16 พฤษภาคม 2568 นางเก๋ (นามสมมุติ) อายุ 48 ปี ชาว จ.ปทุมธานี เดินทางเข้าร้องทุกข์ขอความช่วยเหลือจากนางปวีณา หงสกุล ประธานมูลนิธิปวีณาหงสกุลเพื่อเด็กและสตรี รังสิต-นครนายก คลอง 7 อ.ธัญบุรี จ.ปทุมธานี เล่าว่า ตนเป็นแม่ค้าร้านอาหารตามสั่ง เปิดขายอยู่ที่บ้านตนเองใน อ.เมือง จ.ปทุมธานี เมื่อวัน 13 ก.พ. 68 ตนเริ่มมีอาการปวดท้องและมีประจำเดือนมีเลือดไหลออกมาเยอะ
กระทั่งวันที่ 19 ก.พ. 68 ตนปวดท้องหนักมากแทบก้าวขาไม่ออกและเลือดไหลมากขึ้น จึงโทรศัพท์ขอความช่วยเหลือรถพยาบาล 1669 นำส่งไป รพ.รัฐแห่งหนึ่ง(ตามสิทธิบัตรทอง) ใน จ.ปทุมธานี นอนแอดมิดรักษาตัวอยู่ 5 วัน หมอให้น้ำเกลือ ให้ยาฆ่าเชื้อ ให้ยาแก้ปวด และให้ยาห้ามเลือด แต่ตนรู้สึกว่าแน่นหน้าอกและหายใจไม่เต็มปอด จึงขอหมอเปลี่ยนจากการฉีดยาเป็นยากินแทน หลังจากการรักษาผ่านไป 4 วัน หมอได้ทำ CT scan เพื่อหาสาเหตุของอาการปวดท้อง เช้าวันที่ 24 ก.พ. 68 คุณหมอได้แจ้งผล CT scan ให้ตนทราบว่าพบก้อนเนื้อบริเวณรังไข่มีช็อกโกแลตซีสต์ที่รังไข่ทั้ง 2 ข้าง ยังไม่ต้องผ่าตัดเพราะก้อนเนื้อยังเล็กอยู่ และอนุญาตให้กลับบ้านได้ ไม่ได้มีการนัดติดตามอาการต่อ
ด้านนางเก๋ บอกว่า วันที่ 12 มี.ค. 68 ตนมีอาการปวดท้องอีก จึงได้เข้าฉุกเฉิน รพ.รัฐแห่งหนึ่งใน จ.นนทบุรี พยาบาลได้ฉีดยาแก้ปวดให้ 1 เข็ม เพื่อบรรเทาอาการปวดท้อง ฉีดยาคุม 1 เข็มเพื่อระงับไม่ให้ประจำเดือนมา และให้รอตรวจภายในกับหมอ ผลตรวจพบว่า มดลูกโตเจริญพันธุ์ผิดที่ มีช็อกโกแลตชีสในรังไข่ หมอจึงได้นัดผ่าตัดในวันที่ 24 มี.ค.68 ซึ่งวันที่ 23 มี.ค.68 รพ.ให้ตนมานอนแอดมิดเพื่อเตรียมพร้อมก่อนวันผ่าตัด 1 คืน หลังผ่าตัดผ่าตัด 1 วัน ตนรู้สึกปวดท้องแน่นท้องจุกท้องฝั่งขวา หมอจึงได้นำไปเอกซเรย์เพื่อหาสาเหตุ พบว่าลำไส้ข้างขวาไม่ทำงาน จึงต้องใส่สายผ่านทางจมูกเพื่อดูดน้ำในช่องท้องออก หากไม่ดูดออกจะทำให้ลำไส้เน่า และนอนรักษาอยู่ 4 วัน หมอถอดสายทางจมูกออกให้ วันที่ 29 มี.ค 68 หมออนุญาตให้กลับบ้านได้ และนัดดูแผลผ่าตัดและฟังผลชิ้นเนื้ออีกครั้งในวันที่ 9 เม.ย.68
หลังจากกลับไปบ้านได้ประมาณ 1 อาทิตย์ ตนเริ่มมีอาการปวดท้องและปวดท่อปัสสาวะและปัสสาวะไม่ค่อยออก จึงไปหาหมอที่ผ่าตัดก่อนวันนัด 9 เม.ย. 68 พบหมอตรวจโรคทั่วไป บอกว่าอาจจะมีอาการข้างเคียงได้เพราะเป็นแผลผ่าตัดจากข้างใน จึงให้ยาฆ่าเชื้อแก้ปวดมากิน และวันที่ 9 เม.ย. 68 ได้ไปพบหมอที่ผ่าตัดให้เพื่อดูแผลและฟังผลชิ้นเนื้อ ปกติไม่เป็นเนื้อร้าย ตนได้นอนพักฟื้นรักษาตัวเองที่บ้าน
กระทั่งวันที่ 27 เม.ย.68 มีน้ำใสไหลออกมาจากช่องคลอด และไหลมากขึ้น ซึ่งต้องใส่แพมเพิส ตนตกใจมาก เช้าวันที่ 28 เม.ย. 68 จึงรีบไปหาหมอ รพ.รัฐแห่งหนึ่งใน จ.นนทบุรี พยาบาลแจ้งว่าหมอที่ผ่าตัดให้ไม่อยู่ให้ตรวจกับหมอตรวจทั่วไป หมอให้ตนเก็บปัสสาวะเพื่อส่งตรวจ ผลปกติไม่ได้ติดเชื้อใดๆ หมอจึงให้ยาฆ่าเชื้อกับยาแก้ปวดมากิน แต่อาการน้ำไหลออกจากช่องคลอดก็ยังไม่หยุดไหลและเหมือนกับจะไหลมากขึ้นเพราะสังเกตจากการเปลี่ยนแพมเพิสต่อวัน 8-9 ผืน และไม่ได้เจอหมอที่ผ่าตัดเลยหลังกลับจาก รพ.รัฐแห่งหนึ่งใน จ.นนทบุรี
ตนจึงรู้สึกกังวลมากจึงได้แอดไลน์ รพ.ติดต่อกับแอดมิน และแจ้งรายละเอียดหลังการผ่าตัดให้แอดมิน รพ.ทราบ จากนั้นได้รับการแจ้งจากแอดมินว่า วันที่ 29 เม.ย.68 เวลา 09.30 น. ให้ตนไปพบหมอที่ผ่าตัด และหมอได้ทำการตรวจภายใน อัลตร้าซาวด์ตรวจไต 2 ข้าง โดยตรวจผ่านหน้าท้อง หมอได้บอกกับตนว่าไตข้างซ้ายปกติแต่ไตข้างขวามีน้ำ หมอให้ความเห็นว่าสงสัยตอนผ่าตัดมดลูกไปตัดโดนท่อไตจึงทำให้น้ำรั่ว หมอจะทำหนังสือส่งตัวกลับไปให้รักษาที่ รพ.รัฐแห่งหนึ่งใน จ.ปทุมธานี (ตามสิทธิบัตรทอง) ตนจึงแจ้งกับหมอว่าคราวที่แล้วตนถูก รพ.ตามสิทธิ ปฏิเสธการรักษามาแล้ว แต่หมอบอกว่า รพ.ตามสิทธิจะต้องทำการรักษาให้คนไข้ปฎิเสธการรักษาคนไข้ไม่ได้ และหากคนไข้ต้องการเงินเยียวยาหมอจะทำเรื่องให้แต่ต้องรอให้สิ้นสุดกระบวนการรักษาก่อน โดยจะต้องไปทำการผ่าตัดเย็บซ่อมแซมท่อไตรั่วก่อน
วันที่ 30 เม.ย.68 หมอที่ผ่าตัด ทำหนังสือส่งตัวตนให้มารักษาต่อที่ รพ.รัฐแห่งหนึ่ง(ตามสิทธิบัตรทอง) ใน จ.ปทุมธานี เพื่อทำการผ่าตัดศัลยกรรมทางเดินปัสสาวะ เมื่อตนไปพบหมอแจ้งว่า รพ.ไม่มีหมอที่รักษาด้านศัลยกรรม และนัดไปตรวจ CT scan วันที่ 14 พ.ค.68 แต่หลังจากที่ตนกลับมาจาก รพ. กลางดึกตนมีอาการเวียนหัว หน้ามืด หนาวสั่น เช้าวันที่ 1 พ.ค.68 ตนจึงรีบไปหาหมอได้ทำการเอกซเรย์ปอดและ CT scan ผลตรวจพบเป็นกรวยไตอักเสบติดเชื้อ หมอให้นอนแอดมิดรักษา โดยให้ยาฆ่าเชื้อ ยาแก้ปวด ยาแก้เวียนศีรษะ เช้าวันที่ 4 พ.ค. 68 หมอได้ทำการเอกซเรย์ ฉีดสีเข้าร่างกายผ่านทางเส้นเลือดเพื่อดูว่ามีน้ำรั่วบริเวณไหน จากนั้นพาไปส่องกล้องเข้าทางท่อปัสสาวะเพื่อที่จะนำผลตรวจไปยื่นให้กับ รพ.แห่งที่ 3 กระทั่งเช้าวันที่ 5 พ.ค.68 ทางรพ.อนุญาตให้ตนกลับบ้านได้ พร้อมกับให้ผลตรวจส่องกล้องเพื่อนำไปยื่นให้ รพ.แห่งที่ 3
วันที่ 8 พ.ค.68 ตนได้นำผลตรวจดังกล่าวไปติดต่อยื่นที่ รพ.ที่ 3 หมอแจ้งว่าจะต้องทำการส่องกล้องอีกครั้งในวันที่ 20 พ.ค.68 และหมอแจ้งว่าจะต้องเสียค่าส่วนต่างเพิ่ม 5,000 บาท แต่ตนไม่มีเงินเพราะหยุดขายของตั้งแต่ผ่าตัด หลังกลับจาก รพ.ตนจึงได้ทักไลน์ส่วนตัวหมอที่ผ่าตัดให้ตน หมอได้แจ้งกับตนว่าให้ตนจ่ายไปก่อนแล้วค่อยไปรับเงินเยียวยาในภายหลัง ถ้าไม่อย่างนั้นจะไม่ได้รับเงินเยียวยาครบถ้วน ตนจึงได้ขอร้องให้คุณหมอช่วยเหลือในส่วนต่างเหล่านี้หน่อย หมอจึงบอกให้ตนเข้าไปรับเงินที่ รพ.ในวันที่ 14 พ.ค.68 และหมอจะให้การช่วยเหลือได้เพียงครั้งเดียว ตนจึงเกิดความเครียดและกังวลว่า หากตนผ่าตัดครั้งนี้แล้วจะหายหรือไม่ และหากต้องรักษาต่อเนื่องตนจะเอาเงินจากที่ไหนมาจ่าย ซึ่งหมอ และ รพ.ที่ผ่าตัด ควรออกมารับผิดชอบกับเหตุการณ์นี้ ไม่ใช่เพียงการช่วยเหลือเงิน 5,000 บาท แล้วพลักส่งมารักษา รพ.ตามสิทธิ์บัตรทอง
เพราะทุกวันนี้ตนใช้ชีวิตลำบากทุกข์ทรมานอย่างมาก จากที่เคยทำงานหาเงินเลี้ยงดูตัวเองได้ มีค่าใช้จ่ายต่างๆ แต่กลับต้องล้มป่วยแล้วไม่รู้ว่าจะกลับมาหาเงินได้เป็นปกติเมื่อไหร่ จึงตัดสินใจเข้าร้องขอความช่วยเหลือจากมูลนิธิปวีณาฯ ซึ่งทุกวันนี้ตนเองไม่ได้ทำงานมาประมาณ 2 เดือนแล้วและไม่มีเงินใช้จ่าย ขณะนี้ตนเองต้องประกาศขายบ้านที่อยู่เพราะต้องเอาเงินมาใช้จ่ายและรักษาตัวเอง
นางปวีณา กล่าวว่า หลังรับเรื่องร้องทุกข์จาก น.ส.เก๋ แล้วได้สอบถามรายละเอียดพร้อมกับตรวจสอบเอกสารแล้ว เห็นว่า รพ.ที่ผ่าตัดต้องให้การช่วยเหลือ น.ส.เก๋ อย่างเร่งด่วน ทั้งเรื่องการรักษาพยาบาลและการรับเงินเยียวยาตามมาตรา 41 วันนี้นางปวีณาจะโทรศัพท์ประสานและนัดหมาย นพ.ปริพนท์ จุลเจิม สสจ.นนทบุรี และ ผอ.รพ.รัฐ จ.นนทบุรี ที่น.ส.เก๋ ผ่าตัดครั้งแรก โดยจะพา น.ส.เก๋ เข้าพบให้การช่วยเหลือสัปดาห์หน้า และมูลนิธิปวีณาฯจะมอบเงินช่วยเหลือค่ารักษาส่วนต่าง 5,000 บาท ให้น.ส.เก๋ไปมอบให้รพ.แห่งที่ 3 ก่อน โดยมูลนิธิปวีณาฯจะติดตามอย่างใกล้ชิดต่อไป
.012
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี