“ชุมชนเกาะลิบง จังหวัดตรัง” มีเอกลักษณ์วัฒนธรรม วิถีชีวิต และทรัพยากรธรรมชาติที่ส่งเสริมเศรษฐกิจจากการประมงและการท่องเที่ยว พร้อมทั้งมีบทบาทสำคัญในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมทางทะเล “หลายคนที่ไปเยี่ยมชมเกาะลิบง คงจะคุ้นตากับบรรดาร้านขายกะปิจำนวนไม่น้อย แต่รู้หรือไม่ว่าร้านค้าเหล่านี้ไม่ได้ผลิตกะปิด้วยตนเอง” แต่มักจะรับมาจากผู้ผลิตบนฝั่งเพื่อนำกลับมาขายให้นักท่องเที่ยวบนเกาะอีกที
ส่วนหนึ่งเพราะ “วิถีภูมิปัญญาการทำกะปิกุ้งเคยของชาวเกาะลิบงที่สืบทอดจากคนรุ่นก่อนกำลังเลือนหายไป” แต่สำคัญยิ่งกว่านั้น “คือการที่ชุมชนมองไม่เห็นโอกาสว่าการทำกะปิจะสร้างรายได้ที่ยั่งยืน เลี้ยงปากท้องของครอบครัวให้มั่นคงได้อย่างไร” ดังนั้น ทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย วิทยาเขตตรัง จึงนำกระบวนการวิจัยเข้าสู่แวดวงคนทำกะปิกุ้งเคยเพื่อหาทางออกให้กับปัญหาดังกล่าว
ดร.อนันตนิจ ชุมศรี หัวหน้าโครงการ “การสร้างมูลค่าเพิ่มผลิตภัณฑ์กะปิจากกุ้งเคยด้วยการยกระดับมาตรฐานการผลิตของผู้ประกอบการสู่การเป็นผลิตภัณฑ์อัตลักษณ์ของจังหวัดตรัง” กล่าวว่า ภาพรวมการผลิตกะปิกุ้งเคยใน จ.ตรัง มีสัดส่วนน้อยลงมาก ยากไปกว่านั้นคือการหากะปิกุ้งเคยแท้ที่มีคุณภาพ รสชาติดี และปลอดภัย จึงใช้เรื่องของการ “ยกระดับห่วงโซ่คุณค่า” มาจัดการงานวิจัย
โดยเชื่อมโยงบุคคลที่เกี่ยวข้องกับห่วงโซ่ตั้งแต่คนจับกุ้งเคย หรือกลุ่มชาวประมง ผู้รวบรวมวัตถุดิบซึ่งทำหน้าที่เป็นผู้รับซื้อและเตรียมกุ้งเคย ผู้แปรรูปกะปิและผู้ขาย รวมทั้งหมด 11 กลุ่ม จากบริเวณชายฝั่งโดยรอบเกาะลิบงให้มาเจอกัน เพราะมองว่า “ทุกคนในห่วงโซ่ล้วนมีส่วนในการยกระดับเศรษฐกิจชุมชนให้ประสบผลสำเร็จ” เกิดเป็นห่วงโซ่คุณค่าผลิตภัณฑ์กะปิจากกุ้งเคยที่มีคุณภาพ โดยมีคานงัดสำคัญคือ การปรับเปลี่ยน Mindset การทำธุรกิจของ Local Enterprises โดยเฉพาะผู้แปรรูปหรือผู้ประกอบการชุมชน
และยกระดับมาตรฐานในกระบวนการผลิตให้ถูกสุขลักษณะ สะอาด ปลอดภัย มีคุณภาพสูง รสชาติดี ซึ่งทีมวิจัยได้บูรณาการองค์ความรู้จากห้องปฏิบัติการวิทยาศาสตร์เข้ากับภูมิปัญญาของชุมชนในกระบวนการผลิต “กะปิน้ำเช้า-กะปิน้ำค่ำ” อัตลักษณ์กะปิเกาะลิบง จังหวัดตรัง เพื่อยกระดับคุณภาพและสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับกะปิกุ้งเคย และต่อยอดสู่ตลาดอาหารของคนรักสุขภาพ เป็นผลิตภัณฑ์กะปิเค็มน้อย และกะปิคีโต ไร้น้ำตาล เป็นต้น ที่สำคัญต้องขายได้ในราคาที่เป็นธรรมกับผู้ประกอบการชุมชนด้วย
“นอกจากรายได้ที่เพิ่มขึ้นของผู้ประกอบการกลุ่มนี้แล้ว การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญคือ การส่งต่อโอกาสและสร้างรายได้ให้กับครอบครัวเปราะบาง หรือครอบครัวยากจนในพื้นที่ของห่วงโซ่คุณค่าผ่านการจ้างงาน ซึ่งมีสัดส่วนการสร้างงานในพื้นที่เพิ่มขึ้นถึง 30% โดยความเปลี่ยนแปลงนี้เริ่มตั้งแต่ชาวประมงหรือคนจับกุ้งเคยหากใส่ใจในรายละเอียดล้างกุ้งเคยให้สะอาดมากขึ้นกว่าปกติ ผู้รวบรวมหรือแพรับซื้อกุ้งเคยบ้านเกาะเคี่ยมก็จะให้ราคาเพิ่มขึ้นกิโลกรัมละ 10 บาท” ดร.อนันตนิจ กล่าว
ดร.อนันตนิจ กล่าวต่อไปว่า จากนั้นผู้รวบรวมจะนำกุ้งเคยมาจัดเตรียมตามออร์เดอร์จากผู้แปรรูปหรือผู้ประกอบการกลุ่มต่าง ๆ อีกที เนื่องจากผู้ประกอบการแต่ละเจ้าก็จะมีสูตรเฉพาะในการทำกะปิของตัวเอง (Made by Order) ดังนั้นความต้องการกุ้งเคย เทคนิค กระบวนการหมักก็อาจจะมีสัดส่วนที่ต่างกันไปบ้าง แต่ก็จะใช้องค์ความรู้จากงานวิจัยนี้เป็นหลักสำคัญ
ดังเช่น วิสาหกิจชุมชนฯ ที่เกาะลิบง ต้องการกุ้งเคยสะอาด และต้องตากแห้งก่อนนำไปหมักด้วยดอกเกลือ เพื่อผลิตกะปิน้ำเช้า ซึ่งจะให้รสเค็มน้อยและสีสวยธรรมชาติ ดังนั้นในส่วนผู้รวบรวมที่บ้านเกาะเคี่ยม ก็จะต้องเพิ่มกระบวนการตากและคัดเกรดกุ้งเคยอย่างประณีต นั่นหมายความว่าต้องมีการจ้างงานเพิ่มขึ้นในส่วนนี้ เพื่อเตรียมกุ้งเคยให้ตอบโจทย์ผู้แปรรูปหรือผู้ประกอบการวิสาหกิจชุมชนฯ ที่เกาะลิบง ดังนั้นกุ้งเคยแบบ Made by Order ของผู้รวบรวมพื้นที่บ้านเกาะเคี่ยมก็จะถูกรับซื้อในราคาสูงขึ้น
เช่น จากเดิมผู้ประกอบการรับซื้อกุ้งเคยกิโลกรัมละ 25 บาท แต่เมื่อเป็นกุ้งเคยตากแห้งจะให้ราคาเพิ่มขึ้นเป็นกิโลกรัมละ 55 บาท (ซึ่งเป็นราคาของกุ้งเคยสดก่อนตาก) โดยแบ่งเป็นสัดส่วนรายได้ของผู้รวบรวม 45 บาท และอีก 10 บาทต่อกิโลกรัม ใช้เป็นค่าแรงเพื่อจ้างงานคนตากกุ้งเคย ซึ่งส่วนมากคือแม่บ้านชาวประมงในชุมชนที่ต้องการรายได้เสริม จึงเกิดการกระจายรายได้ที่เพิ่มขึ้นตั้งแต่ชาวประมงที่จับกุ้งเคย ผู้รวบรวม คนคัดเกรดและตากกุ้งเคยด้วย
ด้าน รมิดา สารสิทธิ์ ประธานสาหกิจชุมชนการท่องเที่ยว และพัฒนาอาชีพเกาะลิบง กล่าวว่า งานวิจัยนี้ไม่เพียงคืนชีวิตให้กะปิเกาะลิบง แต่ยังคืนชีวิตให้กับครอบครัวตนเอง และสมาชิกวิสาหกิจชุมชนฯ อีกหลายครอบครัวให้ลืมตาอ้าปากได้อีกครั้ง เพราะคนบนเกาะลิบงนั้นส่วนใหญ่ผู้ชายจะทำประมง ส่วนผู้หญิงบ้างก็ขับรถมอเตอร์ไซค์พ่วงข้างรับนักท่องเที่ยว แต่ส่วนใหญ่ผู้หญิงจะไม่มีอาชีพ ไม่มีรายได้
“ที่ผ่านมาแม้จะทำงานพัฒนาชุมชนหลายอย่าง แต่ยิ่งทำ ยิ่งจน ยิ่งทำ ยิ่งเป็นหนี้ แต่งานวิจัยนี้ให้จุดเปลี่ยนสำคัญ พลิกชีวิตพวกเราด้วยหลักคิดในการจัดการเงินสำหรับส่วนธุรกิจและส่วนครัวเรือน และสำคัญที่สุดคือการจุดประกายให้ชุมชนเห็นคุณค่าและเห็นช่องทางเพิ่มมูลค่าให้กับกะปิกุ้งเคย ซึ่งเป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นที่อยู่ในวิถีชีวิตเรามายาวนาน” รมิดา กล่าว
รมิดา กล่าวต่อไปว่า กะปิน้ำเช้า-กะปิน้ำค่ำ เป็นภูมิปัญญาคู่ชุมชนเกาะลิบงที่มีเพียงแห่งเดียวในประเทศไทย แต่ที่ผ่านมาได้ละเลยไป แม้จะทำกะปิอยู่บ้าง แต่ก็ทำไปตามความรู้สึก บ้างก็รับจากฝั่งมาขายเพียงกิโลกรัมละ 120 บาท ได้กำไรกระปุกละ 10-20 บาทเท่านั้น แต่วันนี้สามารถขายกะปิกิโลกรัมละ 400 บาท หรือบางออร์เดอร์เราขายได้ในราคาสูงกว่านั้น จากการเชื่อมโยงเครือข่ายกับแพรับซื้อกุ้งเคยในพื้นที่บ้านเกาะเคี่ยม อ.กันตัง ซึ่งเป็นหนึ่งในห่วงโซ่คุณค่าของงานวิจัยนี้
ทำให้ตลอดปีที่ผ่านมาวิสาหกิจชุมชนฯ สามารถแปรรูปกะปิได้มากถึง 2 ตัน เกิดรายได้หมุนเวียนเดือนละประมาณ 50,000 บาท ทั้งยังต่อยอดการแปรรูปไปยังผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ที่ใช้กะปิเป็นวัตถุดิบเป็นส่วนผสมได้อีกมากมาย ที่สำคัญรายได้ยังหมุนเวียนไปสู่สมาชิกวิสาหกิจชุมชนฯ ที่มาร่วมผลิตกะปิอย่างสม่ำเสมอด้วย บางคนก็ชวนลูกหลานมาทำด้วยกัน โดยอัตราค่าจ้างจะลดหลั่นกันไปตามความยากง่ายของหน้าที่ ตั้งแต่วันละ 100 - 300 บาทต่อคน
ทั้งนี้ ปัจจุบัน รูปแบบการทำธุรกิจของตนเองและวิสาหกิจชุมชนฯ เกาะลิบงเปลี่ยนไปแล้ว จากเมื่อก่อนทำตามความรู้สึก ไม่เคยวางแผนการผลิต ไม่ใส่ใจในคุณภาพวัตถุดิบเท่าที่ควร มีอย่างไรก็ขายเท่านั้น ไม่เคยคำนวณกำไร-ต้นทุน จัดการการเงินไม่เป็น รายได้เกือบเป็นศูนย์ แต่วันนี้เป็นมืออาชีพ คิดเป็น ต่อยอดได้ มีของขายสม่ำเสมอ จัดการเงินอย่างเป็นระบบ และยังกลายเป็นศูนย์กลางของชุมชนเชื่อมโยงผลิตภัณฑ์อื่นๆ ของสมาชิกมาวางจำหน่ายที่หน้าร้านของวิสาหกิจชุมชนฯ ด้วย
อย่างไรก็ตาม กะปินับว่าเป็นสินค้าที่ขายไม่ง่ายนัก จึงต้องหาวิธีให้ลูกค้าที่มาเที่ยวเกาะลิบงได้ชิมกะปิกุ้งเคย โดยนำกะปิมาแปรรูปเป็นน้ำปลาหวาน มันกุ้ง หรือทำเมนูอาหารอื่นๆ ให้ลูกค้าได้ชิมและซื้อกลับบ้านไปด้วย และเนื่องจากบนเกาะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติจำนวนมากที่สนใจวิถีชีวิตชุมชน จึงกำลังต่อยอดไปในเรื่องของ Cooking Class เป็นคอร์สประสบการณ์ให้นักท่องเที่ยวได้ทดลองทำอาหารที่มีกะปิเป็นส่วนผสม ก็จะเป็นอีกหนึ่งช่องทางสร้างรายได้ในพื้นที่
“จากงานวิจัยนี้ทำให้มีหลายหน่วยงานในจังหวัดตรัง มองเห็นและเชื่อมั่นในคุณภาพกะปิกุ้งเคยแท้ 100% ของชุมชนเรา หลายแห่งเข้ามาดูงานและเรียนรู้จากเรา หลายแห่งพร้อมเข้ามาสนับสนุนต่อยอดในเรื่องอื่น ๆ ต่อไป แต่อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ภูมิใจที่สุด คือวันนี้วิสาหกิจชุมชนฯ เกาะลิบงของพวกเราเข้มแข็ง และมีหลักยืนที่ชัดเจนในแบบของตนเอง เราสามารถเลือกและตัดสินใจเองได้ว่าอยากจะก้าวเดินไปต่อในเส้นทางใด” รมิดา กล่าวทิ้งท้าย
หมายเหตุ : บทความนี้เดิมชื่อ “คืนชีวิตให้(คนทำ) ‘กะปิ’ เกาะลิบง” โดย หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) ภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ก่อนได้รับการปรับปรุงให้เข้ากับเนื้อที่ของฉบับหนังสือพิมพ์
SCOOP.NAEWNA@HOTMAIL.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี