปก่อนเพื่อรอโอกาสกลับมาในภายหลัง

หมายเหตุ : สามารถรับชมรายการ “สีสันการเมือง แบบ เด้งเด้ง” ดำเนินรายการโดย บุญระดม จิตรดอน ทางช่องยูทูบ“แนวหน้าออนไลน์” ทุกวันอังคาร-พฤหัสบดี เวลา 11.00-12.00 น. โดยประมาณ

 

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

  •  

Breaking News

ยก 7 เหตุผล'ทักษิณ' ต้องกลับไปรับโทษก่อน 1 ปี และรอการรับอภัยโทษครั้งใหม่

พระลูกวัดฟันเปรี้ยง‘ทิดแย้ม’ทำแต่กิจของสงฆ์ ไม่ว่างนั่งปั่นบาคาร่า ลั่นยัง‘สึก’ไม่สำเร็จ

ชาวบราซิลช็อก! สัตว์กลายป็นสีฟ้า หลังพบสารเคมีรั่วไหลลงในทะเลสาบ

กรมประมงจัดอบรมปั้นผลผลิตลูกปลาชะโอน

Back to Top

ผู้ดูแลเว็บไซต์ www.naewna.com
webmaster นางสาวอัญชะลี ไพรีรัก
ดูแลรับผิดชอบข่าว/ภาพ/โฆษณา/ข้อมูลอื่นที่เกียวข้องกับเว็บไซต์
กรรมการบริษัทฯ, กรรมการผู้มีอำนาจ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการนำเสนอข่าว/ภาพ/ข้อมูลใดๆในเว็บไซต์ทั้งสิ้น

Social Media

  • หน้าแรก |
  • เกี่ยวกับแนวหน้า |
  • โฆษณากับเรา |
  • ร่วมงานกับเรา |
  • ติดต่อแนวหน้า |
  • นโยบายข้อตกลง
Copyright © 2017 Naewna.com All right reserved