ยังคงอยู่กับวงเสวนา “ถ้าโชคไม่ช่วย ชีวิตต้องเปลี่ยนด้วยนโยบาย” ซึ่งจัดขึ้นเมื่อช่วงกลางเดือน พ.ค. 2568 โดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับภาคีเครือข่าย โดยในคอนที่แล้ว (ส่องปัญหาครอบครัวไทย (1) อยู่ให้รอดยุคนี้‘เหนื่อยหนัก’ : หน้า 5 นสพ.แนวหน้า เสาร์ที่ 31 พ.ค. 2568) ได้นำเสนอเสียงสะท้อนทั้งจากคนเป็นพ่อแม่ผู้ปกครอง ครูและคนทำงานด้านเด็กและครอบครัว ส่วนในตอนนี้จะเป็นข้อเสนอถึงภาครัฐว่าควรมีนโยบายสนับสนุนเด็กและครอบครัวไทยอย่างไรบ้าง
ร่มเกล้า ช้างน้อย ครูชำนาญการ โรงเรียนเทพศาลาประชาสรรค์ จ. นครสวรรค์ กล่าวว่า สิ่งที่อยากให้เกิดขึ้นคือ “การให้อิสระกับโรงเรียนอย่างแท้จริง” โรงเรียนต้องสามารถทดลองสิ่งใหม่ๆ ได้โดยไม่ถือเป็นความผิด เช่น โรงเรียนแห่งหนึ่งอาจต้องการให้มีคาบวิชาชุมนุมมากขึ้นกว่าปกติที่มีเพียง 1 – 2 ชั่วโมง เพื่อให้นักเรียนได้สำรวจความชอบของตนเอง และจริงๆ ตามหลักการก็ทำได้แล้ว โดยปัจจุบันมีหลักสูตรสถานศึกษา แต่ในทางปฏิบัติผู้บริหารสถานศึกษาไม่กล้านำมาใช้
“อันนี้ที่ผมเคยฟังมา สมมติ ผอ. ท่านหนึ่ง เขาบอกรอให้โรงเรียนอื่นทำก่อน ถ้าโรงเรียนอื่นทำแล้วไม่โดนอะไรเดี๋ยวโรงเรียนเราค่อยทำ เราจึงไม่เคยเห็นโรงเรียนที่กล้าทำอะไรใหม่ๆ เท่าไหร่ ผมเข้าใจว่าความกล้ามันยาก ขนาดตัวผมเองเวลาที่ต้องไปขอให้โรงเรียนเปลี่ยนอะไรสักอย่างหนึ่ง ผมต้องรวบรวมความกล้าเยอะมากๆ กับการที่จะเดินไปบอก แต่เราอยู่ในระบบแบบนี้ ผมมันไม่ปกติกับการที่เราอยากเห็นโรงเรียนดีขึ้นแต่เราไม่กล้าที่จะไปบอกให้มันดีขึ้น
ก็เลยคิดว่าคือเรื่องความปลอดภัยในการที่จะทำงาน ผมคิดว่าภาครัฐควรจะต้องสนับสนุนให้การเรียนรู้ของโรงเรียน การทดลองถูก – ทดลองผิดเป็นเรื่องปลอดภัย ผิดไม่โดนด่า ทำอะไรที่ไม่ตรง นโยบายกว้างมาก ในใจของคนนโยบายอยากให้ทำแบบนี้แต่โรงเรียนไปทำอีกแบบหนึ่งแล้วก็ไปบอกว่าเขาผิด ซึ่งจริงๆ มันอาจจะยังสอดคล้อง ก็รู้สึกว่าอันนี้ภาครัฐอาจจะต้องช่วยได้” อาจารย์ร่มเกล้า กล่าว
อาจารย์ร่มเกล้า กล่าวต่อไปว่า อีกเรื่องที่อยากเห็นคือ “ความโปร่งใส” ซึ่งแม้คนทำงานอยากทำให้โปร่งใสแต่ก็มีข้อจำกัดจากกฎระเบียบ เช่น โรงเรียนอยากจัดงาน Open House และอยากหาขนมหรือตุ๊กตามาเป็นของรางวัลเพื่อจูงใจให้เด็กเข้าร่วมกิจกรรม แต่ระเบียบไม่อนุญาตให้โรงเรียนใช้งบประมาณจัดซื้อสิ่งเหล่านี้ โดยให้ซื้อได้เพียงอุปกรณ์การเรียน (เช่น ดินสอ ปากกา) เท่านั้น ผลสุดท้ายจึงกลายเป็นงานกร่อย เด็กไม่มาเข้าร่วมอย่างที่คาดหวัง
หรือการต้องทำงานเอกสารซึ่งไม่ใช่งานถนัดของครู แต่เมื่อทำไปจนเริ่มชำนาญ หน่วยงานตรวจสอบก็เปลี่ยนระเบียบอีก ซึ่งก็น่าคิดว่าการเปลี่ยนระเบียบบ่อยๆ แทบทึกปีนั้นป้องกันการทุจริตได้จริงหรือ? เพราะปัจจุบันมีระบบแบบนี้แต่ก็ยังมีปัญหาการทุจริตอยู่ รวมถึงการบรรจุครูเข้าประจำการตามโรงเรียนก็ยังมีปัญหาการบริหารงานบุคคล เช่น ครูระดับประถมศึกษา โดยมากมักจะเรียนวิชาเอกเพียง 2 วิชา แต่เมื่อไปทำงานจริงกลับต้องสอนทุกวิชา อาทิ ครูเอกคณิตศาสตร์กับสังคมศึกษา แต่ต้องไปสอนภาษาอังกฤษด้วยแล้วจะสอนให้เด็กเข้าใจได้อย่างไร
ซึ่งตนมองว่าระบบการศึกษาในปัจจุบันทำให้ครูประถมทำงานหนักเกินไป หากไม่นับโรงเรียนขนาดใหญ่ที่มีครูอยู่ในสังกัดจำนวนมาก โรงเรียนประถมโดยทั่วไปครู 1 คนมักต้องสอนทุกวิชา อีกทั้งต้องทำงานเอกสารด้วย โดยครูประถมมักใช้เวลาพักกลางวันหรือหลังหมดคาบเรียนช่วงเย็นทำสิ่งเหล่านี้ แตกต่างจากครูมัธยมที่ยังมีคาบว่างเหลือให้ทำงานเอกสาร ดังนั้นเมื่อเทียบฐานเงินเดือนที่เท่ากันระหว่างครูประถมกับครูมัธยม ครูประถมย่อมมีภาระงานที่หนักกว่า รวมถึงการที่ครูต้องไปทำหน้าที่ตรวจรับอาคารทั้งที่ไม่เชี่ยวชาญเรื่องการก่อสร้าง เป็นต้น
ขณะที่ ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ บรรณาธิการบริหาร Mutual ผู้สื่อสารประเด็นสุขภาวะทางใจของเยาวชน กล่าวว่า จากประสบการณ์ทำงานสื่อ 20 ปี ช่วงแรกๆ ของอาชีพตามข่าวประเด็นพ่อแม่วัยรุ่น และจนปัจจุบันก็ยังทำในประเด็นนี้เช่นเดิม วันหนึ่งถามตนเองว่าทำไมยังต้องทำเรื่องเดิม และเห็นคำคอบว่าพ่อแม่วัยรุ่น ณ เวลานั้น คือตายายวัยรุ่นในเวลานี้ เป็นมรดกที่ส่งต่อกันมา หากให้พูดอย่างโหดร้ายก็คือในเชิงนโยบายภาพรวมไม่มีการเปลี่ยนแปลง แต่หากให้พูดแบบมนุษย์ที่เห็นแก่ตัวคือสิ่งที่เปลี่ยนแปลงได้คือความคิดที่มีต่อเรื่องราวที่เกิดขึ้น
“ยอดตอนนี้พ่อแม่วัยรุ่นลดลงในกลุ่มอายุ 16 – 20 ปี แต่มันกลับเพิ่มมากขึ้นในกลุ่มอายุ 13 – 15 ปี แล้วก็มีความเห็น บอกเป็นอย่างไรล่ะ! อยากให้เด็กเกิดเยอะมากขึ้นกลุ่มพ่อแม่วัยรุ่นก็มีให้แล้ว มันกลายเป็นว่าอคติลบมันเกิดขึ้นตลอดเวลา ฉะนั้นถ้ามีอำนาจ ไม่ใช่เหนือนายกฯ เหนือธรรมชาติเลยก็ได้ ก็อยากจะเปลี่ยน คือไม่ต้องลดอคติ แต่ช่วยเท่าทันหรือมีสติเวลาจะคิดอะไรอย่างไรกับสิ่งที่เกิดขึ้น” ทิพย์พิมล กล่าว
ด้าน ณัฐยา บุญภักดี ผู้อำนวยการอาวุโส สำนักสนับสนุนสุขภาวะเด็ก เยาวชน และครอบครัว สสส. เล่าว่า ตนเคยพบกับแม่เลี้ยงเดี่ยวในชุมชนแออัดในกรุงเทพฯ ที่อยากได้โรงเรียนกิน – นอนประจำมาตั้งในชุมชน เพราะแม่เลี้ยงเดี่ยวต้องทำงานแทบตลอดทั้งวันเพื่อให้มีรายได้เพียงพอกับค่าครองชีพในครัวเรือน การที่รัฐให้จัดตั้งโรงเรียนประจำในชุมชนเชื่อว่าลูกจะได้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และการตั้งอยู่ในชุมชนทำให้พอเจียดเวลาว่างอันน้อยนิดไปเยี่ยมได้บ้าง หรือแม่ในจังหวัดหนึ่งทางภาคเหนือ ต้องขังลูกอายุ 4 – 5 ขวบไว้ในห้องตอนออกไปทำงาน
ดังนั้นจึงไม่อาจมองได้ว่าการเลี้ยงลูกเป็นหน้าที่ของพ่อแม่แต่เพียงอย่างเดียว เพราะยังมีเงื่อนไขอื่นๆ ในชีวิตที่อยู่นอกเหนือการควบคุมของตัวเรา เช่น คนอยากอยู่บ้านเกิดไม่อยากจากถิ่นฐานไปไกล แต่เมื่อที่นั่นไม่มีงานที่รายได้เพียงพอทำให้ต้องโยกย้ายถิ่น “ผู้มีอำนาจต้องมาตั้งต้นพูดคุยกันใหม่ว่าอยากให้คนในสังคมมีคุณภาพชีวิตแบบใด?” นโยบายต้องออกแบบจากชีวิตคนซึ่งก็มีความหลากหลายทั้งช่วงวัยและเงื่อนไขต่างๆ
“มันมีเทคนิควิธีคิดมากมาย Design Thinking (การคิดเชิงออกแบบ) ก็เป็นอันหนึ่ง ใช้กันเยอะ ก็มาใช้กับการออกแบบนโยบายบ้าง เพื่อจะให้รู้ว่าแต่ละวิถีชีวิตของคนเขาต้องการอะไรในแต่ละ Step (ก้าวย่าง) ของชีวิต แล้วออกแบบนโยบายที่ถูกตัดเย็บให้เหมาะ” ณัฐยา กล่าว
SCOOP.NAEWNA@HOTMAIL.COM
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
https://www.naewna.com/likesara/888282 ส่องปัญหาครอบครัวไทย(1) อยู่ให้รอดยุคนี้‘เหนื่อยหนัก’
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี